คาดตลาดหุ้นไทยช่วงการประชุม APEC กลาง ต.ค. นี้จะลดความร้อนแรง เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลสถานการณ์ในประเทศ
ส่งผลความเชื่อมั่นลดลง เมื่อการประชุมจบ หากได้รับข้อมูลทางที่ดี เชื่อว่าตลาดฯ
จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะจะเป็นช่วงประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/46 ของบริษัทจดทะเบียนไทย
แนะหุ้น 4 กลุ่มยังน่าสน
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการ บลจ. แอสเซท พลัส กล่าวว่าภาวะการลงทุนตลาดหลักทรัพย์ไทยช่วงนี้
ลดแรงทำกำไรที่รุนแรงแล้ว ช่วงการประชุมเอเปกที่กรุงเทพ กลาง ต.ค. นี้ คาดจะส่งผลดีระยะยาว
เพราะนักลงทุนต่างชาติจะรับรู้ข้อมูลประเทศไทยโดยตรง
น่าจะส่งผลให้หลังประชุม บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยจะดีขึ้น
ถึงเวลารัฐวิสาหกิจขายหุ้น
เขากล่าวว่า สภาพตลาดหุ้นไทยโดยรวมขณะนี้ เป็นช่วงเวลาดี หากรัฐวิสาหกิจจะเสนอขายหุ้น
เนื่องจากนักลงทุน ทั้งรายย่อยและสถาบัน ต่างพร้อมในกำลังซื้อ ภาวะการลงทุนตลาดหุ้นไทยโดยรวมก็คึกคัก
รัฐวิสาหกิจที่อยู่ระหว่างเตรียมพร้อม เพื่อกระจายหุ้นให้ประชาชนทั่วไป และจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย
ควรเริ่มเสนอขายหุ้นได้แล้ว
ประชาชนที่จะลงทุน ก็สามารถพิจารณาตัดสินใจลงทุนหรือไม่ ซึ่งนายก้องเกียรติแนะนำว่า
ควรดูเงินปันผลรัฐวิสาหกิจนั้นๆ
KTB-THAI ควรเน้นจุดเด่นปันผล
สำหรับหุ้นธนาคารกรุงไทย (KTB) และการบินไทย (THAI) ที่เตรียมจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน
ต.ค.และพ.ย.นี้ การกำหนดราคาเสนอขาย ไม่ควรต่ำกว่าราคาในตลาดหลักทรัพย์มากเกินไป
เพราะจะมีผลกระทบกับราคาในกระดาน ต้องหาความเหมาะสม ทั้ง 2 รัฐวิสาหกิจดังกล่าว
ต้องอธิบายจุดเด่นให้นักลงทุนเข้าใจ โดยเฉพาะประเด็นที่สามารถจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้ทันที
ขณะที่นักวิเคราะห์หลายสำนักให้ความเห็นตรงกันว่า หุ้นรัฐวิสาหกิจขณะนี้ โดยเฉพาะธนาคารกรุงไทย
ถือว่าน่าสนใจลงทุน เพราะเป็นหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี ประกอบกับธนาคารเริ่มกลับมาจ่ายเงินปันผลแล้วตั้งแต่ปีที่แล้ว
ขณะที่ผู้ซื้อหุ้นเพิ่มทุน ที่จะเริ่มขาย 9 ต.ค. นี้ จะได้รับเงินปันผลจากผลประกอบการธนาคารปีนี้
็เมื่อดูปัจจัยพื้นฐานที่ยังแข็งแกร่งของธนาคารกรุงไทย ราคาเหมาะสมควรจะมากกว่าหุ้นละ
10 บาท เมื่อประกอบการการที่ธนาคารรัฐแห่งนี้ เตรียมจ่ายเงินปันผลเพิ่มอีกปีนี้
เทียบปีที่แล้ว ถือว่าหุ้น KTB น่าสนใจลงทุนอย่างมากิ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์กล่าว
บล. กรุงศรีแนะซื้อ
