นุกูล ประจวบเหมาะ ยอมหักไม่ยอมงอชั่วนิรันดร์


นิตยสารผู้จัดการ( เมษายน 2531)



กลับสู่หน้าหลัก

คนเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์และคนบางคนก็กลายเป็นประวัติศาสตร์ไปโดยไม่รู้ตัวได้ง่าย ๆ เหมือนกัน

คน ๆ หนึ่งเกิดและเติบโตขึ้นมาจนเป็นดาวที่แจ่มจรัสฟ้า จนดูเหมือนไม่มีวันจะโรยราแต่แล้ววันดีคืนดีดาวดวงเด่นก็ถูกสอยตกลงมาอย่างเหนือความคาดหมาย อาจจะเป็นเรื่องโชคชะตาที่เล่นตลกเอากับเขา หรือเพราะความเป็นตัวของเขาเองนั่นยังไม่สำคัญเท่าเราได้เรียนรู้อะไรบ้างจากสิ่งที่เกิดขึ้น?

นุกูล ประจวบเหมาะ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยและล่าสุดอดีตประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหารบริษัทสยามกลการ อดีตคนใหญ่คนโตที่กลายเป็นสามัญชนผู้ตกงานแล้วโดยสมบูรณ์ คือตัวละครโดดเด่นที่เราเลือกหยิบยกขึ้นมาศึกษา

ข่าวดังที่สุดในรอบปี 2527 ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์บางคนบอกว่าเป็น DEPRESSION YEAR เห็นจะไม่มีข่าวไหนเกิน "สั่งปลด…ผู้ว่าการแบงก์ชาติ" (ตำแหน่งที่ในเมืองไทยอาจจะเทียบเท่ารองปลัดกระทรวงเท่านั้นแต่สำหรับในต่างประเทศแล้วตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่มีเกียรตสูง และเป็นตำแหน่งที่เหนือกว่ารัฐมนตรีกระทรวงการคลังเสียอีก) อย่างกะทันหันแบบสายฟ้าแลบ สำหรับวงการเงินเมืองไทยและทั่วโลกค่อนข้างจะเป็นเรื่องน่าตื่นตระหนกไม่น้อย และสำหรับนุกูล มันเป็นโศกนาฎกรรมครั้งสำคัญในชีวิต

คู่กรณีในครั้งนั้นคืออดีตรัฐมนตรี สมหมาย ฮุนตระกูล ผู้ได้รับฉายาว่า "ซามูไรบ้าเลือด" เขาเป็นผู้ลงดาบนุกูล ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ลงดาบนุกูล ที่ได้ชื่อว่าเป็นคน "หัวรั้นจอมทะนง"

เหตุของปัญหาคือความขัดแย้งกันในเรื่องความคิดความเชื่อในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน ละเรื่อยไปถึงความขัดแย้งเชิงบุคลิกภาพในการทำงานและเรื่องส่วนตัว นำไปสู่จุดแตกหักแล้วจบลงด้วยบทโหด ของผู้ที่อยู่ในอำนาจที่เหนือกว่า ซึ่งการปลดผู้ว่าแบงก์ชาติครั้งนั้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย

(เบื้องหลังความคิดขัดแย้งโดยละเอียดอ่านจาก "ผู้จัดการ" ปีที่ 2 ฉบับที่ 13)

คำพูดของนุกูลที่ระบายความอัดอั้นตันใจออกมาให้พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทยในวันประกาศอำลาจากแบงก์ชาติ สะท้อนถึงความคิดของเขาอย่างชัดเจน และดูเหมือนว่าสถานภาพของธนาคารแห่งประเทศไทยในปัจจุบันภายใต้ผู้ว่าชื่อ กำจร สถิรกุล ออกจะไม่ต่างจากสิ่งที่นุกูลไม่อยากให้เกิดขึ้น

"ตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญ ที่มีความรับผิดชอบและเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ เป็นตำแหน่งที่ให้คุณประโยชนแก่ธนาคาร กลุ่มธุรกิจได้มากมาย และในเวลาเดียวกันโดยอำนาจหน้าที่อาจทำความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจการเงินได้เช่นกัน ผมหวังอย่างยิ่งว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวผมคงจะไม่เป็นการสร้างแบบอย่างที่ไม่ดีที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต แบบอย่างที่ไม่ดีนั้นคือ ผู้ว่าการจะต้องยอมอยู่ภายใต้การครอบงำ เป็นที่พอใจของนักการเมืองจึงจะอยู่ได้ เมื่อใดก็ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยปราศจากอิสรภาพในการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย เมื่อไรก็ตามที่ผู้ว่าการจะต้องคอยเอาอกเอาใจนักการเมืองจึงจะอยู่ในตำแหน่งได้ เมื่อนั้นศักดิ์ศรีของธนาคารชาติจะไม่มีเหลือ ทำนบกั้นความอยู่รอดทางเศรษฐกิจของประเทศจะพังทลายไปอีกทำนบหนึ่ง"

หลังจากพ้นตำแหน่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว นุกูลก็อยู่บ้านพักผ่อน โดยปฏิเสธไม่ยอมรับการขอร้องจากสมหมายที่จะให้ไปดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง

นุกูล เป็นคนที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า STRONG PERSONALITY เป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก ๆ เขาได้ชื่อว่าเป็นคนที่ "ฉลาดเฉลียวและมือสะอาดมาก ๆ คนหนึ่ง" บุคลิกจึงค่อนข้างแข็งกร้าว ไม่เคยยอมอ่อนข้อให้ใคร สไตล์การทำงานมีลักษณะ AGGRESSIVE เป็นคนโผงผางและพูดจาแบบไม่ค่อยมีซิปรูด การเข้าใจปูมหลังทางครอบครัวซึ่งมีส่วนหล่อหลอมบุคลิกภาพของเขาอาจจะช่วยให้เข้าใจเขามากขึ้น

ตระกูล "ประจวบเหมาะ"เป็นตระกูลคหบดีใหญ่ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ต้นตระกูลเป็นคนแซ่ลิ้ม อพยพเข้ามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 โดยรับราชการเป็นนายภาษีอากรให้กับรัฐบาล มีความดีความชอบได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "ขุนอากรทรงโปรด" รัชกาลที่ 6 เป็นผู้ทรงพระราชทานนามสกุล "ประจวบเหมาะ" ให้

ตระกูลนี้เป็นตระกูลใหญ่มีหลายสายแยกย้ายกันประกอบอาชีพต่าง ๆ สายพ่อของนุกูลคือ ประกอบ ประจวบเหมาะ ทำการค้าขายเหล้า บุหรี่ รับซื้อของป่า ทำกิจการเหมืองแร่ นอกจากนี้ยังมีที่ดินอีกเป็นจำนวนมากมาย ประกอบแต่งงานกับลูกสาวเศรษฐีบางสะพานตระกูล "เลาหะลีนุ" ชื่อ ดัด ซึ่งเป็นผู้หญิงเก่ง และมีความสามารถในการค้ามาก จนใคร ๆ เรียก "เจ้าแม่ดัด" เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างมีฐานะดีอยู่แล้ว จึงกลายเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยยิ่งขึ้น

เมื่อครอบครัวฐานะดีขนาดนี้ นุกูลจึงเติบโตขึ้นมาอย่างสุขสบายได้เรียนหนังสือเต็มที่ เขาสามารถเลือกอาชีพที่ปรารถนาจะทำประโยชน์ได้โดยไม่ต้องคิดเรื่องการหาเงินหาทองมากนัก

นุกูลจบ ม. 8 ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเมลเบอร์น ประเทศออสเตรเลีย คว้าปริญญาตรีพาณิชยศาสตร์บัณฑิตกลับมาเมื่อปี 2495 เริ่มทำงานครั้งแรกที่กระทรวงการคลังในตำแหน่งเศรษฐกร ทำได้พักหนึ่งก็เดินทางไปเรียนต่อระดับปริญาโทที่มหาวิทยาลัยยอร์ชวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา สำเร็จมาทางด้านเศรษฐศาสตร์ ระหว่างที่เรียนอยู่ก็ฝึกงานที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศไปด้วย

