ประดลเดช กัลยาณมิตร ลืมแล้วหรือยัง?


นิตยสารผู้จัดการ( เมษายน 2531)



กลับสู่หน้าหลัก

เรื่องอื้อฉาวเคล้าสาบเงินใน รพช. ที่เป็นข่าวครึกโครมเมื่อเก้าปีที่แล้วเป็นเรื่องที่เลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คนทั่วไปแล้ว แต่สำหรับคนใน รพช. เองเรื่องนี้ยังคงเป็นเรื่องที่จดจำกันอยู่ เพราะตัวผู้ถูกกล่าวหาในครั้งนั้น ทุกวันนี้ยังนั่งเก้าอี้ตัวเดิมกับที่เคยนั่งอยู่เมื่อครั้งที่มีเรื่องมีราวกัน

กรณีนี้ลงเอยด้วยคำพิพากษาของศาลสถิตยุติธรรมว่า จำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ ปลอดพ้นจากมลทินแห่งความทุจริต ฉ้อโกง เป็นเรื่องพลิกล็อคที่ทำให้หลาย ๆ คนต้องอารมณ์ค้าง เพราะหมายมั่นปั้นมือกันมาแต่แรกว่า "ไม่รอดแน่"

แต่เมื่อศาลเห็นเป็นเช่นนี้ ก็ต้องว่ากันตามศาล จะมีอะไรยอกย้อนซ้อนเงื่อนก็ไม่ต้องไปใส่ใจแล้ว

คดีกินถนน รพช. 26 สายเมื่อปี 2522 ผู้ถูกกล่าวหาโดยตรงคือ ประดลเดช กัลยาณมิตร นายช่างใหญ่ของ รพช. ในขณะนั้น

ตำแหน่งนายช่างใหญ่ เป็นตำแหน่งระดับ 9 เทียบเท่ารองเลขาธิการ รพช. มีหน้าที่ควบคุมงานด้านเทคนิคของกองสำรวจและออกแบบ ว่ากันตามอำนาจหน้าที่แล้ว ตำแหน่งนี้ไม่มีช่องทางที่จะแสวงหาผลประโยชน์แต่อย่างใดเพราะเป็นตำแหน่งทางด้านวิชาการ

เผอิญในตอนนั้นประดลเดชกินตำแหน่งผู้จัดการโครงการเงินกู้จากธนาคารโลกอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย เป็นโครงการสร้างถนนในภาคอีสานที่ธนาคารโลกช่วยเหลือ ซึ่งได้รับอนุมัติเงินกู้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2520 เป็นจำนวน 575 ล้านบาท เพื่อสร้างถนนยาว 1,310 กิโลเมตร อยู่ในภาคอีสานทั้งหมด

การก่อสร้างถนนแบ่งออกเป็น 9 สัญญา สัญญาหนึ่ง ๆ กำหนดระยะทางที่จะต้องสร้างประมาณ 130-150 กิโลเมตร ถนนสายที่เกิดปัญหาเพราะว่ากันว่ามีคนจ้องจะงาบอยู่ในสัญญาที่ 4 และ 5 มีจำนวน 26 สาย ในสามจังหวัดคือ เลย ขอนแก่นและอุดรธานี

รพช. ในระยะแรกที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ๆ นั้น ขาดแคลนกำลังคนที่มีความชำนาญงาน องค์การยูซ่อมซึ่งช่วยเหลือในการจัดตั้ง รพช. จึงแนะนำรัฐาลไทยให้ว่าจ้างบริษัทเอกชนที่มีประสบการณ์เป็นที่ปรึกษาโครงการต่าง ๆ ของ รพช.

คำชี้แนะของยูซ่อมเป็นการเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ รพช. มองเห็นลู่ทางในการทำมาหากิน บรรดานายช่างจึงได้จัดตั้งบริษัทที่ปรึกษาขึ้นโดยมีเพื่อนฝูงหรือญาติพี่น้องเป็นผู้ถือหุ้น ประดลเดชเองก็มีบริษัทของตนเองชื่อ ที. อี. ซี. หรือ ไทยแลนด์ เอนจิเนียริ่ง คอนซัลแตนท์ มีประกอบ อุดมเดชเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และเป็นผู้จัดการ

ประกอบกับประดลเดชเป็นเพื่อนเรียนวิศวที่จุฬาฯ มาด้วยกันและยังไปเรียนต่อที่เมืองนอกพร้อม ๆ กันด้วย นอกจากประกอบแล้วยังมีภรยาของประดลเดชคือ สายัณห์ และพี่ชายของสายัณห์ ชื่อ ร.ท. เรืองฤทธิ์ เลิศพฤกษ์ ถือหุ้นอยู่ใน ที.อี.ซี. ด้วย

ที.อี.ซี. ได้รับการคัดเลือกให้เป็นบริษัทที่ปรึกษาในโครงการสร้างถนน 26 สายนี้ มีหน้าที่สำรวจ ออกแบบ ประเมินราคากลางและควบคุมการก่อสร้าง ถึงแม้ว่าเลขา รพช. ในตอนนั้นประสงค์ สุขุม จะพายามตรวจสอบความเป็นมาของบริษัทนี้ก่อนที่จะเสนอให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณา แต่ประสงค์กลับถูกย้ายไปเป็นผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนเสียก่อน

มหาดไทยในปี 2520 มีสมัคร สุนทรเวชเป็นเจ้ากระทรวงอยู่ แม่ของประดลเดชก็คือป้าของสมัคร ประดลเดชจึงมีศักดิ์เป็นลูกผู้พี่

กรสำรวจและประเมินราคาของ ที.อี.ซี. นั้น ต่อมาได้ถูกตีแผ่ว่าเป็นเรื่องแหกตาเพื่อหวังจะเขมือบ โดยที่ประดลเดชในฐานะผู้จัดการโครงการเงินกู้ที่เป็นเจ้าของเองก็เห็นดีด้วยกับรายงานของ ที.อี.ซี.

