|
เพชรยูบิลลี่จะขายหุ้นไอพีโอ35ล. เข้าจดทะเบียนในmaiไตรมาส4นี้
ASTVผู้จัดการรายวัน(29 กันยายน 2552)
กลับสู่หน้าหลัก
เพชรยูบิลลี่ พร้อมขายไอพีโอ 35 ล้านหุ้น พาร์ 1 บาท เดินหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ mai ไตรมาส 4 ปี52 ผู้บริหารมั่นใจนักลงทุนตอบรับดี ชี้ป็นบริษัทค้าปลีกเพชรรายแรกในตลาดหลักทรัพย์นี้ ส่วนเงินที่ได้จากการระดมทุนใช้ขยายงานเป็นทุนหมุนเวียนและชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น
นางสาวอัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ผู้จำหน่ายและทำตลาดเพชรกะรัตและเครื่องประดับเพชร ภายใต้แบรนด์ "เพชรยูบิลลี่" เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 35 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้(พาร์)หุ้นละ 1 บาท ในไตรมาส 4 ปีนี้ และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ(mai) มั่นใะได้รับการตอบรับดีจากนักลงทุน เพราะเป็นบริษัทค้าปลีกเพชรและเครื่องประดับเพชรรายแรกของตลาดหลักทรัพย์ mai
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะใช้ขยายสาขาเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า พัฒนาระบบคอมพิวเตอร์แบบเรียลไทม์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ซื้อวัตถุดิบเพื่อผลิตและเพิ่มสินค้ารองรับการขายของทุกสาขาทั่วประเทศและเป็นเงินทุนหมุนเวียนพร้อมชำระคืนเงินกู้ยืมระยะสั้น
โดยเชื่อว่าภาพรวมอุตสาหกรรมอัญมณีในประเทศปี 52 มีแนวโน้มที่ดีถึงแม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะชะลอตัว โดยประมาณการส่วนแบ่งทางการตลาดครึ่งปีแรกอยู่ที่ 10% ของมูลค่าตลาดในกลุ่มที่จัดจำหน่ายผ่านช่องทางเคาน์เตอร์ หรือ 2% ของมูลค่าตลาดค้าปลีกเครื่องประดับเพชรทั้งหมดในไทย ทำให้ยังมีโอกาสเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้อีก ซึ่งบริษัทขยายช่องทางผ่านเครือข่ายพันธมิตรในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทุกจังหวัดในประเทศรวมถึงกลุ่มเทสโก้ โลตัส ทำให้มีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นและยังป้องกันความเสี่ยงจากการพึ่งพิงลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ปัจจุบันบริษัทฯมีฐานสมาชิกกว่า 80,000 ราย
ขณะเดียวกันสินค้าของบริษัทฯ ยังมีใบรับประกันคุณภาพเพชร (Diamond Certificate) จากสถาบันในต่างประเทศ อาทิ GIA และ HRD ที่ได้รับความเชื่อถือในคุณภาพมาตรฐานระดับนานาชาติ โดยปีนี้บริษัทเน้นพัฒนาความรู้ความสามารถของพนักงานขาย ตลอดจนบริการหลังการขายที่ดี เพื่อสร้างความมั่นใจ และความไว้วางใจของลูกค้าที่มีต่อสินค้าและการให้บริการของบริษัทฯ
นอกจากนี้ บริษัทยังจะเพิ่มสาขาจากเดิมที่มีอยู่ 68 สาขา เป็น 70 สาขาภายในสิ้นปี 52 พร้อมเพิ่มสายของผลิตภัณฑ์โดยเน้นลักษณะที่มีความแตกต่างและมีคุณภาพสูง เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดและตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง รวมถึงขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าใหม่ ๆ ทั้งในและต่างประเทศ
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|