ปี 2500 เดินทางไปทำงานที่สถานทูตไทยประจำกรุงวอชิงตันในสำนักงานที่ปรึกษาเศรษฐกิจการคลัง

เดินทางกลับประเทศไทยเมื่อปี 2507 เข้ารับตำแหน่งรองอธิบดีกรมทางหลวง ในเวลาเดียวกันก็เป็นผู้อำนวยการโครงการก่อสร้างถนนสายต่าง ๆ ที่ใช้เงินกู้จากธนาคารโลกและเป็นรองอธิบดีกรมทางหลวงคนแรกที่ไม่ได้จบมาทางด้านวิศวะ

นุกูลทำงานที่กรมทางหลวงเป็นเวลานานถึง 10 ปี ได้ปรับปรุงระบบงานหลายอย่างจนทำให้กรมทางหลวงสามารถประหยัดเงินได้เป็นจำนวนมหาศาล นอกจากนั้นยังขยายการสร้างทางออกไปทั่วทุกแห่งทั้งประเทศ ถนนหนทางที่ได้มาตรฐานกระจายออกไปสู่จังหวัดต่าง ๆ ที่ห่างไกลความเจริญได้แผ่ขยายออกไปสู่ท้องถิ่นอย่างรวดเร็ว ผลงานครั้งนั้นของนุกูลจึงได้รับการกล่าวถึงอยู่มาก

จากกรมทางหลวงก็มาเป็นที่ปรึกษากระทรวงการคลังในปี 2517 ในสมัยที่บุญมา วงศ์สวรรค์เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำงานอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ประมาณ 6 เดือน สมหมาย ฮุนตระกูล ก็มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผอิญช่วงนั้นสมหมายเกิดความขัดแย้งกับสมัคร สุนทรเวช กับ สวัสดิ์ อุทัยศรี เกี่ยวกับเรื่องกรมธนารักษ์ เกิดการสไตร๊ค์ขึ้นในโรงกษาปณ์ซึ่งเวลานั้น สวัสดิ์ อุทัยศรี เป็นอธิบดีกรมนี้ สมหมายเลยย้ายสวัสดิ์มาตำแหน่งที่ปรึกษากระทรวงการคลังแล้วย้ายเอานุกูลไปเป็นอธิบดีกรมธนารักษ์สลับตำแหน่งกัน

"ผมเข้าไปอยู่ที่นั่นประมาณ 6 เดือน เข้าไปถึงปรากฏว่าคุณสวัสดิ์แกทิ้งเรื่องไว้กองพะเนินเทินทึก เรื่องที่ดินอะไรต่าง ๆ ทั่วประเทศผมก็ไปสาวปัญหาจนเสร็จ ระหว่างนั้นผมก็ออกกฎหมายให้กรมธนารักษ์และกระทรวงการคลังรับผิดชอบที่ดินของราชพัสดุทั้งหมดทั่วประเทศ ซึ่งเมื่อก่อนนี้อำนาจยังเป็นของกระทรวงมหาดไทย พอทำเรื่องเสร็จคุณบุญชู (โรจนเสถียร) ก็เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คุณบุชูมาตามผมไปบอกว่า ผมต้องไปอยู่กรมสรรพากร" นุกูลเล่าถึงชีวิตในหน้าที่การงานของตนช่วงที่ย้ายจากอธิบดีกรมธนารักษ์ไปเป็นอธิบดีกรมสรรพากร

มาถึงยุครัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร นุกูลถูก สุพัฒน์ สุธาธรรม รัฐมนตรีคลังย้ายไปอยู่กรมบัญชีกลาง เพราะขอร้องให้ช่วยบริษัทที่ถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก 10 กว่าล้านแล้วนุกูลไม่สนใจแม้นิดเดียวก็เลยถูกย้ายจากกรมอันดับหนึ่งไปอยู่กรมแถวหลัง ๆ เป็นรางวัล!!!

