เยเนอรัลฮอสปิตอลโปรดักส์ อีกบทเรียนหนึ่งการร่วมทุนกับต่างชาติที่จบลงด้วยการแยกทางกัน!!


นิตยสารผู้จัดการ( เมษายน 2530)



กลับสู่หน้าหลัก

มิใช่ครั้งแรกที่องค์การเภสัชกรรม ร่วมทุนกับบริษัทยาต่างประเทศตั้งโรงงานผลิตยา!

ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2513 ตั้งโรงงานซึ่งอยู่ด้านหลังสำนักงานองค์การเภสัชกรรม ถนนพระราม 6 ซึ่งผลิตน้ำเกลือ และยาฉีดเข้าเส้นซึ่งเรียกกันตามภาษาแพทย์ว่า GENERAL HOSPITAL SOLUTION อันเป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญพอประมาณที่ออกหน้าสู้กับบริษัทเอกชนที่ผลิตผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอยู่ในตลาด

อาจจะเป็นเพราะผู้ร่วมทุนต่างประเทศนั้นคือ ABBOTT LABORATORIES แห่งอิลลินอยส์ ได้ตกลงปลงใจถือหุ้นกึ่งหนึ่งโดยองค์การเภสัชกรรมเองยอมให้ใช้ชื่อ บริษัทแอบบอทท์ ฟาร์มาด้วยซ้ำ

บริษัทแอบบอทท์ ฟาร์มา จำกัด มีทุนจดทะเบียนเพียง 4.8 ล้านบาท ตั้งแต่เริ่มแรก จวบจนทุกวันนี้

กิจการราบรื่นและราบเรียบมาตลอด จนถึงปี 2520 เค้าของความยุ่งยากจึงก่อรูปลาง ๆ ขึ้น

ฝ่ายแอบบอทท์มองว่าแม้กิจการจะมีกำไร แต่ความสามารถในการทำกำไรไม่มาก ซึ่งก็พุ่งเป้ามาที่กรรมการผู้จัดการ-ศิลป์ อินทรวิศิษฐ์ ประเด็นนี้ถูกเพ็งเล็งมากเป็นพิเศษเมื่อบริษัทขยายกิจการในปี 2519 ด้วยการลงทุน 5 ล้านบาท ซื้ออุปกรณ์ทันสมัยเข้ามาใช้แล้วก็ยังไม่ดีขึ้นอย่างใจนึก

ปี 2520 แอบบอทท์ ฟาร์มามีกำไร ประมาณ 6.5 ล้านบาทในขณะยอดขายประมาณ 33 ล้านบาท จ่ายเงินปันผลไป 3.4 ล้านบาท หรือ 704 บาท/หุ้น พนักงานบริษัทได้รับโบนัสกันทั่วหน้าคนละ 1 เดือน ตั้งแต่เริ่มกิจการ แต่ศิลป์ อินทรวิศิษฐ์ กรรมการผู้จัดการไม่เคยได้รับโบนัสเลย

"ความจริงคุณศิลป์ เป็นกรรมการผู้จัดการและถือหุ้นฝ่ายแอบบอทท์ แต่การทำงานค่อนข้างจะเข้ากับฝ่ายองค์การเภสัชฯ ดีกว่า" คนเก่าคนแก่องค์การเภสัชกรรมเล่า

ในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2521 ตัวแทนฝ่ายองค์การเภสัชกรรม อดรนทนไม่ไหว จึงเสนอในที่ประชุมให้จ่ายโบนัส กรรมการผู้จัดการ แต่ฝ่ายแอบบอทท์ ก็ไม่ตกลงอ้างว่าต้องเสนอเรื่องสำนักงานใหญ่ในสหรัฐอเมริกาอนุมัติ

ในปีเดียวกันนั้นเอง กิจการของแอบบอทท์ ฟาร์มาก็ต้องเผชิญการแข่งขันทางการค้าอย่างเข้มข้นครั้งแรก บริษัทโอซูก้า ของญี่ปุ่นและบอร์เนียว ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาด ขายในราคาต่ำกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำเกลืออันเป็นผลิตภัณฑ์หลักของแอบบอทท์ฟาร์มา นอกจากนี้คู่แข่งทั้งสองใช้ภาชนะพลาสติกซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของตลาดด้วย ยิ่งไปกว่านั้นน้ำเกลือของแอบบอทท์ ซึ่งบรรจุขวด บริษัทญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้จัดหาขวดได้ขอขึ้นราคาอีก 10% ด้วย

