|
KTBอัดเงินกู้7หมื่นล้าน ชูไทยเข้มแข็ง'มาร์ค'ลั่นจีดีพี3%
ASTVผู้จัดการรายวัน(17 พฤศจิกายน 2552)
กลับสู่หน้าหลัก
เมื่อเวลา 13.00 น. วานนี้ (16 พ.ย.) มีงานสัมมนา "อนาคตไทย...ภายใต้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง" จัดโดยธนาคารกรุงไทย (KTB) ที่ห้องบางกอกคอนเวนชั่น บี 2 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ
นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการธนาคารและกรรมการธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ธนาคารได้ตั้งเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อในปี 2553 ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 70,000 ล้านบาท หรือเติบโต 7% จากปี 2552 ซึ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อทุกประเภท โดยธนาคารจะพยายามปล่อยสินเชื่อให้ได้มากที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นการสนับสนุนสินเชื่อของธนาคารเองแล้ว ยังช่วยสนับสนุนให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพื่อตอบสนองการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วย
ส่วนการร่วมประมูลโครงการของภาครัฐบาลปี 2553 ธนาคารจจะเข้าร่วมประมูลทุกโครงการโดยเฉพาะโครงการไทยเข้มแข็ง โดยคาดว่าจะเป็นธนาคารที่มีส่วนแบ่งทางการตลาด(มาร์เก็ตแชร์) เป็นอันดับ 1 อยู่แล้วจากการร่วมประมูลโครงการที่ผ่านมามีมาร์เก็ตแชร์คิดเป็น 40% ของระบ เนื่องจากธนาคารมีต้นทุนต่ำ
สำหรับโครงการปล่อยสินเชื่อให้กับระดับรากหญ้า (ไมโครไฟแนนซ์)นั้น ธนาคารพร้อมที่จะเข้ารวมเพื่อตอบสนองนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งธนาคารจะเข้ารวมในลักษณะการสนับสนุนการให้บริการทางการเงิน บริการทางเทคโนโลยีและความรู้ด้านต่างๆ แก่สหกรณ์ กองทุนหมูบ้าน กองทุนชุมนุมเป็นต้น ส่วนการปล่อยกู้สินเชื่อโดยตรงนั้นจะเป็นธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกตรและสหกรณ์การเกตร(ธ.ก.ส.)
**สินเชื่อปีนี้โตต่ำกว่าเป้า**
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า เม็ดเงินของโครงการไทยเข้มแข็งที่ลงไปในระบบเศรษฐกิจโดยมีมูลค่า 1.43 ล้านล้านบาท และจะลงทุนใน 13 โครงการด้วยกัน โดยโครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนาด้านการขนส่งจะใช้งบประมาณลงทุนมากที่สุด ซึ่งในส่วนของธนาคารกรุงไทยเองก็จะเข้าไปร่วมประมูลทุกโครงการและให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ ธนาคารเชื่อว่าหากเม็ดเงินดังกล่าวกระจายลงไปในทุกอุตสาหกรรม ก็จะช่วยให้ระบบเศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยธนาคารประเมินภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2553 ว่าจะมีการฟื้นตัวมากขึ้นในหลายๆด้าน จากในปัจจุบันหลายธุรกิจมีตัวเลขดีขึ้น ซึ่งรวมไปถึงตัวเลขของธนาคารกรุงไทยด้วย โดยเฉพาะสินเชื่อรวมที่มีจำนวนผู้มาขอสินเชื่อกับธนาคารเพิ่มมากขึ้นในไตรมาส 3 ประมาณ 5% เมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันของปี 2551 อันเป็นมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นจึงทำให้ยอดการปล่อยกู้สินเชื่อดีขึ้นตามไปด้วย
“ตัวเลขผลประกอบการของทุกธนาคารออกมาในลักษณะที่ดีขึ้น จากที่เคยมีตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) สูงเกือบทุกธนาคาร แต่พอเศรษฐกิจดี ลูกหนี้ก็มีเงินมาชำระหนี้ตามระยะยเวลาที่กำหนดจึงทำให้ตัวเลขเอ็นพีแอลมีการปรับลดลงและคาดว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง"นายอภิศักดิ์ กล่าว
ส่วนโครงการหนังสือค้ำประกันทันใจ ไทยเข้มแข็ง 2555 โดยสามารถออกหนังสือค้ำประกันให้กับผู้ประกอบการ ภายใน 1 วัน มีลูกค้ามาขอใช้บริการดังกล่าวประมาณ 2 พันราย ภายใน 2 อาทิตย์หลังจากออกโครงการไป ซึ่งธนาคารมีการอนุมัติไปแล้ว 1.5 พันราย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2 พันล้านบาท ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่แสดงให้เห็นว่าสภาพเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น
