รพช. หน่วยงานที่ถูกขนานนามตามตัวย่อให้เป็นแหล่งรวมของเหล่าเสือ สิงห์
กระทิง แรด ผลประโยชน์ที่ล่อตาล่อใจ ชวนให้น้ำลายหก เป็นชนวนแห่งความขัดแย้ง
เมื่อผู้มาใหม่บังอาจเอื้อมมือไปดึงชิ้นเนื้อออกจากปากของเจ้าถิ่น การประลองกำลังจึงต้องเกิดขึ้นเพื่อให้รู้กันว่า
เพียงอำนาจในมือถ้าใช้แบบไม่ดูตาม้าตาเรือ ดาวรุ่งมหาดไทยก็มีสิทธิกลายเป็นดาวร่วงเหมือนกัน
สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทก่อตั้งขึ้นในปี 2509 ขณะนั้นพื้นที่ภาคอีสานกำลังเริ่มระอุด้วยไฟสงครามประชาชน
ภายใต้ยุทธศาสตร์ป่าล้อมเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเพื่อช่วงชิงมวลชนเป็นฐานสำหรับการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐ
เพื่อขจัดเงื่อนไขที่จะทำให้ชาวอีสานเป็นเสมือนหนึ่งห้วงน้ำให้ปลาได้แหวกว่าย
รัฐบาลไทยในช่วงนั้นจึงต้องหันมาเหลียวแลชนบทที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่กับความแร้นแค้นมาโดยตลอด
แผนการเร่งรัดพัฒนาชนบทจึงก่อกำเนิดขึ้นเมื่อปี 2506 ในเขตจังหวัดชายแดนที่ติดต่อประเทศลาว
เพื่อสร้างความอยู่ดี กินดีให้กับประชาชน และได้ขยายออกไปในจังหวัดใกล้เคียงในปีต่อๆ
มา
จนกระทั่งได้มีการจัดตั้งสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทขึ้นเมื่อเดือนมกราคม
2509 เพื่อเป็นหน่วยงานรับผิดชอบการดำเนินงานตามแผน
จุดกำเนิดของหน่วยงานนี้จึงมีที่มาจากความต้องการที่จะขจัด "ความเลวร้าย"
ในสายตาของผู้ปกครอง แต่ก็เป็นการเริ่มต้นบ่มเพาะความเลวร้ายในรูปแบบใหม่
ที่อิงอยู่กับอำนาจหน้าที่ในการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินของหน่วยงานนี้ ระยะเวลากว่า
20 ปี ภายใต้วัฒนธรรมองค์กรแบบข้าราชการที่เอาหูไปนา เอาตาไปไร่กับการควบคุม
ตรวจสอบการปฏิบัติงาน และการเพิกเฉยต่อการแสวงหาประโยชน์เฉพาะตน นานพอที่จะทำให้ความเลวร้ายนี้ฝังตัวอย่างมั่นคงจนกลายเป็นนโยบายแฝงที่ยึดถือกันมาตลอดว่า
"ข้าพเจ้าจะกิน"
ไม่ว่าใครจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาเป็นใหญ่ ความเลวร้ายนี้ก็ยังคงอยู่
สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบทมีฐานะเทียบเท่ากรม ๆ หนึ่งในกระทรวงมหาดไทย งบประมาณแต่ละปีมากมายมหาศาล
ตั้งแต่ปี 2521 เป็นต้นมา รพช. มีงบประมาณรายจ่ายเกินกว่า 1,000 ล้านบาททุกปี
เฉพาะปี 2531 งบประมาณของ รพช. สูงถึง 2,135 ล้านบาท มากเป็นอันดับสามของหน่วยงานในกระทรวงมหาดไทย
รองจากกรมตำรวจและกรมการปกครองที่ได้รับงบประมาณเป็นเงิน 10,000 และ 5,500
ล้านบาทตามลำดับ แต่งบของทั้งสองกรมนี้เกือบทั้งหมด เป็นค่าใช้จ่ายเงินเดือนและการบริหารทั่วไป
ส่วนงบของ รพช. หักลบค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แล้ว เหลือเป็นงบการพัฒนาประมาณ 1,500
ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดในกระทรวงมหาดไทย
การใช้จ่ายงบพัฒนาก้อนนี้แบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ การสร้างถนน สะพานประมาณ
70% ของงบทั้งหมด อีกประเภทหนึ่งคือการพัฒนาแหล่งน้ำ ขุดสระ บ่อบาดาล สร้างอ่างเก็บน้ำ
ส่วนนี้ใช้งบ 25% อีก 5% ที่เหลือเป็นโครงการเกี่ยวกับการส่งเสริมอาชีพ
