SCG กินรวบรับสร้างบ้าน ถึงคราวรับเหมารายย่อยสะเทือน


ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์(21 กันยายน 2552)



กลับสู่หน้าหลัก

เอสซีจีขยับก้าวรุกตลาดสะเทือนวงการรับเหมา จับมือเซกิซุยดึงระบบบ้านสำเร็จรูปจากญี่ปุ่นบุกตลาดรับสร้างบ้านไทยเต็มสูบ เจาะตรงรับงานลูกค้ารายย่อย-ดีเวลลอปเปอร์-บริษัทรับสร้างบ้าน

ความได้เปรียบของเอสซีจีในฐานะที่เป็นกลุ่มผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดและมีฐานลูกค้าและเครือข่ายผู้จัดจำหน่ายมากที่สุดในไทย ทำให้เมื่อเอสซีจีขยับก้าวแต่ละครั้ง เพื่อต่อยอดธุรกิจ กลายเป็นเรื่องที่สะเทือนวงการ และความเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดที่เอสซีจีเซ็นสัญญาร่วมทุนกับเซกิซุย เคมิคอลผู้นำระบบก่อสร้างบ้านสำเร็จรูปจากญี่ปุ่น เพื่อรุกตลาดรับสร้างบ้านไทยอย่างจริงจัง ได้กลายเป็นจิ๊กซอว์ที่เติมเต็มและตอกย้ำถึงความครบวงจร ซึ่งจะสร้างความแข็งแกร่งให้กับเอสซีจีมากยิ่งขึ้น

การร่วมทุนครั้งนี้เอสซีจีได้จัดตั้ง 2 บริษัท ภายใต้ชื่อ SCG-HEIM ได้แก่ บริษัท เซกิซุย-เอสซีจี อินดัสทรี ดูแลการผลิตส่วนประกอบของบ้าน โดยตั้งโรงงานที่หนองแค จ.สระบุรี โดยเซกิซุยฯ ถือหุ้น 51% และเอสซีจีถือหุ้น 49% และบริษัท เอสซีจี-เซกิซุย เซลส์ จำกัด ดูแลการขายและการบริการรับสร้างบ้านให้ลูกค้า โดยเอสซีจีถือหุ้น 51% เซกิซุยฯ ถือหุ้น 49% ซึ่งเซกิซุยทำธุรกิจพลาสติก ท่อน้ำพลาสติกสำหรับงานสาธารณูปโภคและสิ่งแวดล้อม และธุรกิจรับสร้างบ้าน โดยเป็นผู้นำในตลาดบ้านสำเร็จรูประบบโมดูลาร์ที่ญี่ปุ่น และสร้างบ้านมาแล้วกว่า 4.5 แสนหลัง และเป็นครั้งแรกที่มีการขยายตลาดรับสร้างบ้านมานอกประเทศ

บ้านสำเร็จรูปในระบบโมดูลาร์จะมาจากการผลิตชิ้นส่วนที่โรงงาน ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน จากนั้นนำชิ้นส่วนต่างๆ มาประกอบติดตั้งที่หน้างาน ใช้เวลา 1-2 วัน ซึ่งรวดเร็วกว่าการก่อสร้างในระบบเดิม รวมถึงคุณภาพของการก่อสร้างที่มีความเที่ยงตรง เนื่องจากชิ้นส่วนกว่า 80% ของตัวบ้านผลิตสำเร็จรูปมาจากโรงงาน โครงสร้างบ้านสามารถต้านทานแรงแผ่นดินไหวและลมได้ มีนวัตกรรมระบบหมุนเวียนอากาศ ช่วยกรองฝุ่นละออง ทำให้อากาศภายในบ้านบริสุทธิ์ และเย็นทั่วถึงสม่ำเสมอ ช่วยประหยัดไฟจากเครื่องปรับอากาศ ทุกส่วนติดฉนวนพร้อมระบบ Air Tightness ปกปิดรอยต่อต่างๆ ของตัวบ้าน ช่วยลดความร้อนเข้าสู่ตัวบ้าน และกันความเย็นออกไปภายนอก ซึ่งทำให้บ้านอยู่สบาย ทั้งนี้การก่อสร้างจะใช้วัสดุภายในประเทศกว่า 80-90%

กลุ่มเป้าหมายของระบบบ้านสำเร็จรูปดังกล่าว คือ ลูกค้าทั่วไป ดีเวลลอปเปอร์ และบริษัทรับสร้างบ้านในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดใกล้เคียง โดยเน้นการทำตลาดแบบ Customer Centric ไม่มีแบบบ้านมาตรฐาน แต่เน้นการออกแบบที่ตรงตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งระบบโมดูลาร์สามารถรองรับการต่อเติมบ้าน และการปรับบ้านให้เป็น Green House ที่สามารถผลิตพลังงานด้วยตัวเองในอนาคตได้ คุณภาพการก่อสร้างที่มีความเที่ยงตรง งบประมาณจึงไม่บานปลาย โดยตั้งราคาค่าก่อสร้าง 25,000 บาทต่อ ตร.ม. ซึ่งพิชิต ไม้พุ่ม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กล่าวว่า การทำตลาดของเอสซีจีในธุรกิจนี้ในช่วงแรกตั้งเป้าว่า จะให้เป็นตัวเลือกหนึ่งของผู้บริโภคเมื่อคิดจะสร้างบ้าน ซึ่งเอสซีจีมีบริการดูแลลูกค้าครบวงจรตลอดอายุการใช้งานของบ้าน ตั้งแต่การออกแบบตัวบ้าน ตกแต่งภายในและภายนอกตามงบประมาณที่ลูกค้าต้องการ บริการขออนุญาตก่อสร้าง ขอสินเชื่อ ซึ่งครบวงจรเช่นเดียวกับบริษัทรับสร้างบ้านทั่วไป พร้อมรับประกันโครงสร้างบ้าน รากฐานเป็นเวลา 20 ปี พร้อมรับประกันอุปกรณ์และระบบต่างๆ ภายในบ้าน รวมทั้งมีบริการหลังการขาย บริการตรวจเช็คระบบต่างๆ โดยตั้งเป้ายอดขาย 100 หลังภายปี 2553 ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 220 หลังต่อปี ในอนาคตจะตั้งโรงงานผลิตใหม่ตามภูมิภาคต่างๆ เพี่อเจาะตลาดต่างจังหวัดเพิ่ม ขั้นต้นตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์เพียง 10% ของจำนวนบ้านสร้างใหม่แต่ละปี

การนำระบบโมดูลาร์มารุกตลาดรับสร้างบ้านของเอสซีจีนอกจากจะเป็นการต่อยอด เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าและยอดขายให้กับวัสดุก่อสร้างของเอสซีจีแล้ว การขยับรุกธุรกิจใหม่ในครั้งนี้อาจจะสร้างแรงกระเพื่อมให้กับกลุ่มผู้รับเหมาพอสมควร เพราะเป็นการพยายามเข้าไปมีบทบาทแทนที่ผู้รับเหมารายย่อยที่ใช้การก่อสร้างในระบบดั้งเดิม แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน เวลา และคุณภาพงานที่ควบคุมได้ยาก ซึ่งปัจจุบันทั้งตลาดยังใช้ระบบการก่อสร้างแบบดั้งเดิมเป็นส่วนใหญ่


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.