จริง ๆ แล้วประภาเป็นคนชอบเก็บตัวเงียบ ๆ
ทุกวันนี้ประภาจะตื่นนอนประมาณตี 5 ทำกิจวัตรยามเช้าแล้วก็จะให้คนขับรถมาส่งที่สวนลุมฯ
เพื่อจ๊อกกิ้งออกกำลังกายจากนั้นราว ๆ 7 โมงก็กลับบ้าน
บ้านของประภาอยู่ริมถนนรัชดาภิเษกเส้นเลียบแม่น้ำย่านช่องนนทรี ประภาพักอาศัยอยู่ชั้นบน
ส่วนชั้นล่างเป็นสำนักงานบริษัทสหวิริยาพาณิชย์กิจการค้าเหล็ก ที่เป็นรากฐานอันแข็งแกร่งของธุรกิจในเครือข่ายตัวอาคารนั้น
ตั้งอยู่ริมแม่น้ำด้านหน้าติดถนน ก่อเป็นกำแพงยาวเหยียดรวมเนื้อที่ดินแล้วก็คงจะหลายสิบไร่
ซึ่งจุดเด่นที่สามารถเห็นชัดก็คือกองเหล็กจำนวนมากมายที่กระจายอยู่ทั่วบริเวณ
ประภาจะนั่งทำงานที่นี่เช่นเดียวกับน้องชายของเธอที่ชื่อ วิทย์ วิริยประไพกิจ
หากจะเรียกว่าเป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ ที่ประภาและวิทย์ใช้ปักหลักบัญชาการกิจการมากมายหลายแขนง
ที่กระจายอยู่หลายจุดทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดก็คงจะไม่ผิด
ประภาเก็บตัวอยู่ที่นี่เงียบ ๆ โดยไม่ต้องการเปิดเผยตัว
ก็นาน ๆ ทีนั่นแหละที่อาจจะต้องมีชื่อเธอและกิจการของเธอบางกิจการปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์บ้าง
แต่ก็เป็นหนังสือพิมพ์จีนเท่านั้น
สังคมภายนอกไม่ค่อยมีใครทราบว่าประภาและครอบครัวทำอะไรรวยแค่ไหน
กระทั่งประภาตัดสินใจก่อตั้งบริษัทขายคอมพิวเตอร์ ธุรกิจที่มีการแข่งขันหนักหน่วงและต้องการภาพพจน์ที่มั่นคงสวยงาม
นั่นแหละที่ทำให้สังคมภายนอกค่อยรู้จักประภามากขึ้น
"ท่านประธาน" กลายเป็นชื่อที่คนสหวิริยาใช้เรียกประภาให้คนนอกได้ยิน
แต่ถ้าจะให้ถูกต้องยิ่งขึ้นสมควรเรียกเธอว่า ดร. ประภา วิริยประไพกิจ…
เจ้าของอาณาจักรธุรกิจที่เรียกกันว่า "สหวิริยากรุ๊ป" ซึ่งประกอบไปด้วยบริษัทในเรือกว่า
25 บริษัท มีสินทรัพย์รวมกันมากกว่า 3 พันล้าน กระจายอยู่ในอุตสาหกรรมเหล็ก,
สถาบันการเงิน, เรียลเอสเตท, คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงานและอุสาหกรรมการเกษตร
และเป็นหุ้นใหญ่กลุ่มหนึ่งของแบงก์กรุงศรีอุธยาอีกด้วย
กับอายุ 60 ต้น ๆ แล้ว ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ประภาเป็นเจ้าของกิจการผู้ประสบความสำเร็จสูงมาก
ๆ คนหนึ่ง
ทั้งที่เป็นผู้หญิง…ไม่ได้รับการศึกษาสูงและต้องเป็นม่ายตั้งแต่วัยสาวอีกทั้งไม่ใช่เจ้าของบุคลิกเข้มแข็งเฉียบขาดประดุล
