ทรง บุลสุข วันนี้เขาอายุ 78 ปี
ทรงกับบทบาทที่ผ่านมาไม่เกินคำคุยที่จะยกย่องเขาว่า เป็นตำนานร่วมสมัยของเป๊ปซี่อีกบทหนึ่ง
ปัจฉิมวัยของชายชราที่ไต่ภูเขาสูงอย่างทระนงองอาจ ผ่านอุปสรรคความยากลำบากแทบเลือดตาแทบกระเด็นมานับครั้งไม่ถ้วนอย่างเขานั้น
อนาคตของพรุ่งนี้และตลอดไปเขาย่อมปรารถนาที่จะเห็นความสำเร็จทั้งมวลดำรงสถานะยิ่งยงอย่างไม่เปลี่ยนแปร
ทรงเป็นลูกชายคนที่สองของเจ้าสัวโล่เต็กชวน เจ้าของโรงสีล่งเฮงจั่น ฮั่วเฮงจั่น
ลี่เฮงจั่น ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของไทยในอดีต ฐานะครอบครัวที่ดีมากทำให้ทรงมีโอกาสได้เรียนถึงชั้นปริญญาโดยจบวิศวกรรมไฟฟ้า
จากมหาวิทยาลัยฮ่องกง
ย้อนกลับไปเมื่อ 40 ปีก่อนหลังจากที่จบจากฮ่องกงมาหมาด ๆ เตี่ยของทรงซึ่งเป็น
1 ในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทเสริมสุข จำกัดผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำอัดลม
"เป๊ปซี่" ก็ผลักดันให้ทรงเข้าไปรับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของบริษัทในปี
2502
ดูถึงความเป็นหนุ่มกระทงที่ยังค่อนข้างขาดแคลนประสบการณ์กับภาระหน้าที่อันหนักหน่วง
มันช่างเป็นเรื่องสาหัสสากรรจ์ของทรงเสียนี่กระไร? ครั้งนั้นความสำเร็จสูงสุดในชีวิตของเขาอาจะเป็นเพียงภาพวาดที่สวยหรูในจินตนาการเท่านั้นเอง!!!!
ก็อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาคนไทยมักคุ้นลิ้นกับการดื่มเครื่องดื่มพื้น
ๆ เช่น โอเลี้ยง สำหรับเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลและสารบางอย่างเช่น "เป๊ปซี่"
ดูจะเป็นของใหม่ที่ "ต้องห้าม" ในความรู้สึก" ดังนั้นการที่เสริมสุขจะแหวกม่านพฤติกรรมการบริโภคจึงยากเย็นเสียยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา
เป๊ปซี่และเสริมสุขเมื่อ 30-40 ปีที่ผ่านมาจึงเริ่มต้นจากศูนย์กันจริง
ๆ !!!
เป็นการเริ่มต้นที่ไม่อาจคาดเดาอนาคตได้เลยว่าจะมีชะตากรรมออกมาในรูปใด
???
ในปี 2496 ยม ตัณฑเศรษฐี เจ้าสัวคนหนึ่งของไทยที่เป็นนายแบงก์ของธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การอยู่ด้วย
ได้รับการติดต่อจากเอเย่นต์ของเป๊ปซี่ในสิงคโปร์ว่า ควรที่จะมีการลงทุนผลิตน้ำอัดลมดื่มขายในเมืองไทยซึ่งมีทางเป็นไปได้สูงว่าจะเฟื่องฟูเพราะแม้แต่สิงคโปร์ที่เป็นเกาะเล็ก
ๆ ยังไปได้ฉิว
ยมคล้อยตามในความคิดนี้จึงชักชวนเพื่อนสนิทหลายคนรวมทั้งเจ้าสัวโล่เต็กชวนให้ร่วมลงทุน
โดยจัดตั้งบริษัทเสริมสุขจำกัด ขึ้นมาในปีเดียวกันนั้นเอง
เริ่มแรกของการจัดตั้งมีทุนจดทะเบียนเพียง 8 ล้านบาท และมีโรงงานแห่งแรกอยู่ตรงศาลาแดง
สีลม ในที่ดิน 4 ไร่เศษ
18 มีนาคม 2496 เป๊ปซี่ขวดแรกได้ฤกษ์ออกสู่ตลาด ในปีแรกของการทักทายผู้บริโภคโรงงานที่สีลมผลิตเป๊ปซี่ได้เพียง
600,000 ลัง/ปีเท่านั้น ลูกค้าหลักในระยะเริ่มแรกวางน้ำหนักไปในวงผู้คนสังคมชั้นสูง