อยู่ต่อมาเพียงปีเดียว ศิลป์ อินทรวิศิษฐ์ จึงตัดสินใจลาออก

ซอร์ ไวก็เข้ารับตำแหน่งแทน เขาเป็นชาวพม่าทำงานด้านการตลาดบริษัทต่างประเทศมาตลอด จนถูกชักชวนมาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของบริษัทแอบบอทท์ ลาบอราตอรี่ส์ประเทศไทยอีก 8 เดือนต่อมาเขาได้เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทนั้น จนรวมมาถึงกรรมการผู้จัดการแอบบอทท์ ฟาร์มาด้วย

เขามีอำนาจในบริษัทมากทีเดียว สามารถลงลายมือชื่อผูกพันบริษัทแต่เพียงผู้เดียว

การบริหารงานของชอร์ ไว สามารถลดแรงกดดันของฝ่ายแอบบอทท์ได้ดีทีเดียว แม้ว่าผลกำไรของบริษัทจะไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างทันทีทันใด และดูเหมือนจะไม่เพิ่มขึ้นง่ายๆ ด้วย ไม่เพียงธุรกิจนี้มีการแข่งขันมากขึ้นเท่านั้น สถานการณ์ทางเศรษฐกิจก็ซ้ำเติมด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2523 รัฐบาลได้ประกาศขึ้นราคาน้ำมันถึง 40% อันเป็นผลให้ราคาสินค้าทะยานขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ค่าแรงของพนักงานต้องมีการปรับ รวมความแล้วบริษัทแอบบอทท์ ฟาร์มามีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูงขึ้นอย่างมาก แม้ยอดจะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% ต่อปี แต่กำไรมิได้เพิ่มตาม

ชอร์ ไวเคยพยายามเสนอให้บริษัทแอบบอทท์ ฟาร์มา เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของแอบบอทท์ ลาบอราตอรี่ส์ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มขึ้น ก็ถูกผู้ถือหุ้นคัดค้าน โดยเฉพาะศิลป์ อินทรวิศิษฐ์กรรมการผู้จัดการคนเดิม แต่เข้าร่วมประชุมในฐานะผู้ถือหุ้น โดยอ้างว่าต้องขออนุญาตจากองค์การเภสัชกรรมก่อน ซึ่งปัญหาจะยาวไกลไปถึงการตัดสินใจใน ครม. โน้น ชอร์ ไวจึงถอนเรื่องกลับมา

หลังจากนั้นไม่นาน แอบบอทท์ แลบที่อิลลินอยส์ มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้บริหาร มูเนีย เช็ค ชาวปากีสถานเข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการภาคพื้นเอเชียอาคเนย์แอบบอทท์ฯ ซึ่งรับผิดชอบกิจการในประเทศไทย

"ผมทำงานเข้ากับเขาไม่ได้ อีกทั้งเขาเห็นว่ากิจการในประเทศไทยไปได้ยาก เพราะตลาดสินค้าแคบ เห็นว่าไม่มีอนาคตเขาจึงพยายามถอนตัว" ชอร์ ไว รื้อฟื้นเหตุผลในการลาออกจากแอบบอทท์ฟาร์มาในเวลาต่อมากับ "ผู้จัดการ" ซึ่งพุ่งเป้าไปที่ความขัดแย้งระหว่างเขากับเจ้านายคนใหม่

ชอร์ ไว มีโอกาสได้นั่งในบอร์ดร่วมกับนายแพทย์ยงยุทธ สัจจวาณิชย์ 1 ปี จึงได้ลาออกไปในที่ประชุมใหญ่เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2526 เขาได้แจ้งการลาออกในที่ประชุม หมอยงยุทธสนใจเป็นพิเศษ ถึงขั้นขอให้ชี้แจงให้ผู้ถือหุ้นทราบเหตุผลด้วย (นพ. ยงยุทธ เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการ เพราะเข้ามาเป็นผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม)

"เนื่องจากเมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา บริษัทแอบบอทท์ ลาบอราตอรี่ส์ สหรัฐอเมริกาได้เปลี่ยนผู้บริหารชุดใหม่ ซึ่งความเห็นไม่ตรงกัน ถ้าหากยังทำงานอยู่ก็ไม่สามารถบริหารงานได้ดี ประกอบกับแรงผลักดันจากประสบการณ์ที่ทำงานกับบริษัทต่างประเทศจนถึงปัจจุบัน เกือบ 10 ปีแล้ว เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะมีกิจการของตนเอง จึงออกไปตั้งบริษัทที่ปรึกษาทางด้านการตลาด" ชอร์ ไว ชี้แจงในที่ประชุมก่อนเขาจะโบกมือลาจากไปอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2526