งบประมาณที่มากมายในแต่ละปี ทำให้ รพช. เป็นแหล่งผลประโยชน์อันเย้ายวนใจให้ผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องทำการฉ้อฉลเบียดบังหารายได้เข้าพกเข้าห่อ
กอปรกับระยะเวลาอันยาวนานที่หน่วยงานนี้ได้ดำเนินงานมา ทำให้โครงสร้างผลประโยชน์นี้ผนึกตัวได้อย่างมั่นคงและมีพลังมากพอที่จะเขี่ยผู้ที่บังอาจเข้ามาแตะต้องให้หลุดพ้นไปจากวิถีทางแห่งผลประโยชน์ของตนได้
การเปลี่ยนแปลงระบบการประมูลจ้างงานของสนั่น วงศ์พัวพันธุ์ ภายหลังที่เข้ารับตำแหน่งเลขาธิการ
รพช. เมื่อเดือนตุลาคม 2530 ก็คือการเข้าไปปรับเปลี่ยนโครงสร้างผลประโยชน์ที่ลงตัวอยู่แล้ว
วันที่สนั่นเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ รพช. เพื่อชี้แจงนโยบายการทำงานของตนในฐานะผู้มาใหม่
นโยบายข้อแรกคือ การยึดหลักความถูกต้องตามระเบียบกฎหมายเป็นหลักในการดำเนินงาน
"หากมีเรื่องที่ส่อไปในทางที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางที่ส่อเจตนาทุจริตเกิดขึ้นเมื่อใด
ผมจะดำเนินการในทางวินัยและกฎหมายโดยไม่ละเว้น" สนั่นพูดในที่ประชุมตอนกลางเดือนตุลาคมปีที่แล้ว
เป็นการประกาศอย่างชัดเจนว่า จะเข้ามาฟาดฟันกับการโกงเงิน
เพียงแต่เงื้อยังไม่ทันได้ฟันฉับลงไป ดาบนี้ก็ย้อนเข้ามาหาตัวเอง เพียงสี่เดือนหลังจากที่เข้ารับตำแหน่ง
เลขา รพช. สนั่นก็ถูกตั้งกรรมการสอบสวนตามข้อกลาวหาของ ส.ส.ภาคอีสาน 22 คน
พ่วงด้วยหนังสือร้องเรียนจากข้าราชการ รพช. และผู้รับเหมาว่า การดึงการประมูลจัดซื้อพัสดุและการจ้างงานมาไว้ที่ส่วนกลางมีความไม่ชอบมาพากล
ส่อไปในทางทุจริต และยังไม่มีความเป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ
เรื่องที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริตเรื่องแรกคือ การประมูลสร้างถนนที่น่าน ซึ่งตั้งราคากลางไว้
31.9 ล้านบาท บริษัทศักดาพรประมูลได้ในราคา 31.6 ล้านบาท
การประมูลกระทำที่ สำนักงาน รพช. กรุงเทพฯ เงื่อนงำการทุจริตที่สนั่นถูกกล่าวหา
ก็คือ มีบริษัทที่เข้าประมูลเพียงสามบริษัทเท่านั้น และเมื่อผู้อำนวยการกองการพัสดุและรองเลขาธิการฝ่ายวิศวกรรม
เสนอให้ขยายเวลาขายแบบ และยื่นซองประกวดราคาออกไปอีก เพื่อที่จะได้มีผู้เข้าประมูลเพิ่มขึ้น
แต่สนั่นไม่เห็นด้วย ยืนยันให้มีการเปิดซองประกวดราคาตามกำหนดเดิม
โครงการสร้างถนนที่น่านอยู่ในงบประมาณของปี 2530 มีการสร้างไปส่วนหนึ่งแล้ว
พอขึ้นปีงบประมาณ 2531 ทาง รพช. ได้แจ้งให้ทางจังหวัดประกวดราคาจ้างเหมาไปแล้ว
แต่สนั่นดึงเรื่องให้กลับมาประกวดราคาที่ส่วนกลางในตอนหลัง
ประเด็นที่ส่อทุจริตก็คือ เมื่อเจ้าหน้าที่เสนอให้ขยายเวลาขายแบบ ทำไมถึงไม่ยอมขยาย
ทั้ง ๆ ที่มีผู้มาซื้อแบบน้อย และช่วงเวลาการขายแบบรวบรัดแค่ 13 วัน
สนั่นเซ็นประกาศวันที่ 25 เป็นวันศุกร์ วันที่ 26 และ 27 ธันวาคมตรงกับเสาร์-อาทิตย์
วันที่ 28, 29 และ 30 เป็นวันส่งประกาศ ไปที่จังหวัดน่านและ อ.ส.ม.ท. ตามระเบียบ
วันที่ 31 ธันวาคม 1, 2 และ 3 มกราคม ตรงกับช่วงสิ้นปีและปีใหม่ ปิดการขายแบบวันที่
6 มกราคม เวลาขายแบบจริง ๆ จึงมีเพียง 3 วันเท่านั้น
การที่สนั่นไม่ยอมขยายเวลาการขายแบบจึงอาจจะเป็นการกันไม่ให้ผู้รับเหมารายอื่นได้ประมูลงานแข่งกับสามบริษัทที่ซื้อแบบไปก่อนแล้ว
แหล่งข่าวซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดกับสนั่นโต้แย้งว่า เรื่องนี้ทำไปตามระเบียบทุกอย่าง