ว่ากันว่าความแข็งของนุกูลนั้นแข็งถึงขนาดเวลาเดินสวนกับรัฐมนตรีคลังที่ชื่อ สุพัฒน์ สุธาธรรม นุกูลแม้กระทั่งเหลือบมองยังไม่มองเลย และไม่ยอมยกมือไหว้รัฐมนตรีด้วย

นุกูลเป็นอธิบดีกรมสรรพากรได้ 3 ปีครึ่ง ซึ่งนุกูลยอมรับว่างานที่นี่หนักมาก ๆ ปี 2521 ย้ายไปเป็นอธิบดีกรมบัญชีกลาง ถัดมาปี 2522 ก็ย้ายมารับตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย อันเป็นตำแหน่งสุดท้ายในชีวิตราชการของนุกูล

นุกูลเป็นคนที่มีจุดยืนของตัวเองอย่างแจ่มชัด และเป็นตัวของตัวเองมาก ๆ เป็นคนที่ทำงานอย่างเดียวไม่สนใจที่จะต้องเอาใจใครทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย ทุกอย่างจะต้องดำเนินไปบนพื้นฐานของหลักการทำงานอย่างเป็นระบบว่าไปแล้วเขาเป็นคนที่วงการราชการไทยต้องการมาก ๆ เพราะเป็นคนตรงเป็นเส้นตรงและเป็นคนไม่ยอมคนไม่ว่าเป็นใครมาจากไหน

ถ้าผิดจากหลักการไปแล้ว นุกูลจะยอมหักไม่ยอมงอเด็ดขาด ความข้อนี้ทุกคนประจักษ์ชัดแล้วจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาหลาย ๆ เหตุการณ์

ในมุมกลับการที่เขามีสไตล์ที่แข็งกร้าวเช่นนี้สร้างศัตรูหรือความไม่พอใจให้กับผู้บังคับบัญชาและกน้องไม่น้อย บางคนบอกว่าเขาเชื่อมั่นในตัวเองจนล้นเกินจนคนที่มีความเห็นต่างไปค่อนข้างลำบากใจ

ชีวิตของนุกูลหลังจากพ้นตำแหน่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยนับได้ว่าเป็นชีวิตของคนว่างงานผู้ยิ่งใหญ่ มีคนมาทาบทามจะให้นุกูลเข้าร่วมงานด้วยหลายราย แต่นุกูลปฏิเสธหมดขออยู่เฉย ๆ ที่บ้านสักระยะหนึ่ง โดยให้เหตุผลว่า "ยังไม่พบงานที่ชอบและถูกใจ"

16 ตุลาคม 2529 มีการจัดแถลงข่าวอย่างใหญ่โตที่สยามกลการว่า นุกูล ประจวบเหมาะจะเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการแทนถาวร พรประภา ซึ่งขึ้นไปเป็นประธานกิตติมศักดิ์ ข่าวนี้ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนร่วมร้อยที่สนใจจะได้คำตอบว่าทำไมนุกูล จึงตัดสินใจมาที่นี่และสยามกลการจะมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่หรือไม่?

เหตุผลของถาวร พรประภาที่ชี้แจงวันนั้นคือต้องการประสิทธิภาพในการบริหารงานให้มากยิ่งขึ้น ด้วยการเชิญนักบริหารมืออาชีพที่มีความสามารถสูง มีพลัง มีเวลาเต็มที่ให้มาช่วยกันบริหารบริษัทสยามกลการให้เจริญรุดหน้า จึงตัดสินใจเชิญนุกูลเป็นประธานกรรมการ โดยจะให้อำนาจเต็มที่ และแต่งตั้ง ดร. วิชิต สุรพงศ์ชัย จากแบงก์กรุงเทพเป็นกรรมการบริษัทด้วย

"การที่ผมตัดสินใจเข้าทำงานที่สยามกลการก็มีเหตุผลอยู่ 2-3 ประการ ประการแรก ผมคิดว่าคุณถาวรเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพนับถือ ซึ่งผมมอง ๆ ดูแล้วมีไม่ค่อยมากนักในสังคมแบนี้ ท่านได้สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาจนมีหลักฐานมั่นคง เวลานี้ท่านก็บอกตรง ๆ ว่ามีปัญหาบางประการที่มันขยายตัวมาแล้วและเอาคนนอกที่เป็นกลางเข้ามา ถ้าไม่ส่งเสริมก็ขัดกับความรู้สึกเพราะใจผมอยากส่งเสริมระบบนี้อยู่แล้ว อีกประการหนึ่งผมเห็นว่าธุรกิจภาคเอกชนเป็นงานใหญ่และผมไม่เคยทำมาก่อน ประกอบกับช่วงนี้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ปัญหาต่าง ๆ มีมาก งานนี้จึงเป็นงานท้าทาย" นุกูลให้เหตุผลของการตัดสินใจเข้ารับงานที่สยามกลการ