"เจ้าแม่" หากแต่นุ่มนวลและเป็นคนใจอ่อนเป็นที่สุด
แต่ก็ซ่อนบางสิ่งบางอย่างไว้ในตัวที่อ่านได้ยากยิ่ง
ไม่แนานักปมเงื่อนสัของความสำเร็จอาจจะเป็นบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวนี้กเป็นได้
ประภาเป็นลูกจีนที่เกิดในเมืองไทย แม้ว่าช่วงหลัง ๆ ประภาจะปรากฏตัวในงานสังคมมากขึ้นและมีข่าวของเธอสม่ำเสมอบนหน้าหนังสือพิมพ์
แต่ส่วนมากแล้วก็จะเป็นข่าวประชาสัมพันธ์กิจการเสียส่วนมาก เรื่องราวของประภาเป็นเรื่องที่ถูกใส่ลิ้นชักปิดกุญแจมิดชิด
ก็เลยทราบกันเพียงเลา ๆ ว่า เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้วประภามีฐานะเป็นเพียงลูกสะไภ้ของร้านขายเหล็กชื่อเลี่ยงเซ่งฮวด
กิการที่ต่อมาตกเป็นสมบัติของสามีและเมื่อสามีเสียชีวิตลงขณะที่ประภาอายุเพิ่งจะต้น
ๆ 30 กิจการก็ตกอยู่ภายใต้การดูแลของเธอ
ประภามีน้องชายคนหนึ่งชื่อ วิทย์ และก็วิทย์คนนี้เองที่เป็นกำลังสำคัญในการก่อร่างสร้างตัวในยุคต่อมา
วิทย์ วิริยประไพกิจ เรียนหนังสือเพียงชั้นประถมพอ ๆ กับพี่สาว แต่ว่ากันว่าเขาเป็นคนฉลาดที่มีไหวพริบทางการค้าที่หาตัวจับยาก
ในช่วง 20 กว่าปีที่แล้วเมื่อกิจการเริ่มพอจะเป็นปึกแผ่นบ้าง วิทย์พยายามเสริมส่งตัวเองด้วยการเรียนภาษาจีนกลางอย่างหามรุ่งหามค่ำ
ซึ่งผลพวงก็คือการเปิดประตูการค้าร่วมกับนักธุรกิจไต้หวัน วิทย์เดินทางเข้าออกไต้หวันเป็นว่าเล่น
และการติดต่อกับไต้หวันนี่เองที่ทำให้เขาได้เพื่อนนักธุรกิจคนไทยคนหนึ่งที่มีสายสัมพันธ์กับไต้หวันเหมือน
ๆ เขา
คน ๆ นี้ชื่อ ชวน รัตนรักษ์ เจ้าของแบงก์กรุงศรีอยุธยา
ความใกล้ชิดเมื่อพัฒนาจนกลายเป็นความเป็นเพื่อน ต่อมาธนาคารกรุงศรีอยุธยาก็ได้กลุ่มสหวิริยาเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นและวิทย์
วิริยประไพกิจ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการของแบงก์
วิทย์เป็นคนที่มีความมุมานะมาก นอกจากเรียนภาษาจีนกลางแล้วเขาเคยเรียนภาษาไทย
โดยมีครูมาสอนพิเศษให้และช่วงใกล้ ๆ นี้เขากำลังคร่ำเคร่งกับการเรียนภาษาอังกฤษ
วิทย์กับประภานั้น ว่าไปแล้วก็เป็นพี่น้องที่ทำงานกันอย่างเข้าขามาก
วิทย์เป็นคนเด็ดเดี่ยวฉลาด แต่บางครั้งก็ดูจะแข็งเกินไป
ส่วนประภาเป็นคนอ่อนหวาน ใจดีจนหลายคนวิจารณ์ว่าอ่อนไปหน่อย
ความอ่อนหวานใจดีและนุ่มนวลของประภา มักจะเป็นจุดที่ทำให้เกิดการริเริ่มโครงการใหม่