ผู้อำนวยการกองพัสดุ ทำหนังสือหารือเรื่องการขยายเวลาการขายแบบมาเมื่อวันที่
12 มกราคม เพราะมีผู้ซื้อแบบที่กรุงเทพฯ เพียงสองราย สนั่นจึงให้สอบถามไปที่จังหวัดน่านว่ามีผู้ซื้อแบบหรือไม่
ผู้อำนวยการกองพัสดุรายงานกลับมาอีกครั้งว่ามีเพียงหนึ่งราย รองเลขาฯ ฝ่ายวิศวกรรม
จึงเสนอว่าควรจะขยายเวลาออกไป
"แต่หนังสือจาก ผอ. กองพัสดุ ครั้งหลังที่มีความเห็นของรองฯ ชัยวัฒน์
ให้ขยายเวลาเขียนต่อท้ายมาด้วยมาถึงคุณสนั่นวันที่ 14 มกราคม วันที่เปิดซอง
คือวันที่ 15 ถ้าจะขยายเวลาต้องแจ้งให้ผู้ที่มาซื้อแบบไปแล้วทราบด้วย ซึ่งไม่ทัน
คุณสนั่นก็หารือไปทางสำนักงบประมาณ ทางสำนักงบประมาณแจ้งว่าให้เปิดซองไปเลยวันที่
15 เพราะไม่เช่นนั้นอาจถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ที่ซื้อแบบไปแล้วได้"
เป็นคำอธิบายของแหล่งข่าวคนเดิมว่าการประมูลครั้งนี้ไม่มีนอกมีในแต่อย่างใด
ข้อกล่าวหาที่ฉกาจฉกรรจ์ต่อมาก็คือ สนั่นไปเรียกเงินจากผู้รับเหมา 15%
ของวงเงินประมูลแลกกับการที่จะบันดาลให้ผู้รับเหมาได้งาน รพช. ไปทำ
มีผู้รับเหมาอย่างน้อยสามรายที่ระบุว่าถูกเรียกเงินและได้ไปให้การต่อคณะกรรมการงบประมาณของสภาผู้แทนราษฎร
แต่รายที่เป็นผู้จุดพลุเรื่องนี้ขึ้นมาคือ บพิตร นพสุวรรณวงศ์ เจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด
อึ้งทงกี่ ที่บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นผู้รับเหมาเจ้าประจำรายหนึ่งของ รพช.
เมื่อตอนต้นปีนี้ บพิตรประมูลงานสร้างสะพานที่จังหวัดนราธิวาสได้ ยังไม่ทันมีการทำสัญญากัน
ก็มีเจ้าหน้าที่ รพช. ไปบอกว่าจะต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะ 15% ทีแรกบพิตรเองนึกว่าระดับเจ้าหน้าที่เป็นผู้เรียกเงินเอง
และได้บอกไปว่า ตั้งแต่ทำงานมาไม่เคยจ่ายอะไรให้ใครเลย หลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน
เจ้าหน้าที่หน้าห้องของสนั่น ที่ย้ายตามมาจากสำนักนโยบายและแผนก็นัดหมายให้บพิตรไปพบกับสนั่นที่บ้าน
ซอยสุขุมวิท 49
ก่อนจะพบหน้ากัน บพิตรก็ต้องถูกค้นตัวเสียก่อน เพราะสนั่นคงจะกลัวว่าเรื่องที่คุยกันในวันนั้น
บพิตรจะแอบบันทึกเทปไว้ พอหน้าห้องแนะนำตัวถามชื่อเสียงเรียงนามกันเรียบร้อยแล้ว
สนั่นก็เริ่มด้วยการบอกว่า ตัวเองนั้นรู้ว่า บพิตรนั้นมักจะได้งานเพราะไปฮั้วกับผู้รับเหมารายอื่น
ๆ
"ผมรู้นะว่า คุณไปฮั้วงานกันที่ไหน ไปกินข้าวกับผู้รับเหมารายอื่น
ๆ เพื่อคุยเรื่องนี้กันที่ไหน เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องมาโกหกผม เอาอย่างนี้ไหม
งานที่คุณประมูลได้ผมจะยกเลิกแล้วจะจ้างด้วยวิธีพิเศษ ให้คุณเป็นคนทำทั้งหมด
แล้วจ่ายให้ผม 15%" นี่คือสาระสำคัญตอนหนึ่งของการสนทนาในคืนนั้น
บพิตรยืนยันเหมือนเดิมว่า ให้ไม่ได้ หน้าห้องของสนั่นบอกว่า บพิตรประมูลงานที่นราธิวาสได้
สนั่นเลยพูดว่า ที่นราธิวาสจะให้เป็นกรณีพิเศษ ขอแค่ 10% ถึงแม้ว่าจะลดราคาลงมาแล้ว
บพิตรก็ยังยืนกรานอยู่ว่าให้ไม่ได้ ทำให้สนั่นโมโห ไล่บพิตรออกจากบ้าน
"ที่ทำให้บพิตรโกรธมากก็คือ พอยกมือไหว้สนั่นแล้วกำลังจะเดินออกจากบ้าน
สนั่นก็เข้ามาขวางแล้วค้นตัว ขนาดตำรวจยังไม่กล้าค้นตัวเขาเลย เขาบอกว่าถ้าวันนั้นพกปืนไปด้วยต้องมีการยิงกันแน่"
แหล่งข่าวที่เป็นข้าราชการระดับ ซี 8 ใน รพช. เล่าให้ฟัง
