จีบสิ่งพิมพ์เข้าตลาดหุ้น


ผู้จัดการรายวัน(26 กันยายน 2546)



กลับสู่หน้าหลัก

ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ บูมหลังฐานการผลิตย้ายมาไทย คาดปีหน้าเข้าระดมทุนผ่านตลาด หลักทรัพย์ 10 แห่ง เพื่อรองรับธุรกิจที่ขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจ จีบเอ็มเคสุกี้เข้าตลท.หลังตลาดหุ้น คึกดัชนีตั้งแต่ต้นปีปรับตัวขึ้นมาถึง 60% ปีหน้ามีโอกาสไปต่อตามเศรษฐกิจ มาร์เกตแคปแตะ 4 ล้าน ล้านบาท ดังนั้น ตั้งมาตรฐานบจ. เข้าตลาดต้องมีคุณภาพดีเป็นสิ่งแรก

นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย ประธานศูนย์ระดมทุนและรองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ไทย เปิดเผยว่าจากการที่ประเทศไทยจะกลายเป็นศูนย์การพิมพ์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปีหน้า เนื่องจากจะมีการย้ายฐานการผลิตจากฮ่องกง และสิงคโปร์มายังประเทศไทยนั้นจะส่งผลให้กลุ่มธุรกิจการพิมพ์และสิ่งพิมพ์ต้องมีการระดมทุน เพื่อขยายกิจการ

ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์จึงได้มีการหารือกับผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวกับการพิมพ์ และพบว่า มีบริษัทประมาณ 10 แห่งที่ต้องการขยายฐานทุนเพิ่ม จึงมีโอกาสที่บริษัทเหล่านี้จะระดมทุนผ่านทั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (เอ็มเอไอ) ในปีหน้า

"ที่ผ่านมากลุ่มธุรกิจเหล่านี้ได้มาฟังข้อมูลในการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์แล้ว และหลายบริษัทก็แสดงความสนใจที่จะนำบริษัทเข้าตลาดฯ เพราะต้นทุนการระดมทุนต่ำเมื่อเทียบกับการกู้เงิน"

สำหรับการย้ายฐานการผลิตมาสู่ประเทศไทยนั้นจะส่งผลดีต่อธุรกิจ เนื่องจากจะทำให้ต้นทุนการ ผลิตในประเทศต่ำกว่า ขณะเดียวกันถือเป็นการขยายช่องทางการทำธุรกิจในเมืองไทยได้อย่างดี เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งธุรกิจสิ่งพิมพ์น่าจะได้รับผลดีจากการเติบโตของเศรษฐกิจตามไปด้วย

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ยังได้ส่งเจ้าหน้าที่ ไปเชิญชวนบริษัทเอ็มเค สุกี้ ธุรกิจอาหารรายใหญ่เข้า มาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ปรากฏว่าเอ็มเค สุกี้ มีความมั่นคงทางการเงินมาก โดยมีกระแสเงินสดเหลือเพียงพอในการขยายธุรกิจเพิ่มเติม ดังนั้นผู้ประกอบการจึงขอเวลาในการตรึกตรองถึงประโยชน์ ที่ได้รับจากการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ก่อนการตัดสินใจ

อย่างไรก็ดีมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ตั้งแต่ต้นปีมีความคึกคัก ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ไทยตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมาปรับตัวขึ้นไป 60% สูงสุดเมื่อเทียบกับตลาดในภูมิภาคเดียวกัน โดยมีตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ไต้หวัน รองลงมาตามลำดับ จึงทำให้ตลาดหุ้นไทยเนื้อหอมเมื่อเทียบกับตลาดในภูมิภาคเดียวกัน ขณะที่อัตราราคาต่อกำไรต่อหุ้น (พีอี) อยู่ที่ระดับ 10 เท่า ต่ำกว่าพีอีตลาดหุ้นอื่นที่มีพีอี 15-20 เท่า เพราะฉะนั้น ระดับดัชนีราคาในปัจจุบันจึงยังไม่สูง

ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเติบโตต่อเนื่อง อัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 2.5% สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ส่งผลให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนมีมากขึ้น เห็นได้จากการลงทุนตรงผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) และการลงทุนผ่านกองทุน ดังนั้น คาดว่าแนวโน้มปีหน้าน่าจะมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายของมูลค่าตลาดรวม (มาร์เกตแคป) อยู่ที่ระดับ 4 ล้านล้านบาท ซึ่งนับรวมรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่ทยอยเข้ามาระดม ทุนในปีหน้าด้วย

ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์จึงให้ความสำคัญกับการพิจารณาคุณภาพของบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นอันดับแรก บรรษัทภิบาลของบริษัทจดทะเบียนที่ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของผู้ถือหุ้นสูงสุด นอกจากนั้นยังเพิ่มช่องทางการระดมทุนให้มากขึ้น โดยปลายปีนี้ตลาดหลักทรัพย์จะเปิดให้ซื้อขายหุ้นกู้ได้ รวมถึงการจัดนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.