ประเมินภาพรวมบจ.Q3ยังแข็งแรง


ASTVผู้จัดการรายวัน(4 ธันวาคม 2552)



กลับสู่หน้าหลัก

สายงานพัฒนาและวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผย SET Note Corporate Update ฉบับที่ 4/2552 รายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (ไม่รวมบริษัทที่เข้าข่ายเพิกถอนกิจการ และกองทุนอสังหาริมทรัพย์) ไตรมาส 3 ปีนี้ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เมื่อพิจารณาโครงสร้างเงินทุนพบอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยระดับ 1.18 เท่า ซึ่้งไม่อยู่ในเกณฑ์สูงเมื่อเทียบกับช่วงเศรษฐกิจปกติ (ปี 2547-2551) ที่เฉลี่ยอยู่ในช่วง 1.02-1.28 เท่า

ขณะสภาพคล่องดีขึ้น โดยมีกระแสเงินสดจ่ายสุทธิ 6.65 พันล้านบาท ลดจากไตรมาส 2 ปี 52 และไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีกระแสเงินสดรับจากกิจกรรมการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ส่วนภาพรวมด้านการลงทุน (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มที่เข้าข่ายเพิกถอนกิจการ และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์) พบว่ามีบริษัทที่ลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ถาวร 343 บริษัท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี51 และไตรมาส2 ปี52 ซึ่งสะท้อนได้ว่าบริษัทส่วนใหญ่สนใจลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ถาวร ทั้งนี้ มีมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 93.48พันล้านบาท โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ถาวรสูงสุดคือ กลุ่มทรัพยากร 62.08%

ส่วนภาพรวมด้านการระดมทุน (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายเพิกถอนกิจการ) ในไตรมาสนี้ มีมูลค่าระดมทุนรวม 7,230 ล้านบาท โดยเป็นการระดมทุนในตลาดแรกมูลค่ารวม 4,279 ล้านบาท จากบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ 5 บริษัท ขณะที่มีการระดมทุนในตลาดรองมูลค่า 2,951ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการระดมทุนของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT)

ด้านประสิทธิภาพการดำเนินงาน (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มที่เข้าข่ายเพิกถอนกิจการ และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์) ในไตรมาส 3 ปีนี้อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ปรับเพิ่มเป็น 3.31% เทียบกับปีก่อนแต่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปีนี้ หากไม่รวมบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มทรัพยากร พบว่า ROE ดีขึ้นเมื่อเทียบกับทั้งไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และไตรมาส 2/2552

สำหรับผลงานไตรมาส 3 ปีนี้พบว่ามีกำไรสุทธิรวม 113.19 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.07 % จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เทียบกับไตรมาส 2 ปีนี้พบว่าลดลง 10.38 % โดยเป็นผลจากกำไรสุทธิของกลุ่มทรัพยากรปรับลด 29.51 % เนื่องจากผลกระทบค่าการกลั่นที่ต่ำลงและกำไรสินค้าคงคลังลดลงและการตั้งสำรองค่าเสียหายในแหล่งน้ำมันของบางบริษัท ทั้งนี้ หากไม่รวมกำไรสุทธิของกลุ่มทรัพยากรจะทำให้กำไรสุทธิรวมของบริษัทจดทะเบียนปรับเพิ่มขึ้น 5.26% เทียบกับไตรมาส 2 ปีนี้

นอกจากนี้ มีจำนวนบริษัทที่มีผลกำไรสุทธิเป็นบวกถึง 350 บริษัท จากทั้งหมด 436 บริษัท คิดเป็น 80.28% เพิ่มจากไตรมาส 2 ปีนี้ สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ผลการดำเนินงานดีขึ้น ซึ่ง 4 กลุ่มที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 คือกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มอุตสาหกรรมการบริการ ทั้งนี้ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสูงสุด


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.