เมื่อคนโตแห่งบุรีรัมย์ผู้เคยชกปากนายช่างของ รพช. มาแล้ว ฐานทำโยกโย้ไม่ยอมเซ็นรับงานถูกลูบคม
เรื่องของเรื่องก็เลยต้องเดินหน้าชนกันให้เห็นดำเห็นแดงไปเลย หลังจากเกิดเรื่องนี้
บพิตรก็ไปพูดที่โรงอาหาร รพช. และพูดไปทั่วทุกกองใน รพช. หลังจากนั้นก็เริ่มร้องไปที่
ส.ส. กระทรวงมหาดไทยและทางทำเนียบ
บพิตรเป็นคนกว้างขวางในบุรีรัมย์และจังหวัดอื่นในภาคอีสาน มีพี่ชายชื่อ
ดนัย นพสุวรรณวงศ์ เคยเป็น ส.ส. บุรีรัมย์เมื่อปี 2518 และเป็นนายประกันให้กับ
วีระ มุสิกพงศ์ ในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จึงรู้จักนักการเมืองหลายคน
ส.ส. 22 คนที่เป็นผู้เคลื่อนไหวให้มีการสอบสวนสนั่นเป็น ส.ส. ในภาคอีสานทั้งหมด
นำโดยพูนสวัสดิ์ มูลศาสตรสาทร ส.ส. สุรินทร์ นิรันดร์ นาเมืองรักษ์ ส.ส.
ร้อยเอ็ด ทั้งสองคนนี้ สังกัดพรรคกิจสังคม และพิชิต ธีระรัชตานนท์ ส.ส. บุรีรัมย์
พรรคสหประชาธิปไตย
ถึงแม้ว่าบพิตรจำทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรชี้แจงวันเวลาและสถานที่ที่เกิดเหตุพร้อมกับลงชื่อจริง
ร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่าง ๆ แต่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในที่ลับแล้วเอามาพูดกันข้างนอก
ข้อเท็จจริงที่จะสอบสวนกันได้ก็โดยการผ่านพยานบุคคลเท่านั้น ซึ่งก็คือตัวบพิตรที่เป็นผู้ร้องเรียนเอง
สนั่นเองได้ออกาโต้แย้งเองนี้ว่า ไม่เคยรู้จักผู้รับเหมาคนใดเพาะเพิ่งมารับงานได้ไม่นาน
วัน ๆ อยู่แต่ในห้องทำงานตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าจนถึงสองทุ่ม เสาร์-อาทิตย์ก็ออกตรวจงานตามต่างจังหวัด
ไม่มีเวลาที่จะไปพบกับพ่อค้าและผู้รับเหมา เองที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการใส่ความกัน
นอกจากเรื่องนี้แล้ว ข้อกล่าวหาอีกข้อหนึ่งคือ สนั่นรวบเอางานจัดซื้อวัสดุมาไว้ในมือตัวเอง
โดยเฉพาะการจัดซื้อยางมะตอย และอุปกรณ์ขุดเจาะบ่อบาดาล วงเงิน 30 ล้านบาท
ซึ่งทำให้โครงการต่าง ๆ ในต่างจังหวัดต้องล่าช้าเพราะต้องรอให้ส่วนกลางทำการประกวดราคาก่อน
ส่งท้ายด้วยหนังสือร้องเรียนจากข้าราชการ รพช. เองว่า สนั่นโยกย้ายลูกน้องคนสนิท
2 คนจากสำนักนโยบายและแผน มากินอัตราซี 6 ใน รพช. ที่ยังว่างอยู่ 3 อัตรา
ทั้ง ๆ ที่มีข้าราชการซี 5 ใน รพช. เกือบร้อยคนที่สอบขึ้นทะเบียนรอการเลื่อนเป็นซี
6 อยู่กลับไม่ได้รับการเลื่อนขั้น มิหนำซ้ำ อีกหนึ่งอัตราที่เหลือยังได้กับซี
5 รพช. ที่สอบได้เป็นลำดับที่ 70 เสียอีก และเรื่องที่สร้างความไม่พอใจให้กับข้าราชการ
รพช. มากก็คือ สนั่นทำงานด้วยอารมณ์ใช้อำนาจข่มขู่ใต้ผู้บังคับบัญชาเสมอ
ๆ
สำหรับสนั่นแล้ว ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เมื่อนักการเมือง ผู้รับเหมา และข้าราชการ
รพช. เอง เปิดแนวรบสามประสานพุ่งเข้าหาสนั่นพร้อม ๆ กัน
เหมือนจะบอกว่า ถ้าไม่แน่จริงก็คงไม่กล้ามาอยู่ที่นี่ ถึงแม้จะถูกกระทรวงมหาดไทยตั้งคณะกรรมการสอบสวนเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์
แต่สนั่นก็ยังไม่โดนย้ายจากตำแหน่ง เลขา รพช. จนกระทั่งไม้ตายถูกงัดออกมาใช้
เมื่อข้าราชการ 300 คนในส่วนกลางตั้งแต่รองเลขาธิการทั้งสองคนถึงระดับซี
1 ลงชื่อขอย้ายตัวเองไปอยู่ที่อื่น และยื่นต่อปลัดกระทรวงมหาดไทยตอนต้นเดือนมีนาคม