นุกูลเข้าไปขณะที่บริษัทสยามกลการสะบักสะบอมจากพิษของเงินเยนที่แข็งตัว และการบริหารภายในที่ผิดพลาดจนบริษัทขาดทุน อีกทั้งพรประภาเป็นครอบครัวใหญ่ พี่น้องไม่ค่อยลงรอยกัน

การเข้ามาของนุกูลนอกจากคำขอร้องของถาวรแล้ว แรงบีบของธนาคารกรุงเทพในฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่คงมีส่วนอยู่ไม่น้อย ดร. อำนวย วีรวรรณซึ่งเป็นประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพเป็นเพื่อนสนิทนุกูลคงจะเป็นแรงหนุนส่งอีกทางและชาตรียังส่งมือขวาอย่าง ดร. วิชิตเข้าไปคุมอีกแรงหนึ่งด้วย

เวลาผ่านไป 1 ปี 5 เดือน การลาออกอย่างกระทันหัน เป็นข่าวที่อยู่ในความสนใจของคนในวงการว่าทำไม? ครึกโครมไม่แพ้ตอนที่เข้ามาเช่นกัน

นุกูลให้เหตุผลว่าเขาเข้ามาช่วยจนผลประกอบการดีขึ้น จนมีกำไรในปีนี้กว่าร้อยล้านบาท วิกฤติการณ์ทางการเงินและปัญหาของบริษัทได้คลี่คลายไปเกือบหมดสิ้นแล้ว ขณะนี้ฐานะของบริษัทมั่นคงขึ้นมาก ภาพพจน์ของบริษัทในสายตาประชาชนทั่วไปก็ดีขึ้น จึงไม่มีเหตุผลที่จะดำรงตำแหน่งต่อไป

แต่แหล่งข่าวในสยามกลการวิเคราะห์ว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้นุกูลตัดสินใจลาออก เพราะเบื่อหน่ายในสไตล์การทำงานที่แตกต่างกันของตน (ซึ่งเขาเองมองว่าเป็นแบบสากล) กับคนพรประภา ซึ่งเป็นแบบระบบครอบครัว โดยเฉพาะมีปัญหาขัดแย้งกับคุณหญิงพรทิพย์ซึ่งคาดกันว่าจะเข้าคุมอาณาจักรสยามกลการต่อไปด้วย

นุกูลยอมรับกับ "ผู้จัดการ" ว่า "ปัญหามันก็มีบ้างเพราะแบ๊คกราวด์ไม่เหมือนกัน คุณหญิงพรทิพย์จบอะไรมาผมขอถามหน่อย ก็ไม่ได้จบอะไรมาใช่ไหมครับ ความรู้แกไม่ค่อยมีก็ไปเก่งเรื่องประชาสัมพันธ์ และที่บอกว่าผมใช้ระบบแบบแบงก์ชาติเข้ามาซึ่งไม่เหมาะกับธุรกิจเอกชนนั้น แบงก์ชาติเป็นยังไง แบงก์ชาติก็เหมือนกับธุรกิจธรรมดาและที่อ้างอย่างนั้นอย่างนี้ผมถามจริง ๆ ถ้าบอกว่าคุณหญิงมีความสามารถทำไมไม่ตั้งแกเป็นตั้งแต่ตอนที่มีปัญหามาก ๆ ล่ะ"

ภายใต้สถานการณ์วิกฤติและการทะเลาะเบาะแว้งของคนในครอบครัว นุกูลเข้าไปเป็นคนกลางที่เหมาะสมมากเพราะเขาไม่เข้าไปเกี่ยวด้วยเขาอยู่ตรงกลาง จัดระบบต่าง ๆ ให้เข้าที่เข้าทาง โดยเฉพาะแก้วิกฤติทางการเงินนั้นทำให้ความขัดแย้งชะลอตัวไปชั่วคราว ทุกคนหันมาทำงาน แต่พอสถานการณ์ดีขึ้นประกอบกับความขัดแย้งที่ยังดำรงอยู่ตลอด และมีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นุกูลมองว่าไม่มีความจำเป็นที่จะอยู่ต่อ

