ทีมผู้บริหารแผนฟื้นฟูฯTPI ยันสถาบันการเงินทั้งไทยและเทศ 4 ราย รุมให้วงเงินทุนหมุนเวียนอีกครั้งประมาณ
120-160 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4.8-6.4 พันล้านบาท) คาดสรุปผลได้ภายใน 2 สัปดาห์นี้
หลังโชว์ตัวเลขไตรมาส 3 ฟันกำไรขั้นต้น 2.4-3 พันล้านบาท สูงกว่าไตรมาส 2 เท่าตัว
ซึ่งถือเป็นผลงานของนายประชัย ร่วมกับทีมผู้บริหารแผนฯ ใหม่ ที่ปูพื้นขยายกำลังผลิตน้ำมันเพิ่ม
เตรียมตั้ง 2 บริษัทอเมริกันเป็นที่ปรึกษาการตลาด ศึกษาความเป็นไปได้ธุรกิจ แผนขายน้ำมันและปิโตรเคมี
หวังเพิ่มมาร์จิ้น ส่วนการเจรจาขอลดดอกเบี้ยจ่าย ยังไร้ข้อสรุป หากเจ้าหนี้ยอมจะประหยัดเงินเดือนละ
110 ล้านบาท
การพลิกฟื้นทีพีไอ เริ่มขึ้นหลังจากนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตซีอีโอ-ผู้ถือหุ้นใหญ่
ซึ่งถือว่ารู้เรื่องธุรกิจทีพีไอดีที่สุด ทำแผนฟื้นฟูฯ บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้
เม.ย. ด้วยความมุ่งมั่นต่อเนื่อง ก่อนส่งมอบต่อให้ทีมผู้บริหารแผนฯ ปัจจุบัน ซึ่งเป็นตัวแทนกระทรวงการคลัง
ตั้งแต่ ก.ค.
เจ้าหนี้หวนคืนเตรียมปล่อยกู้ 6.4 พันล้านบาท
นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ ทีมงานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย
จำกัด (มหาชน) (TPI) เปิดเผยวานนี้ (2 ต.ต.) ความคืบหน้าการเจรจากับคณะกรรมการเจ้าหนี้
เพื่อขอเงินทุนหมุนเวียน และลดดอกเบี้ยจ่ายว่า ขณะนี้ เจ้าหนี้สถาบันการเงิน ทั้งในและต่างประเทศ
ประมาณ 3-4 รายเตรียมปล่อยสินเชื่อ วงเงินทุนหมุนเวียนให้บริษัทฯประมาณ 120-160
ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4.8-6.4 พันล้านบาท) เพื่อนำไปซื้อวัตถุดิบ คาดว่าจะสรุปผลได้ภายใน
2 สัปดาห์ข้างหน้า
เหตุผลที่เจ้าหนี้พิจารณาให้วงเงินทุนหมุนเวียนสูงกว่าที่เราเคยยื่นขอจากคณะกรรมการเจ้าหนี้
ที่เคยให้ 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ถูกระงับในช่วงนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ผู้บริหาร
แผนชั่วคราวฯ เมื่อช่วงเม.ย. 2546 เพราะเจ้าหนี้เห็นความเข้มแข็งของผลประกอบการในไตรมาส
3 แม้ว่าบริษัทฯ จะไม่มีวงเงินหมุนเวียนเพิ่มเติม แต่มีกำไรจากการดำเนินงานสูงกว่าไตรมาส
2
"การอนุมัติให้เงินทุนหมุนเวียนของเจ้าหนี้ คาดว่ามาจากแนวทางที่ชัดเจนของผู้บริหาร
แผนฟื้นฟูฯ ที่ได้มีการประชุมร่วมกันทุกสัปดาห์ และพนักงานทีพีไอ เป็นทีมงานที่มีขีดความสามารถสูง
รวมทั้งทรัพย์สินของทีพีไอมีประโยชน์ สามารถทำกำไร และแข่งขันในภูมิภาคนี้ได้"
เขากล่าว
กำไรไตรมาส 3-4 พุ่ง
ผลประกอบการไตรมาส 3 จะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) 2.4-3
พันล้านบาท เทียบไตรมาส 2 EBITDA เพียง 1,400 ล้านบาท
ขณะที่กำลังผลิตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ คือเฉลี่ย 1.65 แสนบาร์เรล/วันช่วง ก.ย.