เหตุผลก็คือ ไม่สามารถร่วมงานกับสนั่นได้ การย้ายสนั่นไปเป็นผู้ตรวจราชการประจำกระทรวงจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้
คำโบราณว่าไว้ ไม่มีไฟย่อมไม่มีควัน สนั่นจะผิดจริงตามข้อกล่าวหาหรือไม่เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการสอบสวนที่จะต้องให้ความกระจ่างชัด
แต่ถ้าลองใจให้นิ่ง ๆ ไม่แกว่งไกวไปกับคำกล่าวหาและปกป้องตัวเองของทั้งสองฝ่ายหลับตาลงเพื่อไล่ความพร่าเลือนของสายตาจากควันไฟแล้วเพ่งมองม่านควันออกไป
สิ่งที่อยู่เบื้องหลังก็คือ
สนั่นได้เปลี่ยนแปลงระบการจัดสรรโครงการและวิธีการประมูลงาน ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญของการแสวงหาผลประโยชน์ของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งคนนอกและคนใน
รพช. ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นเพื่อเกิดความถูกต้องยุติธรรมหรือเพื่อตัวเองจะเป็นผู้รวบเอาผลประโยชน์ไว้คนเดียวเป็นเรื่องที่สุดจะคาดเดากันได้
ความเปลี่ยนแปลงประการแรกก็คือ การจัดสรรงบประมาณให้กับโครงการต่าง ๆ
การทำโครงการเป็นหน้าที่ของทางจังหวัดเสนอเข้ามายังกองแผนงานที่ส่วนกลาง
ซึ่งจะกลั่นกรองอีกทีแล้วบรรจุไว้ในแผนห้าปี ทางส่วนกลางจะโอนงบประมาณให้กัทางจังหวัดเป็นผู้ดำเนินการตามความเหมาะสมและความเร่งด่วนของแต่ละโครงการ
ถึงแม้งบประมาณที่ รพช. ได้รับในแต่ละปีจะมาก แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะจัดสรรให้ได้ครบทุกที่
เมื่อความต้องการมีมากกว่าเงินที่มีอยู่ จึงมีการวิ่งเต้นเพื่อดึงเงินไปที่จังหวัด
ที่ผ่านมากองแผนงานในส่วนกลางจะเป็นผู้จัดสรรว่าในแต่ละปี จังหวัดใดจะได้เงินไปทำโครงการบ้างแล้วเสนอผ่านรองเลขาธิการฝ่ายวิศวกรมให้ตัวเลขาอนุมัติ
ซึ่งมักจะเป็นไปตามความเห็นของทางกองแผนงานเสมอ
กองแผนงานจึงเป็นจุดที่ต้องวิ่งเข้าหา โดยมี ส.ส. นักการเมืองท้องถิ่น
เป็นนักวิ่งหลักในรายการนี้เพื่อผลทางการเมือง ในฐานะผู้นำความเจริญมาสู่ท้องถิ่น
ผู้รับเหมาวิ่งตามเป็นลำดับต่อมา เพื่อจะได้มีงานทำ
โครงการของ รพช. ส่วนใหญ่จะไปลงที่ภาคอีสาน ประมาณ 40% ของโครงการในแต่ละปี
เมื่อสนั่นเข้ามาเป็นเลขาฯ เขาได้ตั้งคณะกรรมการนโยบายและแผน รพช. ขึ้นเป็นผู้จัดสรรโครงการแทน
คณะกรรมการชุดนี้มีเลขา รพช. เป็นประธานรองเลขาฯ ฝ่ายวิศวกรรม และฝ่ายบริหารร่วมกับผู้อำนวยการกองจำนวนหนึ่งเป็นกรรมการ
โดยมีผู้อำนวยการกองแผนงานเป็นเลขานุการ
คณะกรรมการชุดนี้ได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาอีกสองชุดคือ คณะอนุกรมการโครงสร้างพื้นฐานมี
ชัยวัฒน์ อรุโณทัยวิวัฒน์ รองฝ่ายวิศวกรรมเป็นประธาน ดูแลงานสร้างทาง สะพานและแหล่งน้ำ
อีกชุดหนึ่งคือ คณะอนุกรรมการด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม อำพล สิงหโกวินทร์
รองฝ่ายบริหารเป็นประธาน ดูแลงานด้านส่งเสริมอาชีพและพัฒนาเยาวชน
อนุกรมการทั้งสองชุดจะกลั่นกรอง จัดสรรโครงการต่าง ๆ ในขั้นต้นก่อนเสนอให้กับเลขาฯ
ถ้าเลขาฯ เห็นชอบก็จะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการแผน
กลไกใหม่นี้ ทำให้ระยะทางและจุดหมายปลายทางที่ ส.ส. และผู้รับเหมาเคยวิ่งต้องทอดยาวออกไปและมีสิ่งกีดขวางมากขึ้นกว่าเดิม
จดชี้ขาดว่า ใครจะได้เงินไปทำโรงการเปลี่ยนจากกองแผนงานมาอยู่ที่ตัวเลขาเอง