รายการแหกตาครั้งนี้ก็คือถนนทั้ง 26 สายที่ ประดลเดชมอบหมายให้ ที.อี.ซี. สำรวจออกแบนั้น เป็นถนนที่มีอยู่แล้ว ส่วนใหญ่สร้างขึ้นตามโครงการเงินผันในสมัยที่คึกฤทธิ์เป็นนายกและอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เพียงแต่ปรับปรุงเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยเท่านั้น แต่ผลการสำรวจของ ที.อี.ซี. ต้องสร้างขึ้นใหม่ทั้ง 26 สาย บางสายต้องใช้งบประมาณในการถางทางเพื่อทำการสำรวจเพราะว่าเป็นป่าทึบ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการยกเมฆขึ้นทั้งสิ้น

ถนนสายหนึ่งในอำเภอกุมภวาปี เป็นถนนที่โรงงานน้ำตาลกุมภวาปีสร้างขึ้นเพื่อลำเลียงอ้อยเข้าโรงงาน มีความยาว 10.8 กม. กว้าง 7 เมตร บางส่วนได้ลาดยางไปแล้ว ประดลเดชกลับกำหนดให้เป็นถนนที่ต้องสำรวจเพื่อสร้างใหม่ และระบุว่าเป็นป่าต้องใช้งบประมาณในกรถางป่า 180 ไร่เพื่อทำการสำรวจ ในรายงานการสำรวจถนที่จะสร้างใหม่ทับเส้นเดิมมีความกว้างเพียง 5 เมตรเท่านั้น และเป็นถนนลูกรังทั้งหมด

การประเมินราคาสร้างถนนใหม่ของ ที.อี.ซี. ตกกิโลเมตรละ 4 แสนบาท ขณะที่ถ้า รพช. ทำเองจะตกไม่เกินกิโลเมตรละ 1 แสน 6 หมื่นบาท หรือถ้าเป็นการซ่อมก็ตกกิโลเมตรละ 6 หมื่นบาทเท่านั้น

ทั้ง 26 สายมีระยะรวมกันเกือบ 300 กิโลเมตร จะเป็นเงินเท่าไรก็ลองคำนวณกันเองก็แล้วกัน

ถ้าหากว่าญาติสนิทยังคงเป็นใหญ่อยู่ที่ริมคลองหาด รายการนี้ก็คงจะผ่านอย่างสบาย ถึงขั้นที่หาตัวผู้รับเหมาเข้ามาเล่นละครกันต่อไปอีก พอดีตอนนั้นมีการผลัดอำนาจ รัฐบาลหอยโดนเปลือกหอยเขี่ยทิ้งไป ผู้ที่มานั่งเป็นเจ้ากระทรวงคือ พลเอกเล็ก แนวมาลี มีนายทหารบ้านนอกที่เป็น ผบ. ทบ. ในขณะนั้นชื่อพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการ และรักษาการในตำแหน่งประธานโครงการเงินกู้ธนาคารโลกอยู่

ข่าวคราวการเขมือบถนน 26 สายนี้ ลอยไปเข้าหูพลเอกเปรม จึงมีการตั้งกรรมการสอบสวนและย้ายประดลเดชเข้าประจำกระทรวงเมื่อเดือนมกราคม 2522

ผลการสอบสวน ประดลเดชมีความผิดจริง พลเอกเปรมจึงส่งเรื่องต่อให้ทางกองปราบเพื่อสอบต่อทางอาญา ปลายเดือนมีนาคม 2522 กองปราบได้จับกุมตัวประดลเดช และบรรจงศักดิ์ ปานทอง หัวหน้ากองวิชาการและเทคนิควิศวกรรมในฐานะนายช่างผู้ควบคุมโครงการ ทั้งสองคนถูกส่งตัวฟ้องศาลเมื่อเดือนมิถุนายน 2522 ในข้อหาร่วมกันปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น และทำให้รัฐต้องเสียผลประโยชน์

การต่อสู้กันทางกฎหมายเพื่อพิสูจน์ว่า รายการแหกตากินถนนครั้งนี้ เป็นการแหกตากันจริง ๆ หรือเปล่า ยืดเยื้อกันถึงสามศาลตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2522 ถึงเมษายน 2526

ทั้งศาลชั้นต้น อุทธรณ์และฎีกาตัดสินให้ยกฟ้อง เพราะพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของประดลเดชเป็นไปตามระเบียบแบแผนของทางราชการ ไม่ปรากฏว่าได้มีการทุจริต ตามที่โจทก์ฟ้องแต่ประการใด

ประดลเดชจึงกลับมานั่งเป็นนายช่างใหญ่ตามเดิมจนถึงทุกวันนี้ แต่ยังมีคดีทางแพ่ง ซึ่งสืบเนื่องจากกรณีนี้อยู่ โดย รพช. เป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหาย 70 ล้านบาท กว่าจะรู้ดำรู้แดงคงกินเวลาอีกหลายปี เพราะเริ่มฟ้องตั้งแต่ปี 2527 จนถึงตอนนี้เพิ่งจะสืบพยานโจทก์ไปได้ปากเดียว



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.