ยังไม่กระจายเซ็กเมนท์มากมายอะไร
ยุทธศาสตร์ทางการตลาดของเป๊ปซี่แรก ๆ คงไม่แตกต่างจากสินค้าอื่น ๆ คือคับแคบไม่ค่อยมีอะไรหวือหวากระทั่งพบบทสรุปใหม่ที่ว่า
สินค้าจะไปได้ดีจะต้องรุกรบทางโฆษณาอย่างเต็มรูปแบบ และแล้วเป๊ปซี่ก็เป็นสินค้าตัวแรกที่โดดเด่นขึ้นมาด้วยการใช้สื่อเพลงโฆษณาทางโทรทัศน์
ภายใต้คำขวัญที่ว่า "บิ๊กวัน" บวกกับความร้อนแรงของเสียงเพลงในภาพยนตร์โฆษณาควบคู่ไปกับสโลแกนสั้น
ๆ ที่เจาะลึกถึงขั้วหัวใจว่า "เป๊ปซี่ดีที่สุด" ซึ่งคิดค้นขึ้นมาโดยธานี
นพจินดา อดีตผู้อำนวยการฝ่ายการเงินทำให้เป๊ปซี่สามารถทะลุทะลวงตลาดได้อย่างสง่าผ่าเผย
ความแข็งแกร่งที่เกิดจากเสียงเพลงโฆษณากลายเป็น "อาวุธหลัก"
ตายตัวของเป๊ปซี่มาจนถึงปัจจุบันทั้งนี้เปลี่ยนแปลงตัวศิลปินไปตามยุคสมัย
อย่างเช่นความเป็นเป๊ปซี่ในวันนี้ที่เน้นกลุ่มเป้าหมายมายังคนรุ่นใหม่ในวัยหนุ่มสาวก็ดึงเอาสองยอดนักร้องระบือโลกอย่างทีน่า
เทอร์เนอร์และไมเคิล แจ๊คสัน มาเป็นจุดโปรโมท
23 ตุลาคม 2510 เสริมสุขก็ขยายโรงงานแห่งที่สองไปตั้งที่บางเขน ในที่ดิน
15 ไร่ มีกำลังผลิต 55,000 ลัง/วัน การขยายตัวเที่ยวนี้เท่ากับเป็นการประกาศให้รู้กันแจ่มชัดว่า
"ณ บัดนี้เครื่องดื่มเป๊ปซี่ได้เข้ากุมตลาดเมืองไทยได้เรียบร้อยแล้ว
อัตราส่วนของตลาดเมื่อเทียบกับคู่แข่งขันห่างกันมากถึง 9/1"
ถ้าจะพิเคราะห์ถึงความสำเร็จอันน่าชื่นชมทั้งมวล นอกจากจะมีผลโดยตรงจากตัวสินค้าที่ได้คุณภาพจนเป็นที่ยอมรับทั่วทุกวงการแล้วนั้น
อีกด้านหนึ่งคงเป็นผลมาจากการทำงานที่หนักหน่วงเอาจริงเอาจัง และเปี่ยมไปด้วยความมีอัจฉริยภาพของทรงกับทีมงานทุกระดับของเสริมสุขเป็นสำคัญอีกด้วย
เป๊ปซี่ในห้วงเวลาดังกล่าว แม้จะพูดได้ว่าเป็นบริษัทที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยมทว่าก็ใจถึงพอที่จะกล้าลงทุนในสิ่งใหม่
ๆ ตามสถานการณ์ใหม่ ๆ เสมอ
ที่เห็นได้ชัดมากคือ หนึ่ง-การขยายโรงงานไปยังภูมิภาค 2 แห่งคือในปี 2514
ที่ จ. นครสวรรค์การขยายตัวครั้งนี้เพื่อรองรับบรรดาทหาร จี. ไอ. ทั้งหลายที่เข้ามาอยู่ในฐานทัพทั้งสองแห่งในสองจังหวัด
ภาพที่พบเห็นในขณะนั้นตามบาร์ต่าง ๆ คือภาพทหาร จี. ไอ. นั่งดวดเป๊ปซี่อย่างเบิกบาน
สอง-การทุ่มทุน 400 ล้านบาทเพื่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในเขต
จ. ปทุมธานี การตัดสินใจลงทุนเที่ยวนี้ใครๆ บอกว่า "ทรงบ้าบิ่นเกินไป"
เพราะเหตุการณ์ในขณะนั้นสงครามอินโดจีนกำลังระอุและบรรดานักลงทุนต่าง ๆ พากันคิดว่าไทยจะเป็นโดมิโนอีกตัวหนึ่ง
"แล้วคุณจะให้พวกเราไปลงทุนที่ไหนล่ะถ้าไม่ใช่ในเมืองไทย" ทรงเคยบอกไว้อย่างนั้น
แต่ความรุ่งเรืองในตลาดของเป๊ปซี่ที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ทรงตัดสินใจผิดหรือเปล่า
กระทั่งทุกคนดูเหมือนจะเปลี่ยนแนวความคิดใหม่กันเสียแล้วว่าด้วยพื้นฐานที่หนักแน่นมั่นคงเยี่ยงฉะนี้
คงทำให้เสริมสุข-เป๊ปซี่เป็นหนึ่งตลอดกาล!!!
ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น ถ้าคู่แข่งของเสริมสุข-เป๊ปซี่ จะไม่ใช่ไทยน้ำทิพย์-โค้ก!!!
ไทยน้ำทิพย์ของตระกูล "สารสิน" ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำอัดลม "โค้ก"
ซึ่งพบกับความเจ็บช้ำน้ำใจมาโดยตลอดกับการที่ไม่สามารถขย่มบัลลังก์เป๊ปซี่-เสริมสุข
ลงได้นั้น ภายหลังที่มีการเปลี่ยนแปลงขุมกำลังใหม่ให้คนรุ่นหนุ่ม ๆ อย่างคริส
สารสิน ขึ้นมารับผิดชอบโดยมีโคคา-โคล่าอิมปอร์ต เอกซ์ปอร์ต คอยหนุนเสริมช่วยอย่างแข็งขัน
ปรากฏว่าสภาพการณ์ของ "โค้ก" พลิกผันไปในทางที่ดีอย่างมาก
ไทยน้ำทิพย์-โค้ก ลุยรบทุกรูปแบบกลายเป็นสงครามน้ำดำที่ต้องตามห้ำหั่นกันชนิดถึงพริกถึงขิง
อัตราส่วนทางตลาดที่เคยห่างกันถึง 9/1 เริ่มขยับขึ้นเป็น 7/3 6/4 และนับวันเกณฑ์เฉลี่ยยิ่งเฉียดฉิว
5/5 อยู่มะรอมมะร่อ
เสริมสุข-เป๊ปซี่ ถึงวันนี้เพียงให้ได้เหลียวมองตัวเลขก็เสียวสันหลังวูบ
!!!!
ทรง บุลสุข อัจฉริยบุคคลของเสริมสุข-เป๊ปซี่ จริง ๆ แล้วเขาอาจไม่สุขใจอย่างที่ควรจะเป็นไปเสียแล้วก็ได้
???
สงครามน้ำดำที่ก่อเค้าทะมึนเห็นทีจะเขม็งเกลียวจนยากที่จะเลิกราง่าย ๆ
เพราะไทยน้ำทิพย์และโคคา โคล่า อิมปอร์ต เอกซ์ปอร์ต ล่าสุดได้เสริมกำลังรบคนหนุ่มรุ่นใหม่อีกวาระหนึ่งแล้วเมื่อเร็ว
ๆ นี้
ก็คงเหมือนอย่างที่โรเจอร์เอ็นริโก รองประธานเป๊ปซี่โคเขียนเอาไว้นั่นแหละว่า
"แค่กระพริบเดียวก็โดนอัด" โดยเฉพาะงานนี้เป๊ปซี่-เสริมสุข ที่รั้งความเป็นหนึ่งมานานในตลาดเมืองไทยไม่มีสิทธิที่จะเผลอไผลได้เลยแม้เสี้ยวนาที
!!!
18 มีนาคม 2531 เสริมสุข ผ่านหลักอายุมาครบ 35 ปีงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ณ
สวนริมน้ำเจ้าพระยา โรงแรมรอยัล ออคิดเชอราตัน ถูกจัดขึ้นอย่างมโหฬารทั้งการแสดงและอุปกรณ์ที่มีส่วนผลักดันความเป็นหนึ่งให้บริษัทถูกนำมาย้อนรำลึกอดีตอันอบอวลหวานชื่นอีกหน
เป๊ปซี่เริ่มต้นกัน ณ จุดที่ใกล้เคียงกับสถานที่จัดงาน
โรงงานแห่งแรก ยังตรึงอยู่ในความทรงจำของพนักงานรุ่นเก่า ๆ อย่างเชิดพันธ์
บุลสุขและทายาทคนสำคัญของทรงเช่นสมชาย บุลสุข
แสงเดือนแสงดาวที่สาดส่องกระทบลำน้ำเจ้าพระยาจนส่องประกายระยิบระยับ คงเสมือนหนึ่งไฟ
ความหวังที่แจ่มจรัสที่ถูกจุดให้คุโชนขึ้นมาในหัวใจของคนเป๊ปซี่-เสริมสุข
ทั้งหลาย เขาคงคาดหวังเช่นเดียวกับอดีตผู้นำอย่างทรงที่บอกว่า
เสริมสุข-เป๊ปซี่ จะต้องเป็นหนึ่งตลอดไป !!!