คณะอนุกรรมการทั้งสองชุดพยายามที่จะรวบรัดเสนอแผนเข้าที่ประชุมใหญ่ โดยไม่ผ่านตัวสนั่น
"ถ้าไปพูดกันในที่ประชุมใหญ่มีกรรมการอยู่หลายคน คุณสนั่นคงจะทำอะไรไม่สะดวก
ก็เลยให้ส่งเรื่องมาที่แกก่อน" แหล่งข่าวกล่าว สนั่นก็เลยเข้าไปนั่งเป็นประธานในที่ประชุมอนุกรรมการชุดโครงสร้างพื้นฐานเสียเอง
โดยอ้างว่าเพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการพิจารณา
เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้อำนวยการแผนงานนั้นเป็นมือขวาของ ชัยวัฒน์ อรุโณทัยวิวัฒน์
รองเลขาฝ่ายวิศวกรรม และเคยเป็น รพช. จังหวัดที่อุบลราชธานี มีความสนิทสนมอย่างมากกับ
"ตังฮั้ว" ไชยศิริ เรืองกาญจนเศรษฐ์ เจ้าพ่ออีสาน ที่เป็น ส.ส.
อุบลฯ พรรคกิจสังคม และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีด้วย
ความเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เป็นฝีมือของสนั่นคือการดึงงานจัดซื้อและจัดจ้างมาไว้ที่ส่วนกลาง
ตามระเบียบบริหารงบประมาณของสำนักงบประมาณ ปี 2521 ระเบียบการบริหารงบประมาณส่วนจังหวัดปี
2524 งบประมาณของโครงการที่อยู่ในจังหวัดใดก็ให้จังหวัดนั้นเป็นผู้รับผิดชอบ
ส่วนราชการที่เป็นเจ้าของงบประมาณสามารถดึงอำนาจในการบริหารงบประมาณมาทำเองได้
แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากสำนักงบประมาณก่อน
ที่ผ่านมางาน รพช. ของจังหวัดใด ทางผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นหรือผู้อำนวยการศูนย์
รพช. จะเป็นผู้จัดการประมูลเอง ผู้อำนวยการศูนย์ มีอำนาจว่าจ้างในวงเงินไม่เกิน
3 ล้านบาท ถ้าเกิน 3 ล้านจนถึง 8 ล้านบาทเป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด
สำหรับวงเงินที่เกินกว่า 8 ล้านบาทต้องขออนุมัติต่อปลัดกระทรวงมหาดไทยเสียก่อน
เดือนพฤศจิกายน 2530 สนั่นสั่งให้แก้ไขระเบียบใหม่ ให้ดึงงานประมูลมาไว้ที่ส่วนกลาง
โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันการทุจริต แต่ก็มีเสียงโต้แย้งว่า ทำให้โครงการต่าง
ๆ หยุดชะงักลงเพราะต้องรอให้สนั่นดำเนินการแทนที่จะกระจายอำนาจให้จังหวัดหรือศูนย์ไปทำกันเอง
แหล่งข่าวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ใน รพช. ซึ่งออกตัวว่าไม่ได้มีส่วนได้เสีย
เพียงแต่ต้องการเสนอแง่มุมอีกด้านหนึ่งให้รับทราบกันไว้เปิดเผยว่า การดึงงานมาประมูลที่ส่วนกลางเท่ากับเป็นการทุบหม้อข้าวของข้าราชการ
รพช. ในต่างจังหวัดและตัวผู้ว่าราชการจังหวัดเอง และทำให้ผู้รับเหมาต้องเดือดร้อนเพาะไม่สามารถประมูลงานได้ง่าย
ๆ เหมือนเมื่อก่อน
ผู้รับเหมาที่รับงานของ รพช. ส่วนใหญ่จะเป็นผู้รับเหมาท้องถิ่น งานของ
รพช. แต่ละโครงการมีมูลค่าไม่สูงนัก งานสะพานส่วนใหญ่ประมาณ 2-3 ล้านบาท
สูงสุดไม่เกิน 4 ล้านบาท งานถนนสูงสุดไม่เกิน 30 ล้านบาท การที่จะไปรับงานที่อื่นที่ไกลออกไปจะทำให้ไม่คุ้มเพราะค่าใช้จ่ายสูง
ยกเว้นผู้รับเหมารายใหญ่ ๆ เช่นอึ้งทงกี่ หรือกำแพงเพชรวิวัฒน์ที่รับงานไปทั่วประเทศ
แต่จะขายต่อให้ผู้รับเหมาในท้องถิ่นนั้นอีกทีหนึ่ง" แหล่งข่าวกล่าว
ความเป็นผู้รับเหมาในท้องถิ่นทำให้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่น
เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการจ้างงานของจังหวัดหรือ รพช.