อย่างไรก็ตามถ้ามองไปที่ตัวนุกูลจะเห็นว่าสไตล์การทำงานของเขาสมัยรับราชการที่แข็งกร้าว ไม่แคร์ยังคงดำรงอยู่แม้ว่าจะมาอยู่ในธุรกิจเอกชนแล้วก็ตาม ว่ากันว่าแม้แต่งานที่สยามกลการส่งรถนิสสันไปขายบรูไน ซึ่งเชิญประมวล สภาวสุ รัฐมนตรีอุตสาหกรรมมาเปิดงาน นุกูลไม่ได้เอาใจใส่ออกไปต้อนรับยังนั่งอยู่ในที่ของตนเองอย่างไม่สนใจ อันนี้เป็นเครื่องชี้บอกเหมือนกันว่าเขายังไม่ปรับตัวเข้ากับคนและสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ดูเหมือนทุกคนจะต้องเป็นฝ่ายปรับตัวเข้ากับเขาเสียมากกว่า

ซึ่งตรงนี้เขาต่างจาก ดร. อำนวย วีรวรรณ ซึ่งเคยประสบชะตากรรมคล้ายกันในเรื่องที่ถูกปลดจากตำแหน่งปลัดกระทรวงกลางอากาศเช่นกัน แต่ ดร. อำนวยได้เปรียบตรงเขาถูกปลดก่อนนานกว่า เขาเคยเป็นประธานสหยูเนียนกรุ๊ป เป็นรัฐมนตรี ก่อนที่จะมาเป็นประธานแบงก์กรุงเทพ ดร. อำนวยเป็นคนอ่อนนอกแข็งใน และเป็นคน COMPROMISE มาก ๆ ที่สำคัญคือเขาเล่นการเมืองเป็น ทุกวันนี้ ดร. อำนวยจึงอยู่ในแบงก์กรุงเทพได้อย่างสบาย ๆ ทั้ง ๆ ที่วิกฤติการณ์ความขัดแย้งมาหลายครั้งหลายหน

นุกูลที่สยามกลการยังเป็นคนหยิ่งยโสทระนงในตนเองและเลือกที่จะทำงานในสไตล์ของตัวเอง เป็นคนที่ยังทั้งแข็งนอกและใน ซึ่งในที่สุดก็หักอีกครั้งหนึ่งที่สยามกลการ

หลายคนกล่าวว่าสไตล์การทำงานของเขาไม่เหมาะกับองค์กรไหนในสังคมไทยที่มีวัฒนธรรมประนีประนอม เขาน่าจะเหมาะกับงานแบบที่ธนาคารโลก หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เพราะเขาจะได้โชว์ฝีมือในการทำงานของเขาได้เต็มที่

อนาคตของคนเก่งอย่างนุกูลนั้นว่าไปแล้วเขายังน่าจะไปได้อีกไกลด้วยวัยเพียง 59 ปี แต่จะมีงานอะไรที่เหมาะกับศักยภาพแบบเขา เป็นสิ่งที่เขาจะต้องคิดต่อไปอย่างรอบคอบ บางคนบอกว่าเขาพลาดที่ตัดสินใจผิดในการเข้ามาร่วมงานกับตระกูลที่มีปัญหาโดยตัวของตัวเองค่อนข้างมาก และต้องเดินจากไปอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

แม้แต่เพื่อนสนิทเขา เกษม จาติกวณิช เจ้าของฉายาซูเปอร์เคยังบอกว่า "นุกูลเป็นคนเก่ง แต่โชคร้าย" "ผู้จัดการ" เดาว่าคงจะโชคร้ายที่ลงเรือผิดลำ ซึ่งความจริงชะตากรรมของคนคู่นี้ก็มีส่วนคล้ายคลึงกันอยู่มาก



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.