ๆ ของกลุ่มอยู่เสมอ
ขณะเดียวกันถ้าหากกิจการเริ่มมีปัญหา บทบาทความเด็ดเดี่ยวของวิทย์ก็จะเข้ามาแทนที่ทันทีทันควัน
เมื่อหลายปีก่อน ทนุ กุลเศรษฐศิริ อดีตเจ้าของเมอร์ลินคอมมอดิตี้ส์อันอื้อฉาวที่ตอนนี้ยังหนีคดีฉ้อโกงอยู่ต่างประเทศ
ได้มาชักชวนประภาให้ร่วมลงทุนตั้งกิจการผลิตบุหรี่และยาสูบชื่อ "บางกอกยาสูบ"
ประภาความที่เชื่อใจทนุก็เลยตัดสินใจร่วมทุนด้วย
บางกอกยาสูบฮือฮาอยู่พักใหญ่ ๆ แต่ท้ายที่สุดก็ทำท่าจะไปไม่รอด
ก่อนที่ทุกอย่างจะลงเอยด้วยความเจ็บปวดของผู้ร่วมทุน วิทย์ วิริยประไพกิจก็เข้าไปคลี่คลายปัญหาด้วยการขายหุ้นคืนให้กับทนุและถอนตัวออกมาได้ก่อนที่กิจการจะล้มคว่ำไม่นานนัก
ว่ากันว่าเรื่องราวลงเอยแบบที่ทนุเองไม่มีอะไรที่จะต้องโกรธเคืองประภาเลยแม้แต่น้อย
ถ้าจะเคืองก็คงเคืองวิทย์เสียมากกว่า
คนสหวิริยาเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจสไตล์ของ "ผู้นำ" ทั้งสองได้เป็นอย่างดีเช่นกัน
"ถ้าเป็นเรื่องที่จำเป็นจะต้องได้รับการไฟเขียว เรื่องนั้นจะถูกเสนอไปที่ท่านประธานฯ
แต่ถ้าต้องการให้ยับยั้งหรือแก้ไขแล้ว เรื่องก็จะไปที่คุณวิทย์…" คนที่รู้เรื่องเล่า
ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่า สไตล์ 2 สไตล์นี้เป็นธรรมชาติติดตัวหรือเป็นกลยุทธ์ที่นัดแนะกันไว้แล้ว
แต่จะอย่างไรก็ตามผลที่ตามมาก็คือ
การโตวันโตคืนของกลุ่มสหวิริยา
มีบ่อยครั้งที่สหวิริยาดูเหมือนจะถลำตัวเข้าไปอยู่ในธุรกิจที่สุ่มเสี่ยง
แต่สหวิริยาก็ถอนตัวได้ทันทีทันควันก่อนที่หายนะจะมาถึงทุกทีไป
สหวิริยากรุ๊ปนั้นในสายอุตสาหกรรมเหล็กประกอบด้วยกิจการที่แตกแขนงออกเป็น
8 บริษัทคือ สยามอินดัสตรี, ที.เอส. สตีล. สหวิริยา สตีลเวิร์ค. สหวิริยา
นิททัน. สหวิริยา ไลท์เกจ สตีล, สหวิริยา เพรทชีท, สหวิริยาเมทัล อินดัสตรี้
ทั้งนี้มีบริษัทสหวิริยาพาณิชย์เป็นแกนของกลุ่มในสายนี้
สายสถาบันการเงินประกอบด้วยบริษํทเงินทุนหลักทรัพย์สหวิริยาทรัสต์และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์สหวิริยา
สายเรียลเอสเตทประกอบด้วย บริษัทประภาวิทย์ ดีเวลล้อปเม้นท์ บริษัทประภาวิทย์บิลดิ้ง,
บริษัทวิริยาเอสเตทและบริษัทบางนาการ์เดนเจ้าของโครงการบ้านสวนบางนาที่ปลูกสวนแล้วขายพื้นที่ดินให้ปลูกสร้างบ้าน