จังหวัด ซึ่งเอื้ออำนวยให้เกิดการได้เสียกันในการประมูลงานง่ายขึ้น
การได้เสียในการประมูลงานของ รพช. มีอยู่สามรูปแบบ คือ "ปิด ฮั้วและฟัน"
"ปิด" ก็คือพยายามปิดข่าวการประมูลงาน ไม่แจ้งให้ผู้รับเหมารายอื่นที่ไม่ใช่พวกของตนได้รับรู้
หรือแจ้งในเวลากระชั้นชิด เช่นโรเนียวประกาศประกวดราคาขายแบบ แต่ยังไม่ส่งไปติดตามอำเภออื่น
ๆ หรือออกประกาศทางวิทยุท้องถิ่นจนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของการขายแบบ
ถ้าปิดไม่อยู่คือ "แตก" ก็จะใช้วิธี "ฮั้ว" คือเรียกผู้รับเหมาที่รู้ข่าวและจะเข้าประมูลด้วยมาตกลงกัน
ให้ถอนตัวหรือเสนอราคาให้สูงกว่าราคากลางมาก ๆ โดยผู้รับเหมารายที่อยากจะได้งานจ่ายเงินกินเปล่าให้เป็นการตอบแทน
เมื่อปิดไม่อยู่และฮั้วกันไม่ได้ ก็จะมาถึงวิธีสุดท้ายคือ "ฟัน"
ซึ่งเป็นวิธีปกติของการประมูลทั่วไปคือเสนอราคาต่ำสุดเพื่อให้ได้งานไป
ถ้ามีการฟันกันเมื่อไร กำไรที่ผู้รับเหมาจะได้รับก็น้อยลงไปด้วย แน่นอนว่าต้องอาศัยความร่วมมือของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ
โดยจ่ายค่าอำนวยความสะดวกให้ "คิดกันเป็นเปอร์เซนต์ จะ 10 หรือ 15 เปอร์เซนต์ก็แล้วแต่แต่งานนั้นผู้รับเหมาจะมีกำไรแค่ไหนหลังจากที่จัดสรรผลประโยชน์กันในจังหวัดแล้ว
รพช. จังหวัดจะเป็นคนส่งส่วยมาที่ส่วนกลางเอง" แหล่งข่าวเปิดเผยถึงหน้าที่อีกอย่างหนึ่งของ
รพช. จังหวัดที่รู้กันเฉพาะคนวงใน
ส่วนแบ่ง 10-15% ของงบประมาณแต่ละโครงการ ถ้ำคำนวณอย่างคร่าว ๆ จากงบประมาณของโครงการแต่ละปี
ย้อนหลังกลับไปเพียงสิบปีเท่านั้น ไม่ต้องคิดออกมาเป็นตัวเลขให้เห็นกัน ก็คงนึกภาพออกว่า
ทำไมการเปลี่ยนแปลงระบบการประมูลงานของสนั่นจึงทำให้ รพช. ลุกเป็นไฟจนตัวเองอยู่ไม่ได้
เพราะการดึงงานประมูลมาไว้ที่ส่วนกลาง ทำให้การ "ปิด" และ "ฮั้ว"
ทำได้ยากขึ้น เนื่องจากมีผู้รับเหมามากราย และการงุบงิบทำกันได้ไม่เงียบและมิดชิดเหมือนในต่างจังหวัด
วิธีเดียวที่จะได้งานคือการ "ฟัน" กันเองระหว่างผู้รับเหมา ซึ่งจะทำให้กำไรที่เคยได้ลดต่ำลง
หรืออาจจะขาดทุน
การประมูลงานสร้างถนนที่น่านเป็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว เหตุที่มีผู้ซื้อแบบและยื่นซองประกวดราคาเพียงสามรายเพราะงานนี้ประมูลกันที่ส่วนกลาง
รู้กันอยู่ว่าเป็นงาน "ฟัน" ถึงจะได้งานไปก็ไม่คุ้ม และยังต้องวางเงินมัดจำซองประมาณ
10% ของมูลค่างานไม่ว่าจะได้งานหรือไม่ จนกว่าจะมีการเซ็นสัญญากับผู้ที่ประมูลได้ซึ่งจะกินเวลาราวสองอาทิตย์
จึงไม่มีใครอยากเอาเงิน 3 ล้านบาทมาจมไว้
เมื่อเป็นงาน "ฟัน" ราคาที่ผู้รับเหมาเสนอต่ำสุดคือ 31.6 ล้านบาท
