เมืองหมาหอน

โดย ธีรัส บุญ-หลง
นิตยสารผู้จัดการ( ตุลาคม 2546)



กลับสู่หน้าหลัก

"เฮ้ย! แดน เป็นอะไรไป ดูเหนื่อยๆ ยังไงก็ไม่รู้" ผมเอ่ยกล่าวทักแดเนียล เพื่อนคู่เวรคู่กรรมชาวไอริชของผมที่ดูท่าทางอิดโรยและสับสน ขอบตาเขาดูคล้ำๆ ขัดกับบุคลิกที่มีชีวิตชีวาแบบปกติของเขา ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ตั้งแต่เรามาที่อิตาลีด้วยกันเพื่อมาทำ NDT (non-destructive testing) research ที่นี่เขาก็ดูเหมือนไร้ชีวิตจิตใจเข้าไปทุกที ขอบตาคล้ำขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ตัวเขาก็ซีดลงทุกวัน

"เรานอนไม่หลับน่ะ ฝันไม่ดีติดกันมาหลายวันแล้ว อย่าให้เราเล่าเลย" แดนกล่าว เมื่อไม่อยากให้ถาม ผมก็ไม่อยากกดดันเขา สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้มันสำคัญกว่าสิ่งไร้สาระเหล่านั้นมาก พวกเราควรจะมาพบ Julia ที่นี่ได้สักครึ่งชั่วโมงที่แล้ว แต่สิ่งที่เราเห็นในขณะนี้คือเหล่าสาวกของ Marilyn Manson ชาว Goth ทั้งหลายที่แต่งดำทาหน้าขาว เจาะลิ้น เจาะจมูก และเจาะปาก พวกเขาดูมีความสุขและเหมือนกำลังรอคอยวงดนตรีวงโปรดของพวกเขา

"เรามาทำอะไรกันที่นี่" ผมถามตัวเอง จริงๆ แล้วผมก็เพิ่งจะรู้เมื่อ 6 ชั่วโมงก่อนหน้านี้นั่นเองว่าต้องไปตรวจสอบอาคารโบราณแถว Umbria Julia โทรมาหาผมเมื่อประมาณเที่ยงคืนเพื่อที่จะบอกว่า "นอนได้แล้ว เธอกับแดนต้องไป Umbria กับพวกฉันตอนหกโมงเช้า แล้วเจอกันที่สถานีรถไฟปลายทางสาย...ก็แล้วกัน" เมื่อมันเป็นงานพวกเราก็ต้องไปถึงแม้จะเพิ่งบอกและเป็นวันอาทิตย์ก็ตามทีกว่าจะเจอ Julia ก็ประมาณ 10 โมงแล้ว (มาตามนัดฉบับคนอิตาเลียน) เธอดูตกใจเช่นกันที่พวกเราอยู่ท่ามกลางสาวก Goth นับร้อย มันไม่ยากที่จะหาผมกับแดน เนื่องจากมีคนเพียง 2 คน ในที่นั้นที่ไม่ได้แต่งดำและทาหน้าขาว

10.30 น. เราก็ออกเดินทางไป Umbria ถนนทางหลวงในอิตาลีนั้นยังกับสนามแข่งรถ รถเฉี่ยวกันไปเฉี่ยวกันมาเป็นเรื่องปกติ กว่าจะถึงแถบ Umbria ก็ 3-4 โมงเย็นแล้ว เราไปหมู่บ้าน Campi ทันที

Campi เป็นหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่เคยเจริญรุ่งเรืองสมัยโรมัน ที่นี่เคยเป็นหมู่บ้านที่มี่ชื่อเสียงสำหรับบ้านตากอากาศ มีผู้คนอาศัยถึงประมาณ 500 คน ทุกอย่างกลายเป็นอดีต เมื่อคนหนุ่มสาวเริ่มออกไปหางานทำในเมืองใหญ่ คนจึงน้อยลงเรื่อยๆ จนถึงประมาณ ค.ศ.1850 เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ทำให้เมืองทั้งเมืองพังลงมาจนปัจจุบันมีผู้คนหลงเหลืออยู่เพียง 20 คนเท่านั้น