นอกจากนี้ ในส่วนของเป้าหมายการเติบโตสินเชื่อรวมของธนาคารกรุงไทยในปีหน้านั้นจะมีการเติบโตสุทธิ 6- 7% หรือคิดเป็นมูลค่า 7.5 หมื่นล้านบาท โดยจะเน้นสินเชื่อโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งธนาคารตั้งเป้าจะให้มีมาร์เก็ตแชร์จากโครงการดังกล่าวประมาณ 25% หรือคิดเป็นวงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท
“ปกติธนาคารกรุงไทยมีมาร์เก็ตแชร์อยู่ในโครงการไทยเข้มแข็งประมาณ 20% เพราะเรามีลูกค้าก่อสร้างเยอะ ส่วนสินเชื่อก่อสร้างในปีนี้คาดว่าจะเบิกจ่ายได้หมดภายในปีหน้า แต่เรื่องต่างๆ ต้องทำให้ได้ถ้ามาบตาพุดจบ เพราะค้างอยู่เยอะ ยอดให้กู้ประมาณ 7 หมื่นล้านบาท ที่เบิกไปแล้วประมาณ 4 หมื่นล้านบาท หลายปีที่ผ่านมาสินเชื่อก่อสร้างเหลือน้อยลงมาก แต่ปีหน้าก็จะได้จากไทยเข้มแข็ง” นายอภิศักดิ์ กล่าว
อย่างไรก็ดี ยอมรับว่ายอดสินเชื่อรวมสุทธิในปี 2552 นี้จะโตเพียง 3-4% หรือคิดเป็นมูลค่า 3-4 หมื่นล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ในปีนี้โต 5-6% เนื่องจากธนาคารได้รับชำระคืนจากภาครัฐกลับมาจำนวน 3.5 แสนล้าน ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้าธนาคารคาดว่ามีโอกาสที่จะปรับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 1 และคาดว่าทั้งปีอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นขึ้นอีกประมาณ 0.75 - 1% เนื่องจากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่จะเพิ่มขึ้นอีกราว 2-3%
***นายกฯ ลั่นปีหน้าจีดีพีโตเกิน 3%
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษว่า งานสำคัญของรัฐบาลที่กำลังทำคือ วางรากฐานประเทศหลังจากที่เราเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจที่รุนแรง ซึ่งตนขอแสดงความชื่นชมที่ธนาคารกรุงไทย เข้ามา สนับสนุนให้ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และโปร่งใสมากยิ่งขึ้น นายกฯ ยืนยันว่า ปลายปีนี้ตัวเลขเศรษฐกิจจะกลับมาเป็นบวกอย่างแน่นอน และปีหน้ามั่นใจว่าจะมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจร้อยละ 3-3.5 หรือสูงกว่านั้น รวมทั้งไตรมาสสองในปีหน้าจะเห็นเรื่องการลงทุนภาครัฐมากขึ้น และภาคธุรกิจที่สนับสนุนด้านบริการการท่องเที่ยวจะมีลู่ทางการเจริญเติบโตต่อไป
ทั้งนี้ รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ที่จะฟื้นเศรษฐกิจใน 2 ลักษณะ คือ 1. ทำอย่างไรให้ประชาชนโดยเฉพาะคนยากจนจะได้รับการคุ้มครองปกป้องไม่ได้รับความเดือดร้อนมากเกินไป และ 2. ใช้โอกาสที่รัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจในการปรับโครงสร้างและวางรากฐานพร้อมกันไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากนั้นนายกฯ ได้กล่าวย้ำถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกทีละโครงการ เช่น การแทรกแซงพืชผลทางการเกษตร ต้นกล้าอาชีพ เช็คช่วยชาติ นโยบายหลายเรื่องลดค่าใช้จ่ายและเสริมรายได้ อาทิ การศึกษาฟรี เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ลดภาระค่าน้ำ ค่าไฟ ฯ
"นับตั้งแต่เม.ย.เป็นต้นมา ตัวชี้วัดความเคลื่อนไหวไปทางบวกทั้งสิ้น นั่นคือเราสามารถหยุดยั้งการหดตัวของเศรษฐกิจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราสามารถหยุดยั้งไม่ให้ภาวะการว่างงานเพิ่มขึ้น และขณะนี้กำลังลดลงแล้ว" นายกรัฐมนตรีกล่าว
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการประชุมเอเปก ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านต่างๆ ด้วยว่า สิ่งที่เห็นชัดว่าแม้ประเทศส่วนใหญ่มีการเจริญเติบโตกลับมาเป็นบวก แต่ว่ามีประเทศจำนวนมาก ที่การว่างงานยังเพิ่มขึ้น ซึ่งสร้างความวิตกให้กับผู้นำประเทศอย่างชัดเจน แต่รัฐบาลทราบดีว่า มาตรการรอบแรกเป็นการลดผลกระทบเท่านั้น และมีส่วนในการสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้บ้าง แต่ไม่เพียงพอในการทำให้มั่นใจว่า จะขยายตัวและพร้อมแข่งขันในเศรษฐกิจโลกต่อไป รัฐบาลจึงผลักดันให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสอง ภายใต้ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|