ต่ำกว่าราคากลาง 3 แสนบาท ซึ่งเป็นราคาที่มีโอกาสาดทุนมาก นี่เป็นเหตุผลลึก
ๆ ประการหนึ่งของการร้องเรียนว่าการประมูลไม่เป็นธรรม เพื่อหาทางยกเลิกสัญญา
"การดึงงานประมูลมาที่ส่วนกลาง ถึงแม้ตอนแรกผู้รับเหมาจะฮั้วกันไม่ได้
แต่ในระยะยาวแล้ว ก็จะกลับไปฮั้วได้เหมือนเดิม ทีนี้เงินที่เคยผ่านจากจังหวัดมาที่ส่วนกลางก็จะไหลเข้ามาที่นี่โดยตรงและมากกว่าเดิมด้วย
เพราะคนที่นี่จะเป็นผู้จัดสรรเอง มันไม่ใช่ดึงงานประมูลมาเท่านั้น สิ่งที่ตามมาคือเป็นการดึงค่าเก๋าเจี้ยะมาด้วย
ผมไม่รู้ว่านี่เป็นแผนการในระยะยาวของคุณสนั่นหรือเปล่า แต่ที่ทำลงไปมันไปทุบหม้อข้าวคนอื่นเขา
ใครจะไปยอม" แหล่งข่าวอรรถาธิบาย
นอกากจะเปลี่ยนแปลงระบบแล้ว สนั่นยังย้ายข้าราชการ รพช. ในส่วนภูมิภาคด้วย
โดยเฉพาะระดับผู้อำนวยการศูนย์ที่อยู่กันมานาน เช่นที่ ลำปาง ขอนแก่น โคราช
และปราณบุรี ถึงแม้จะมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นส่วนหนึ่งของการจัดสรรผลประโยชน์ใหม่
แต่สนั่นอ้างว่าทำไปตามนโยบายของกระทรวงมหาดไทยที่ให้มีการโยกย้ายข้าราชการที่อยู่ในตำแหน่งเกินกว่าห้าปีไปอยู่ในที่ใหม่
สนั่นได้ชื่อว่าเก่งกาจในการทำแผนจนเป็นที่โปรดปรานของผู้ใหญ่ในกระทรวง
แต่สนั่นอาจจะมีจุดอ่อนตรงที่เคยทำงานด้านวิชาการ เมื่อมาอยู่ รพช. ซึ่งต้องเกี่ยวข้องกับคนไม่เฉพาะข้าราชการในสังกัดเท่านั้น
หากยังรวมไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ส.ส. นักการเมืองท้องถิ่น และผู้รับเหมา
สนั่นก็เลยกลายเป็นคนที่ไม่มีศิลปะในการปกครองคน
สำหรับคนที่จะขึ้นมาเป็นใหญ่เป็นโตบ้านนี้เมืองนี้ หัวใจสำคัญของศิลปะในการปกครองคนที่ไม่มีการอธิบายไว้ในตำราเล่มใดก็คือ
การแบ่งปันผลประโยชน์ให้ถึงมือผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างทั่วถึง ไม่ใช่รวบเอาไว้คนเดียวหมด
และถ้าจะต้องแตะต้องระบบผลประโยชน์เก่าก็ควรทำอย่างละมุนละม่อม มีจังหวะจะโคน
ไม่ควรใช้วิธีการหักด้ามพร้าด้วยหัวเข่า
เจตนาที่แท้จริงของสนั่นจะเกิดจากความบริสุทธิ์ใจที่จะรักษาผลประโยชน์ของชาติ
หรือเป็นเพียงการกีดกันคนอื่น ๆ เพื่อรวบผลประโยชน์เอาไว้ในมือของตนเพียงผู้เดียวเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเจ้าตัว
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับสนั่นภายหลังที่เข้าไปนั่งใน รพช. ได้เพียงห้าเดือนเท่านั้น
เป็นกรณีแบบฉบับซึ่งเป็นผลจากการทำให้ระบบการจัดสรรแบ่งปันผลประโยชน์เดิมได้รับความกระทบกระเทือน
ความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชการ นักการเมืองและผู้รับเหมาที่ลงตัวอยู่แล้วต้องสั่นคลอน
จึงจำเป็นจะต้องขจัดต้นเหตุออกไปเสีย