กระทรวงวัฒนธรรมของประเทศอิตาลีได้ร่วมมือกันกับทางมหาวิทยาลัย เพื่อทำการวิจัยและซ่อมแซมเมืองให้อยู่ในสภาพเดิม ทีมของพวกผมซึ่งประกอบด้วย Julia Marco Lorenzo Mossimo หัวหน้าทีมซึ่งเป็น Technician และผมกับแดน นักศึกษาไฟแรง ก็ได้ร่วมมือกับสองสถาปนิกสาวสวย Shrona กับ Benedetta จากกระทรวงวัฒนธรรมเพื่อช่วยซ่อมแซมบูรณะโบสถ์เก่าแก่ของ Campi เพื่อที่ประเทศอิตาลีจะได้รักษาเมือง Campi ไว้เป็นสมบัติของชาติสืบไป

ที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือหน้าต่างตามบ้านที่เมืองนี้จะมีขนาดเล็กครับ จริงๆ แล้ว ยิ่งหน้าต่างเล็กลงเท่าไร ก็หมายความว่าตัวตึกนั้นอายุจะเก่ามากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากสมัยก่อนมีสงครามระหว่างแคว้น และเมืองต่างๆ มากมาย เมืองต่างๆ ส่วนมากจึงอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ เช่น บนเขา โดยมีกำแพงหินขนาดใหญ่ โอบล้อมโดยรอบ หน้าต่างบานเล็กนี้เอาไว้ป้องกันอันตรายจากศัตรูที่มาโจมตีจากคมหอกหรืออาวุธต่างๆ ที่ยิงเข้ามา นอกจากนั้นในฤดูหนาวยังใช้ป้องกันอากาศอันหนาวเหน็บและทำให้เก็บความร้อนในห้องที่อยู่อาศัยได้ดีขึ้นอีก

รัฐบาลอิตาลีให้ความสำคัญกับสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มาก ผู้คนก็สนใจสิ่งเหล่านี้ เพราะได้เรียนรู้วัฒนธรรมของชนชาติตัวเองและช่วยกันอนุรักษ์บ้านเมืองอีกด้วย งานด้านนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลมากจนเดี๋ยวนี้มีหลายๆ คนที่อยากเรียนและเป็น Specialist ด้านนี้ครับ รัฐบาลไทยน่าจะเอาอย่างนะครับ เพราะของเราดีๆ ที่ยังไม่ได้รับการเหลียวแลอย่างจริงจังยังมีอีกมาก

พวกเราต้องเริ่มทำงานทันทีที่ถึง แม้จะมีเวลาแค่เพียง 2 สัปดาห์เท่านั้นที่จะเก็บข้อมูล ในขณะเดียวกันเราต้องทำ NDT กับอีก 2 หมู่บ้านข้างๆ ด้วยอย่างแรกที่ทุกคนต้องทำคือหารอยร้าวจากตัวตึก ตัวโบสถ์ต่างๆ แล้วถ่ายรูปเก็บไว้ กับทำแผนที่รอยร้าวบนภาพเล็กๆ คนในหมู่บ้านมีแต่อายุมากแล้ว พวกเขาไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับเรามากนัก

Campi อยู่ท่ามกลางหุบเขามีทิวทัศน์อันสวยงาม พวกเราทำงานกันเพลินจนประมาณ 3 ถึง 4 ทุ่ม ก็ต้องหาที่พัก หมู่บ้านเริ่มมืดสนิท (ที่ยุโรปหน้าร้อนจะมืดช้าครับ) ผู้คนในหมู่บ้านรีบเข้านอนเหมือนจะหลบซ่อนจากบางสิ่ง เสียงหมาหอนเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ดังมากเหลือเกินไม่ทราบว่ามาจากไหน ในหมู่บ้านก็มีหมาแค่ตัวเดียว พวกเราก็ไม่คิดอะไร จนมองขึ้นไปเห็น พระจันทร์เต็มดวง...สีเลือด



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.