บล. กรุงศรีอยุธยาคาดว่าครึ่งหลังปีนี้ ธนาคารกรุงไทยจะไม่มีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรก
เนื่องจากอัตราส่วน NPLCoverage ratio 61.5% ใกล้เคียงธนาคารเอกชนขนาดใหญ่แห่งอื่น
ปัจจุบัน แบงก์กรุงไทยมีสำรองส่วนเกินจากเกณฑ์ขั้นต่ำแบงก์ชาติ 13 พันล้านบาท หรือประมาณ
13.25% เทียบ NPL
ประมาณการกำไรสุทธิไตรมาส 3/46 อยู่ที่ 2,361 ล้านบาท เทียบไตรมาส 2/46 ที่ขาดทุนสุทธิ
621 ล้านบาท เกิดจากการตั้งสำรองฯ 3,545 ล้านบาท
ดังนั้น บล. กรุงศรีอยุธยาปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 12 บาทต่อหุ้น สัดส่วนราคาหุ้นต่อกำไร
(P/E) และราคาหุ้นต่อมูลค่าบัญชี (P/BV) เทียบประมาณการปี 2547 ที่ 14 เท่า และ
1.8 เท่า ผลตอบแทนสินทรัพย์ (ROE) 13% จากประโยชน์ที่จะได้รับ ทั้งทางตรงและทางอ้อม
เป็นผู้ออกแบบและดูแลระบบบริหารเงินของรัฐบาลด้านงบประมาณแผ่นดิน ทั้งรายรับและรายจ่าย
จึงแนะนำซื้อ
ธนาคารกรุงไทยเตรียมเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน 3 พันล้านหุ้น จัดสรรหุ้นเบื้องต้นให้นักลงทุนสถาบัน
2.5 พันล้านหุ้น รายย่อย 500 ล้านหุ้น สัดส่วนขั้นต่ำ 40% จะจัดสรรให้นักลงทุนสถาบันต่างประเทศ
วันกำหนดราคาขายคือ 8 ต.ค. ช่วงเวลาเสนอขาย 9-10 ต.ค. คาดว่าจะเริ่มซื้อขายในตลาดหุ้นได้
15 ต.ค.
คาดกำไรกลุ่มแบงก์ครึ่งแรกปี 47 เด่น
นางศรีพร สุทธิพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บล. อินเทล วิชั่น กล่าวว่าผลประกอบการ 5
ธนาคารพาณิชย์ปีนี้ จะยังไม่ดีนัก เนื่องจากยังมีภาระไถ่ถอน Slips/Caps หรือตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน
ประเภทหุ้นบุริมสิทธิ และหุ้นกู้ด้อยสิทธิ
แต่เมื่อไถ่ถอนได้หมดแล้ว เธอเชื่อว่าครึ่งแรกปีหน้า ผลประกอบการธนาคารจะดีขึ้น
ธนาคารส่วนใหญ่จะมีกำไร เพราะต้นทุนดอกเบี้ยจะลดลง ซึ่งธนาคารที่จะไถ่ถอน Slips/Caps
จะทำให้ผลประกอบการดีขึ้น โดยเฉพาะธนาคารกสิกรไทย (KBNAK) ลดต้นทุนได้ประมาณ 4
พันล้านบาท ธนาคารกรุงเทพ (BBL) จะลดภาระดอกเบี้ยได้ประมาณ 5 พันล้านบาท
ยังมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ธนาคารทหารไทย (TMB) และธนาคารไทยทนุ (DTDB) ที่จ่อคิวไถ่ถอนสลิปส์-แคปส์
สำหรับการเพิ่มทุนธนาคารกรุงไทย การตั้งราคาเสนอขาย คาดว่าจะต่ำกว่าราคาในกระดาน
เพื่อจูงใจนักลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบงก์ใหญ่อันดับ 2 ของไทยแห่งนี้ และการที่ธนาคารโอนหนี้เสียให้บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย
(บสท.) บริหาร ที่เหลือบริหารเองเล็กน้อย ทำให้ภาระธนาคารน้อยลง เห็นได้ว่า เป็นธนาคารที่บริหารครบวงจรแล้ว
ดังนั้น แนวโน้มน่าจะดีขึ้น เมื่อเพิ่มทุนเสร็จ