เพิ่มขึ้น เทียบเดือนก่อนหน้านี้ ที่มีกำลังกลั่นน้ำมัน 1.45 แสนบาร์เรล/วันช่วง
3 เดือนก่อนหน้านี้ เนื่องจากสามารถซื้อน้ำมันดิบสม่ำเสมอ โดยน้ำมันดิบส่วนใหญ่
มาจากแหล่งตะวันออกกลาง แม้ราคาน้ำมันดิบขยับสูงขึ้น แต่บริษัทฯ ก็มียอดขายที่สูงขึ้นเช่นกัน
บริษัทฯ จะรักษาระดับการกลั่นน้ำมันช่วง ต.ค.นี้1.65 แสนบาร์เรลต่อวัน เพื่อเก็บสต็อกผลิตภัณฑ์ที่ใช้ผลิตปิโตรเคมีช่วง พ.ย.นี้ ที่จะปิดซ่อมบำรุงหน่วยกลั่น 1 เป็นเวลา
2-3 สัปดาห์ ทำให้กำลังผลิตลดลง 7 หมื่นบาร์เรล/วัน แต่เชื่อว่าบริษัทฯจะมี EBITDA
ใกล้เคียงไตรมาส 3 ที่ประมาณ 2.4-3 พันล้านบาท
"หากทีพีไอมีกำลังการผลิตที่ 1.5-1.6 แสนบาร์เรล/วัน ต้องการเงินทุนหมุนเวียน
80 ดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น เงินส่วนเกินที่ได้จากเจ้าหนี้ จะเป็นการเพิ่มโอกาส และจังหวะในการซื้อ
เป็นประโยชน์ต่อบริษัท ส่วนจะเพิ่มกำลังการผลิตให้ สูงกว่านี้หรือไม่คงต้องขึ้นอยู่กับตลาด
ซึ่งบริษัทฯ มีความพร้อมอยู่แล้วที่จะผลิต 2.15 แสนบาร์เรล/วัน"
หวังลดดอกเบี้ย 110 ล้านบาท/เดือน
นอกจากนี้ คณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ ขอให้กลุ่มเจ้าหนี้คิดดอกเบี้ยทีพีไอในอัตราที่คิด
กับลูกค้าชั้นดี คือจากเดิม MLR+24 และหนี้สกุลเงินบาท LIBOR +2% เป็น MLR-1%
และ LIBOR+1% ซึ่งข้อเสนอนี้ คณะกรรมการเจ้าหนี้ส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นไปได้ แต่ต้องเข้าสู่กระบวน
การขอความเห็นชอบจากเจ้าหนี้ทั้งในและต่างประเทศ 140 ราย
นอกจากนี้ เจ้าหนี้เสนอเงื่อนไขปล่อยกู้ต่างจากเงื่อนไขเดิม โดยเฉพาะการผ่อนปรนการค้ำประกันจากคณะกรรมการเจ้าหนี้
ทำให้ลดภาระค่าธรรมเนียมค้ำประกันลง 2-2.25% และหลักประกันทรัพย์สินเพิ่มเติม เป็นต้น
"อัตราดอกเบี้ยลูกค้าชั้นดีจากหนี้สกุลบาท และสกุลเงินต่างประเทศไม่เท่ากันนั้น
เป็นอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าชั้นดี จะอยู่ที่ MLR-1% เท่ากับ 5% แต่สกุลเงินต่างประเทศจะอยู่ที่
LIBOR+1% เท่ากับ 2.5% ซึ่งเดิมบริษัทฯ จะชำระดอกเบี้ยจ่ายสิ้น ก.ย.ที่ผ่านมา
แต่เจ้าหนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ย ทำให้ต้องเลื่อนการชำระหนี้ไปก่อน"
หากเจ้าหนี้อนุมัติคิดดอกเบี้ยเท่าลูกค้าชั้นดี บริษัทฯ จะชำระดอกเบี้ยจ่าย Tier1
เหลือเพียง 205-210 ล้านบาท/เดือน จากปัจจุบันต้องชำระถึง 320 ล้านบาท/เดือน
การเจรจาขอลดดอกเบี้ยครั้งนี้ จะคิดจากดอกเบี้ยค้างจ่าย เม.ย. ถึงปัจจุบัน และดอกเบี้ย
ที่จะเกิดขึ้น ต.ค.-ธ.ค. ปัจจุบัน ทีพีไอหนี้รวม 2.8 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.12
แสนล้านบาท)
ตั้ง 2 บริษัทที่ปรึกษาการตลาด
นายศิริกล่าวต่อว่า คณะผู้บริหารแผนฯ เตรียมจ้างบริษัท ซีเอ็มเอไอ ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมัน
และบริษัท Purvin &Gertz ที่เชี่ยวชาญปิโตรเคมีจากสหรัฐฯ วงเงินไม่เกิน 10
ล้านบาท เพื่อเป็นที่ปรึกษาการตลาด
โดยทั้ง 2 บริษัทจะศึกษาและประมาณการณ์ราคาน้ำมันและปิโตรเคมี รวมทั้งการทำดิวดีลิเจนซ์การขายและการตลาดของทีพีไอ
เพื่อ ให้ได้ราคาสูงสุดในการขาย ซึ่งกำหนดให้ศึกษาเสร็จภายใน 45 วัน สอดรับการทำดิว
ดิลิเจนซ์ของที่ปรึกษาการเงิน เพื่อปรับแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้
บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายให้ทีพีไอ EBITDA เพิ่มจากปัจจุบัน 10-11% เป็น 15% ของยอดขาย
โดยมาจากการดำเนินงานของทีพีไอปกติ 12% อีก 3% จากประสิทธิภาพวางแผนงาน และช่องทางการตลาด
ที่เพิ่มขึ้น