สายคอมพิวเตอร์และเครื่องใช้สำนักงาน ประกอบด้วย บริษัทสหวิริยา อินฟอร์เทค
คอมพิวเตอร์, บริษัทสหวิริยา อินเตอร์เนชั่นแนล คอมพิวเตอร์, บริษัทสหวิริยา
เทเลคอม, บริษัทสหวิริยาซีสเต็ม, บริษัทสหวิริยา คอมเซอร์วิส โดยมีบริษัทสหวิริยาโอเอกรุ๊ปเป็นแกนของกลุ่ม
และสายอุตสาหกรรมการเกษตรประกอบด้วยบริษัท วี.พี. ยูคาลิป ชิพวู้ด, บริษัทวิริยาอโกร
อินดัสตรี้ และบริษัทยูคาฟอร์เรสตี้
ซึ่งถ้าจะเรียงลำดับการก่อตั้งแล้ว กลุ่มนี้ เริ่มต้นจากอุตสาหกรมเหล็ก
ต่อมาก็มีสถาบันการเงินพร้อมกับธุรกิจเรียลเอสเตท ากนั้นก็กระโจนเข้าสู่ธุรกิจขายและให้บริการทางด้านอมพิวเตอร์และเครื่องใช้สำนักงานและอุตสาหกรรมการเกษตรเป็นแขนงล่าสุดที่จับ
อุตสาหกรรมการเกษตรนั้นที่ได้ลงมือทำไปแล้วก็คือการปลูกยูคาลิปตัส
"ก็มีปลูกที่ระยองและหลายจังหวัดทางภาคอีสาน" แหล่งข่าวที่ทราบเล่าให้ฟัง
การปลูกยูคาลิปตัสซึ่งใช้เนื้อที่นับเป็นพัน ๆ ไร่ เป็นโครงการที่ริเริ่มโดยลูกชายคนเดียวของประภา
"ลูกชายของคุณประภาคนนี้อายุ 40 กว่าแล้ว เรียนจบทางด้านเกษตร อยู่อเมริกาเป็นสิบปี
แม่ตามไปขอร้องให้กลับบ้านก็ไม่ยอมกลับ ไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะสาเหตุอะไร
แต่พอกลับมาก็ได้ขอให้แม่ลงทุนทำยูคาลิปตัส ซึ่งคุณประภาก็เห็นดีเห็นงามด้วย"
แหล่งข่าวคนเดิมสาธยาย
นอกจากนี้โครงการยูคาลิปตัสยังได้เข้าไปร่วมกับอีสานเขียวของทหารด้วย ว่ากันว่าการติดต่อนั้นผ่านทางรองเสธฯ
ฝ่ายกิจการพลเรือนที่ชื่อ พลโทปัญญา สิงห์ศักดา ซึ่งก็คืบหน้ามาก
หลายคนเชื่อว่าอุตสาหกรรการเกษตรโดยเฉพาะยูคาลิปตัสจะเป็นตัวที่สร้างผลกำไรมหาศาลให้กับกลุ่มสหวิริยาในอนาคต
นอกเหนือจากอุตสาหกรรมเหล็กที่เป็นเสาหลักของรายได้ในปัจจุบัน
และก็จะเป็นดาวรุ่งที่พุ่งแรงกว่ากิจการขายคอมพิวเตอร์อย่างไม่ต้องสงสัย
กิจการขายคอมพิวเตอร์ในเครือสหวิริยานั้นพุ่งแรงมาก ๆ ในช่วง 5 ปีที่เริ่มก่อตั้งจนปัจจุบันนี้
กิจการด้านนี้เริ่มต้นจากความคิดของ 2 พี่น้องที่ชื่อ แจ๊ค มินชุน ฮู ที่คนในวงการคอมพิวเตอร์รู้จักกันในชื่อ
"แจ๊ค" กับ รงค์ อิงค์ธเนศ
แจ๊กเกิดและเติบโตที่ไต้หวันส่วนณรงค์เกิดและเติบโตที่เมืองไทย ทั้งคู่อายุ
3 และ 31 ตามลำดับ
พ่อของแจ๊คและณรงค์เป็นคนไต้หวันที่อพยพมาทำงานเมืองไทยเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว
ต่อมาก็เปลี่ยนชื่อเป็นไทยชื่อ อุดม อิงค์ธเนศ