เธอกล่าวว่า ในสายตานักลงทุนต่างชาติ ยังสนใจตลาดหุ้นไทย เพราะปัจจัยพื้นฐานดี
แนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แต่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กองทุนต่างประเทศ ประเภทลงทุนระยะสั้น
เข้ามาลงทุนหุ้นไทยมาก ทำให้ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น นักลงทุนไทยเสียเปรียบ
เพราะกองทุนดังกล่าว สามารถยืมหุ้นขายก่อน เมื่อเวลาหุ้นลง จึงซื้อหุ้นราคาต่ำ
ก่อนส่งมอบคืน (Short sales)
ทางด้านนายอดิศร เสริมชัยวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บลจ. ไทยพาณิชย์ กล่าวว่าภาพรวมผลประกอบกลุ่มธนาคารพาณิชย์
เริ่มดีขึ้น คาดว่าปีนี้ สินเชื่อทั้งระบบจะเพิ่มขึ้นได้ กำไรจะเพิ่มขึ้นชัดปีหน้า
เพราะเศรษฐกิจไทยดีขึ้น ความสามารถปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น ขณะที่ 5 ธนาคารไถ่ถอนSlip/Cap
ทำให้ต้นทุนดำเนินธุรกิจลดลง
เขากล่าวว่าธนาคารทหารไทยเพิ่มทุนเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รอการวางตัวผู้บริหารใหม่
และแนวทางการบริหารต่อไป ขณะที่ธนาคารกรุงไทย ต้องรอการเพิ่มทุนให้เรียบร้อยก่อน
แต่ฟื้นตัวเร็ว
4 กลุ่มยังน่าสน
ปัจจัยที่จะทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ คือผลประกอบการ บจ. ไตรมาส3/46 โดยเฉพาะกลุ่มเงินทุนหลักทรัพย์
พลังงาน วัสดุก่อสร้าง และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งจะเห็นว่า กลุ่มหลักๆ ยังมีผลประกอบการดี จะส่งผลให้ภาพรวมตลาดหุ้นไทยดีขึ้นตาม
็การตอกย้ำเรื่องผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน จะช่วยเป็นปัจจัยหนุนให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน
เพราะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แม้ว่าในระยะสั้น ดัชนีอาจจะมีการปรับฐาน
แต่เชื่อว่า จะปรับตัวขึ้นได้ระยะต่อไป จากระดับปัจจุบันิ นายก้องเกียรติกล่าว
เรื่องค่าเงินบาท ที่แข็งต่อเนื่องช่วงนี้ อาจมีอิทธิพลต่อธุรกิจส่งออกบ้าง แต่เท่าที่สอบถามผู้ประกอบการธุรกิจดังกล่าว
ได้รับคำตอบจากผู้บริหารบริษัทต่างๆ ว่าปรับตัวได้แล้ว จึงไม่น่าจะได้รับผลกระทบรุนแรง
อย่างไรก็ตาม การที่นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยต่อเนื่องช่วงนี้ ถือว่าปกติ
เพราะเมื่อมีกำไร ย่อมต้องการปรับพอร์ตการลงทุน รวมทั้งชะลอเพื่อดูสถานการณ์ในไทย
ช่วงการประชุมAPEC กลาง ต.ค. นี้
แนวโน้ม เขาเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับมาลงทุนหุ้นไทย เพราะตลาดหุ้นไทยเมื่อพิจารณาสัดส่วนราคาหุ้นต่อกำไร
(พีอี) ขณะนี้ประมาณ 10 เท่า ซึ่งถือว่าไม่สูงมากนัก ราคายังสามารถลงทุนได้