ใบโพธิ์คาดปีหน้าSP2อัดฉีด2แสนล.


ASTVผู้จัดการรายวัน(9 ตุลาคม 2552)



กลับสู่หน้าหลัก

ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ประเมินเม็ดเงินจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งที่สามารถอัดฉีดเข้าระบบได้ในปีหน้า จะอยู่ในราว 2 แสนกว่าล้าน ส่วนอื่นๆยังคงต้องรอความชัดเจนในแหล่งที่มาของเงินทุน ด้านสัดส่วนโครงการเป็นส่วนของอสังหาฯมากสุด 40%

ศูนย์วิจัยธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 (SP2) หรือ แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ซึ่งมูลค่ารวม 1.4 ล้านล้านบาทนั้น คาดว่าจะทำให้มีการเบิกจ่ายงบประมาณราว 2 แสนกว่าล้านบาทในปี 2553 ซึ่งโดยรวมแล้ว ระดับการใช้จ่ายของภาครัฐจะไม่เปลี่ยนแปลงจากปี 2552 เท่าใดนัก เพราะวงเงินนอกงบประมาณจาก SP2 ในปีหน้าส่วนหนึ่งจะมาชดเชยวงเงินในงบประมาณที่ลดลง ดังนั้น แรงกดดันให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นในระยะยาวจะไม่มากอย่างที่คิด

สำหรับโครงการ SP2 ทั้งหมด 1.4 ล้านล้านบาท มีโครงการที่ยังไม่พร้อมดำเนินการซึ่งต้องศึกษาเพิ่มเติม หรือที่เรียกว่า Tier-2 และ Tier-3 อยู่ราว 4 แสนล้านบาท เหลือโครงการที่จัดอยู่ในประเภท “พร้อมดำเนินการ” (Tier 1) ราว 1 ล้านล้านบาท แต่มิใช่ว่าทุกโครงการจะเริ่มดำเนินการได้ในระยะอันใกล้ เพราะต้องขึ้นอยู่กับความชัดเจนด้านแหล่งเงินทุนและลักษณะโครงการ เช่น งบประมาณกว่า 3 แสนล้านบาท คาดว่าจะมาจากรัฐวิสาหกิจและเงินกู้ยืมจากต่างประเทศที่ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก

สำหรับแหล่งเงินทุนที่ดูมีความชัดเจนมีอยู่ราว 7 แสนล้าน โดยส่วนแรก 3 แสนล้านบาทซึ่งมีความชัดเจนที่สุดนั้น มาจากพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ที่เดิมมีวงเงินกู้ 4 แสนล้านบาทแต่ต้องกันไว้ชดเชยเงินคงคลังราว 1 แสนล้านบาท สำหรับส่วนที่สองอีก 4 แสนล้านบาทนั้น จะมาจากร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งวุฒิสภาลงมติเห็นชอบให้แก้ไขในบางมาตรา ทำให้สภาผู้แทนราษฎรต้องมาตัดสินอีกทีว่าจะแก้ไขตามที่วุฒิสภาเสนอหรือไม่

จากโครงการส่วนที่มีความชัดเจนของแหล่งทุนที่สุด 3 แสนล้านบาท SCB EIC คาดว่าจะมีการเบิกจ่ายได้จริงราว 2 แสนกว่าล้าน โดยถ้าสมมติให้โครงการก่อสร้างถนนและอาคารมีอัตราการเบิกจ่ายเท่ากับที่เคยทำได้จริงในอดีต และให้โครงการอื่นๆ เบิกจ่ายได้เท่ากับงบลงทุนในงบประมาณประจำปี จะได้ตัวเลขเบิกจ่ายประมาณ 2 แสนล้านบาทในปี 2553 แต่ถ้าสมมติให้รัฐเบิกจ่ายได้เร็วที่สุดเท่าที่เคยทำได้คือให้ทุกโครงการเบิกจ่ายได้ 80% ในปีแรกจะได้ตัวเลขเบิกจ่ายราว 2.4 แสนล้านบาท ซึ่งหากเทียบกับวงเงินในงบประมาณปี 2553 ที่ลดไปจากงบประมาณปี 2552 ราว 2 แสนล้านบาท จะทำให้เห็นได้ว่าการใช้จ่ายภาครัฐไม่น่าเป็นปัจจัยกดดันให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น

ในแง่ของผลกระทบต่อเศรษฐกิจ SCB EIC เข้าไปดูรายละเอียดของแต่ละโครงการเพื่อแบ่งเป็นประเภทต่างๆ พบว่า ประเภทโครงการส่วนใหญ่เป็นโครงการด้านการก่อสร้าง (40%) และกิจกรรมการจัดจ้างและอบรม (38%) และการจัดซื้ออุปกรณ์ (15%) ดังนั้นจึงน่าจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างพื้นฐาน เช่น ซิเมนต์ เหล็ก หิน รวมทั้งการจ้างงานในชุมชนที่เกิดจากการทำโครงการที่เน้นการจัดจ้าง เช่น การจัดทำแหล่งน้ำขนาดเล็ก 1,600 แห่งทั่วประเทศ

ทั้งนี้ ในภาพรวม SCB EIC คาดว่าอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ไม่น่าเป็นห่วงมากนัก แม้มีแนวโน้มจะเพิ่มจากระดับปัจจุบันที่ 43% ไปถึงระดับสูงสุดที่ 61% ในปี 2557 แต่น่าจะค่อยๆ ลดลง โดยเป็นผลจากอัตราการเติบโตของ GDP เป็นหลัก ไม่ใช่การลดลงของระดับหนี้โดยตรง


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.