อุดมเป็นวิศวกรทางด้านอุตสาหกรรมเหล็ก เมื่อมาอยู่เมืองไทยก็เข้าทำงานเป็นวิศวกรอยู่ที่โรงงานบางกอกสตีลเวิ์ค
ต่อมาเมื่อประภาซื้อกิจการบางกอกสตีลเวิร์คและเปลี่นชื่อเป็นสหวิริยาสตีลเวิร์ค
อุดมก็ได้รับโอกาสให้ได้ทำงานต่อ
และท้ายที่สุดอุดมก้กลายเป็นผู้จัดการโรงงานเหล็กที่ประภาและวิทย์ไว้เนื้อเชื่อใจมาก
"ปัจจุบันเขาเป็นคนที่คุมโรงงานเหล็กทุกโรงของเครือ" คนที่รู้จักอุดมบอก
สำหรับประภาและวิทย์นั้น จริง ๆ แล้วก็ไม่ทราบหรอกว่าธุรกิจคอมพิวเตอร์จะสำคัญมากน้อยเพียงไหน
แต่เพราะเป็นโครงการที่ลูกชาย 2 คนของอุดมเสนอ ก็เลยอนุมัติทุนก้อนหนึ่งไปให้ดำเนินการ
ก็คงคล้าย ๆ กับซื้อหวยแล้วถูกหวยนั่นแหละ
กิจการขายคอมพิวเตอร์และต่อมาขยายเครื่องใช้ในสำนักงานรวมเข้าไปด้วย เริ่มต้นจากเงินลงทุนไม่กี่ล้านบาทก็กลายเป็นกิจการที่สร้างยอดขายได้ถึงปีละกว่า
400 ล้านบาท
ประภาและวิทย์นั้น มีสไตล์การบริหารงานที่ค่อนข้างจะตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานการไว้วางใจคน
กิจการเหล็กเป็นกิจการที่อุดม อิงค์ธเนศดูแลโรงงานโดยที่ประภาและวิทย์แทบจะไม่ต้องเกี่ยวข้อง
ยกเว้นบริษัทสหวิริยาพาณิชย์ที่เป็นบริษัทจัดจำหน่ายสินค้าเหล็กจากทุกโรงงานเท่านั้นที่ประภาดูแลอยู่อย่างใกล้ชิด
วิทย์เป็นคนที่ดูแลสถาบันการเงินและเรียลเอสเตท
คอมพิวเตอร์ก็มีแจ๊คกับณรงค์เป็นผู้บริหาร ซึ่งประภาให้อำนาจเต็มที่
ส่วนอุตสาหกรรมการเกษตรก็เป็นงานที่ลูกชายของประภา "วันแมนโชว์"
จริง ๆ
ถ้าหากมองในแง่ของธุรกิจแบบครอบครัวแล้ว ก็คงจะมีเพียงคอมพิวเตอร์เท่านั้นที่คนในครอบครัวไม่ได้เข้าไปดูแลเลย
เผอิญเหลือเกินที่วิทย์มีลูกสาวคนหนึ่งสำเร็จคอมพิวเตอร์มาจากสิงคโปร์
ประภากับวิทย์ก็เลยให้ลูกสาวคนนี้เข้าทำงานร่วมกับแจ๊คและณรงค์
อย่างน้อยวันใดวันหนึ่งที่แจ๊คเกิดเบื่องานขึ้นมา กลุ่มสหวิริยาก็คงจะได้ทายาทสายตรงดูแลกิจการต่อไป
(ส่วนณรงค์เพิ่งจะประกาศลาออกจากสหวิริยาไปเมื่อเร็ว ๆ นี้)
มีบางคนสรุปว่า แม้ด้านหนึ่งประภาและวิทย์จะดูเสมือนไว้วางใจผู้บริหารที่ไม่ใช่ลูกหลานหรือทายาทก็จริง
แต่ประสบการณ์ของทั้งคู่ก็คงจะสอนว่า ทุกอย่างนั้นเป็นอนิจจังไม่แน่นอน
และอย่างไรเสียเลือดก็คงจะต้องข้นกว่าน้ำอย่างไม่ต้องกังขา
ประภานั้นเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงพอ ๆ กับที่ชอบเสี่ยง
