"ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ใหญ่บ้านเมืองนี้ เขากำลังเล่นอะไรกัน
ยิ่งไม่รู้ว่าทำไมต้องเอาชื่อผมไปอ้างด้วย"
ใครก็ตามที่ได้ยินคำพูดนี้ คงเดาออกถึงความงุนงงสงสัยและสมเพชเวทนาในการกระทำที่ขาดความรับผิดชอบ
ไม่คำนึงว่าจะเป็นผลเสียแก่คนที่ถูกพาดพิงถึงอย่างไรบ้าง
ถ้าไม่มีเรื่อง "เบนซ์แวน" ชื่อของ "ดร. อักขราทร จุฬารัตน์"
คงยังเป็นเพียงกรรมการร่างกฎหมายประจำของสำนักงานกฤษฎีกา เป็นอาจารย์สอนวิชากฎหมายของนักศึกษาหลายสถาบันทั้งที่จุฬาฯ
ธรรมศาสตร์ รวมไปถึงมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ที่ทำงานด้วยความสุขใจ
ไม่ต้องยุ่งยาก รำคาญใจกับคำถามที่หลายคนต้องการทราบว่าไปเกี่ยวข้องกับเรื่อง
"เบนซ์แวน" ที่อื้อฉาวทุกวันนี้ได้อย่างไร???
อักขราทรจบปริญาตรีจากคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์สอบได้เนติบัณฑิตไทย ได้รับทุนรัฐบาลของสำนักงานกฤษฎีกาไปศึกษาต่อจนจบปริญญาเอกจาก
UNIVERSITY OF ROME แล้วกลับมาเมืองไทย โดยทำงานที่สำนักงานกฤษฎีกามาโดยตลอด
"ท่านคงเห็นว่าผมเป็นคนมีชื่อเสียง มีคนรู้จักมากมั้งถึง "ยืม"
ชื่อของผมไปใช้" อักขราทรกล่าวอย่างติดตลกเมื่อ "ผู้จัดการ"
ถามถึงสาเหตุที่ "บังเอิญ" มีชื่อว่าได้เสนอแนะให้คำปรึกษาข้อกฎหมายในการอนุญาตจดทะเบียนเบนซ์แวนเจ้าปัญหา
ซึ่งใคร ๆ ก็ทราบว่า จริง ๆ แล้วเรื่องนี้ไม่ตลกเลยสักนิด!!!
"ท่าน" ในที่นี้ก็คือ พล.ต.อ. เภา สารสิน อธิบดีกรมตำรวจคนปัจจุบัน
ที่ขณะทำหนังสือพาดพิงถึงอักขราทร ยังเป็นผู้ช่วยอธิบดีฝ่ายกิจการพิเศษอยู่
พล.ต.อ. เภา สารสินเป็นบุตรคนที่2 ของอดีตนายกรัฐมนตรีพจน์กับท่านผู้หญิงสิริ
สารสิน เป็นพี่น้องท้องเดียวกันกับรองนายกรัฐมนตรีพงส์, เอกอัครราชทูตอาสา
และอธิบดีกรมสรรพากรบัณฑิต บุณยะปานะ
สำเร็จมัธยมหกจากวชิราวุธวิทยาลัย แล้วไปเรียนต่อที่ไฮสคูลที่วิลบราแฮม
สหรัฐอเมริกา จบปริญาตรีทางวิทยาศาสตร์สาขาเคมี จากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์และปริญญาตรีอาชญวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
พล.ต.อ. เภา จัดได้ว่าเป็นนายตำรวจที่ "มือสะอาด" ของกรมตำรวจ
เริ่มรับราชการตำรวจครั้งแรกประจำที่กองวิทยาการ แล้วขึ้นเป็นผู้กำกับการ
1 กองพิสูจน์หลักฐาน จากนั้นเป็นรองหัวหน้ากองพิสูจน์หลักฐาน หัวหน้ากองพิสูจน์หลักฐาน
ผู้ชาวยผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางตามลำดับ
เป็นเลขาธิการคนแรกของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งริเริ่มก่อตั้งเองในช่วงปี
2521-2525 แล้วกลับมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ขึ้นเป็นผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจในปี
2527 เป็นรองอธิบดีในปี 2529 และเข้ารับตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจในปี 2531 นี่เอง
หนังสือดังกล่าวอ้างว่า พล.ต.อ. เภา ให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในสำนักงานผู้ช่วย
อ.ตร. นำเรื่องไปปรึกษาเป็นการส่วนตัวกับ ดร. อักขราทร ซึ่ง พล.ต.อ. เภา
ขอให้ช่วยงานด้านกฎหมายเกี่ยวกับการตรวจตราควบคุมแร่และสรุปเป็นความเห็นส่งขึ้นไปให้
พล.ต.ท. ประเนตร ฤทธิฤาชัยในการพิจารณาสั่งการ
ทั้ง ๆ ที่ ดร. อักขราทรเองก็ไม่เคยพบ พล.ต.อ. เภามาก่อนและยังไม่เคยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนไหนมาปรึกษาหารือข้อกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยสักครั้ง!?!
และยังรวมไปถึงการที่มีหนังสือพิมพ์บางฉบับที่รายงานผลการประชุมคณะกรรมาธิการปกครองสภาผู้แทนฯ
ที่ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง หัวหน้าพรรคมวลชน ผลักดันให้มีการสอบสวน พล.ต.อ.
เภา ว่า พล.ต.อ. เภาได้มีเอกสารแสดงว่ามีการหารือเป็นส่วนตัวกับ ดร. อักขราทรแสดงต่อที่ประชุม
ทำให้คณะกรรมการไม่ติดใจประเด็นดังกล่าวอีก
"ถ้าท่านมีเอกสารที่ว่าจริง ผมก็มีสิ่งที่ยืนยันได้ว่าไม่เคยมีการหารือเช่นนั้นเลยเหมือนกัน
"อักขราทรปฏิเสธเรื่องที่ลงในหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวกับ "ผู้จัดการ"
อย่างหนักแน่น
ในฐานะที่เป็นถึงผู้บริหารระดับสูง เป็นข้าราชการมหาดไทยคนหนึ่ง ยังคงจำได้ถึงความหมายของมหาดไทยที่ว่า
"มหาดไทย หมายถึง ข้าราชการผู้ใหญ่ที่มีอิสระพอที่จะสั่งปฏิบัติงานได้ด้วยอำนาจของตนเอง(ตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา)
คือมีอำนาจสั่งการ หรือปฏิบัติการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ทุกกรณีด้วยตนเอง
ตามหลักการที่ได้มอบหมายไว้ และตนเองจะต้องผูกพันรับผิดชอบในการปฏิบัตินั้นด้วย"
กับข้าราชการอีกคนหนึ่งที่เป็นทั้งนักวิชาการ เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย เป็นคนที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างสูงในสาขาวิชาที่ตนเองทำงานอยู่
ซึ่ง "ผู้จัดการ" เชื่อมั่นลึก ๆ ว่า ทั้งสองย่อมสำนึกในหน้าที่
และบทบาทที่ตนเองมีอยู่อย่างมาก
แต่เรื่องจริง ๆ เล่าเป็นฉันใด??