บัตรกรุงไทย ประกาศเพิ่มทุน 1.5 พันล้านบาท ด้วยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนกว่า
152 ล้านหุ้น แบ่งขายให้ กับผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 1 ต่อ 1.5 ราคาหุ้นละ 20
บาท ส่วนที่เหลืออีก 2 ล้านหุ้น สำรองการใช้สิทธิวอร์แรนต์ ผู้บริหารเผย ฐานะการเงินแข็งแกร่งหลังเพิ่มทุนอัตรา
ส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น ลดลงจาก 5.58 เหลือ 1.9 เท่า ขณะที่ บล. ดีบีเอส
วิคเคอร์ส แนะซื้อลงทุน ราคาเป้าหมายที่ 75 บาท จาก ราคาตลาดอยู่ที่ 45.25 บาท
นายนิวัตต์ จิตตาลาน ประธานเจ้าหน้าที่ บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
หรือ KTCกล่าวว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 11/2546 มีมติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก
จำนวน 1,050 ล้านบาท เป็น 2,579.28 ล้านบาท ด้วยการออกหุ้นสามัญใหม่ จำนวน 152,927,750
หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท
โดยแบ่งการจัดสรรออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก จำนวน 150 ล้านหุ้น เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียนการโอนหุ้น
ณ วันที่ 14 ตุลาคม 2546 ในอัตราส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 1.5 หุ้นใหม่ ในราคา หุ้นละ
20 บาท โดยในกรณีที่มีเศษหุ้นให้ตัดทิ้ง และนำเศษหุ้นไปรวมกับหุ้นที่เหลือจากการ
จองซื้อที่ผู้ถือหุ้นบางรายสละสิทธิไปจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นที่ต้องการจองหุ้นเพิ่มทุนเกินสิทธิที่ได้รับ
ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นมีสิทธิที่จะจองซื้อหุ้นใหม่ในจำนวนที่เกินกว่าสิทธิที่มีอยู่ในราคาหุ้นละ
20 บาท ต้องทำการจองซื้อพร้อมกับการจองซื้อหุ้นตามจำนวนที่มีสิทธิและชำระเงินค่าจองซื้อตามจำนวนที่ตนจองซื้อดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม หากมีจำนวนหุ้นที่เหลือจากการใช้สิทธิ ให้นำหุ้นดังกล่าวมารองรับการใช้สิทธิในการซื้อหุ้นสามัญของผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิที่เสนอขายให้แก่กรรมการและพนักงาน
(ESOP) ที่ได้รับอนุญาตจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2545 เมื่อวันที่
12 ธันวาคม 2545
ส่วนที่ 2 หุ้นสามัญจำนวน 2,927,750 หุ้น จัดสรรเพื่อรองรับการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญของ
ผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิของบริษัทเพิ่มเติม อันเนื่องมาจากการที่อาจจะต้องมีการปรับอัตราการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิภายใต้โครงการ
ESOP
โดยที่บริษัทฯ คาดว่าราคาสุทธิของหุ้นสามัญที่เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมนั้น
จะต่ำกว่าร้อยละ 90 ของราคาตลาดของหุ้นสามัญของบริษัทฯ เป็นเหตุให้บริษัทต้องทำการปรับอัตราการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิภายใต้โครงการ
ESOP ตามสูตรคำนวณที่กำหนดไว้ในข้อกำหนดและเงื่อนไขของใบสำคัญแสดงสิทธิ
สำหรับวัตถุประสงค์ของการเพิ่มทุนครั้ง นี้เป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งทางด้านฐานะการ
เงินของบริษัท และทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) ลดลงจาก
5.58 เป็น 1.9 ส่งผลให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจใหม่อันจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงาน
ซึ่งจะ เป็นผลให้ผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนในรูปของ เงินปันผลและส่งผลดีต่อมูลค่าหุ้นในอนาคต
อย่างไรก็ตาม เรื่องการเพิ่มทุนดังกล่าว บริษัทจะนำเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณา
อนุมัติ โดยกำหนดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2546 ในวันที่ 3 พฤศจิกายน
2546 และกำหนดปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้น เพื่อสิทธิในการเข้าร่วมประชุม และสิทธิในการ
จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน ในวันที่ 14 ตุลาคม 2546 เป็นต้นไป
สำหรับบรรยากาศการซื้อขายหุ้น หลังจากที่ KTC ประกาศเพิ่มทุน ทำให้ราคาหุ้นใน
ช่วงบ่ายปรับตัวลดลงจากวันก่อนหน้าทันที และปิดการซื้อขายที่ราคาหุ้นละ 45.25 บาท
ลด ลงจากวันก่อน 8.25 บาท หรือ 15.42% ปริมาณการซื้อขาย 4,689,300 หุ้น คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้น
223.62 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิค เคอร์ส (ประเทศไทย) วิเคราะห์ว่าภาพรวมของ
KTC ยังมีแนวโน้มค่อนข้างดี โดยบริษัทเพิ่มฐานรายได้จากเดิมที่มาจากเครดิตการ์ดเป็นหลัก
และในเดือนตุลาคมนี้ บริษัทก็เตรียมปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลซึ่งจับฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนเป็นอย่างดี
ดังนั้นสำหรับการลงทุนเราปรับประมาณการกำไรสุทธิในปี 2546 ขึ้น 0.8% และปี 2547
ขึ้น 15% มาอยู่ที่ระดับ 304 ล้านบาท และ 499 ล้าน บาท ตามลำดับ (EPS 3.04 และ
4.99 บาท) และให้ Dividend yield 2003 ในระดับ 2.28%
ดังนั้นสำหรับการลงทุนเราปรับเป้าหมาย เพิ่มขึ้นจากเดิม 45.50 บาท เป็น 75 บาท
(PE 2004 ที่ระดับ 15 เท่า ) ดังนั้นสำหรับการลงทุน ณ ระดับราคาปัจจุบันเราแนะนำซื้อ