ซึ่งโชคมักจะเข้าข้างมาโดยตลอดอย่างนี้เสมอ ๆ
ไม่ต่างจากการตัดสินใจให้แจ๊คก่อร่างสร้างกิจการขายคอมพิวเตอร์ ซึ่งประสบความสำเร็จทั้งในด้านรายได้และชื่อเสียงอันเกิดจากงานพีอาร์อย่างถล่มทลายภายใต้การบัญชาของแจ๊คและณรงค์เท่านั้น
การค้าที่ดินและการเก็งกำไรตั๋วทองตลอดจนการซื้อขายพืชผลล่วงหน้าหรือที่เรียกกันว่าคอมมอดิตี้ส์ก็ล้วนแต่เป็นงานที่ประภาเคยจับ
โดยเฉพาะทุกวันนี้การเก็งกำไรเรื่องที่ดินประภาเองก็ยังไม่ทิ้ง หลายคนเชื่อว่าเธอเป็นเจ้าของผืนที่ดินงาม
ๆ หลายผืนในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในย่านช่องนนทรีใกล้ ๆ กับที่ที่อยู่อาศัยปัจจุบันนั้นก็มีอยู่อีกหลายผืน
ส่วนคอมมอดิตี้ส์ในช่วงปี 2520-2522 ที่กำลังบูม ประภาเองก็มีบริษัทคอมมอดิตี้ส์อยู่
2-3 แห่ง และตัวเธอเองก็ขึ้นชื่อลือชาในฐานะนักเก็งกำไรมือหนักที่คนในวงการเรียกขานว่า
"อี๊ประภา" (อี๊เป็นภาษาแต้จิ๋วหมายถึงน้าสาว)
กิจการคอมมอดิตี้ส์นั้นทำคนหลายคนร่ำรวยขึ้นมาทันตาเห็น ขณะเดียวกันก็มีหลายคนที่ต้องล่มจมหรือที่ต้องหนีคดีก็มีเป็นจำนวนไม่น้อย
เอกยุทธ อัญชัญบุตร เสริมชีพ เจริญธน ตลอดจน ทนุ กุลเศรษฐศิริ ล้วนแล้วแต่เป็นตัวอย่างประเภทหลัง
ขณะที่ประภาก็คงจะเป็นตัวอย่างประเภทแรก ที่รวยแล้วก็ล้างมือได้ในที่สุด
และตั้งหน้าตั้งตาพัฒนากิจการหลักคือ สถาบันการเงินและอุตสาหกรรมเหล็กของเธอต่อไป
ทุกวันนี้ประภาขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าในบรรดาเจ้าของกิจการผู้ประสบความสำเร็จอย่างน่าภาคภูมิใจ
ผู้หญิงม่ายคนหนึ่งกับเส้นทางชีวิตนับหลายสิบปีที่ผ่านมา มีบ้างที่ต้องผ่านอุปสรรคแทบเลือดตากระเด็นสลับกับหนทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ
ในวันนี้กิจการหลากหลายของเธออยู่ในฐานะที่มั่นคงและก็คงจะต้องพัฒนากันต่อไปโดยพลังของรุ่นลูก
ๆ ทั้งของเธอ (ประภามีลูกสาว 2 ลูกชาย 1) และของวิทย์ผู้น้อง
จากเหล็กเส้นแล้วสร้างฐานการเงินของตนเองจากนั้นก็ขยายไปหลายทิศหลายทาง
ถ้าจะตั้งคำถามว่ากลุ่มสหวิริยาในยุคที่เธอยังนั่งเป็นประธานใหญ่นั้นจะขยายไปทางไหนอีก
คำตอบก็คงจะเป็นความดำมืด
เนื่องจากจริง ๆ แล้วประภาเป็นคนที่มีปริศนาอย่างน้อยอย่างหนึ่ง
นั่นก็คือเป็นคนที่อ่านใจยาก
ไม่ค่อยมีใครทราบหรอกว่าเบื้องลึกของความนุ่มนวล ใจดีนั้นแฝงอะไรไว้บ้าง