ฝรั่งจากแอบบอทท์ ลาบอราตอรี่ส์ ประเทศไทยอีกคนหนึ่งจึงเข้าดำรงตำแหน่งแทน

จุดนี้เป็น "หัวเลี้ยวหัวต่อ" ของการร่วมทุนระหว่างองค์การเภสัชกรรม กับแอบบอทท์ ลาบอราตอรี่ส์ ที่ผ่านกรรมการผู้จัดการทั้งสองคน (ศิลป์ และ ชอร์ ไว) ล้วนเข้าใจตลาดประเทศไทย ชอร์ ไว แม้จะเป็นพม่าแต่ก็พูดภาษาไทยได้บ้าง และอยู่เมืองไทยมานาน

ในการเข้ารับตำแหน่งของฝรั่งคนนั้น กรรมการฝ่ายองค์เภสัชกรรมวิตกกังวลหลายประการ หนึ่งเกรงว่าจะขึ้นราคาสินค้าเดือดร้อนไปทั่ว สอง "ถ้าเป็นไปได้ทางฝ่ายองค์การเภสัชกรรมอยากจะขอให้จัดพนักงานระดับบริหารผู้มีสัญชาติไทย ทำหน้าที่ติดต่อประสานงานระหว่างแอบบอทท์และองค์การเภสัชกรรม เชื่อว่าคงอำนวยความสะดวกและให้คุณประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ทั้งเป็นนโยบายชัดแจ้งในสัญญาการลงทุนร่วมกันอีกด้วย" กรรมการฝ่ายองค์การเภสัชกรรมกล่าวในการประชุมวันรับตำแหน่งของฝรั่งเป็นนัยของรอยร้าวในเวลาต่อมา

เกือบ ๆ สิ้นปี 2526 ที่ดูแนวโน้มบริษัทจะขาดทุน แอบบอทท์ฯแห่งสหรัฐจึงตัดสินใจเจรจาขายหุ้นให้องค์การเภสัชกรรม องค์การเภสัชกรรมเห็นว่าเกินกำลังจะรับได้ ประกอบแนวความคิดของ นพ. ยงยุทธ สัจจวาณิชย์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมยาในประเทศไทยชัดเจนอยู่แล้ว คือการให้เอกชนมีส่วนร่วมมากที่สุด ในที่สุดก็ขายให้บริษัทเอกชนคนไทยต่อไป

พร้อม ๆ กับการกลับมาของศิลป์ อินทรวิศิษฐ์ ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ อีกครั้งหนึ่ง

และเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2527 บริษัทได้เปลี่ยนชื่อเป็น เยเนอรัลฮอสปิตัล โปรดักส์

เป็นที่แปลกใจกันพอประมาณ เมื่อแอบบอทท์ฯ จากไปแล้วบริษัทใหม่ที่ตั้งขึ้นกลับดำเนินการไปอย่างราบรื่น สิ้นปี 2527 กำไรเป็น 3.8 ล้านบาทแม้ว่ายอดขายจะต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา พอมาปี 2528 ยอดขายเพิ่มพรวดมาเป็น 60 ล้านบาท กำไรเพิ่มขึ้นเป็น 10.4 ล้านบาทอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

"เราเพิ่มสินค้ามากขึ้น ทั้งการบริหารก็คล่องตัว ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงไม่เหมือนฝรั่ง" นพ. ยงยุทธ สัจจวาณิชย์ สรุปกับ "ผู้จัดการ"

ซึ่งหากจะย้อนกลับไปเมื่อร่วมทุนกับฝรั่งแล้ว กรรมการคนหนึ่งย้ำว่า ผู้ถือหุ้นฝ่ายองค์การเภสัชกรรมจะถูกฝ่ายแอบบอทท์ต่อว่าเสมอ ๆ ที่ไม่ยอมช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง ครั้นเมื่อแอบบอทท์ทิ้งเรือไปแล้ว องค์การเภสัชกรรม สมัย นพ. ยงยุทธ์ สัจจวาณิชย์ได้ให้ความสนใจช่วยเหลือด้วยดี

บทเรียนครั้งนั้นคงช่วยให้ร่วมมือกับยูไนเต็ดแลป แห่งฟิลิปปินส์ในยูพีเอ ได้ดีขึ้น ผู้เกี่ยวข้องก็หวังกันเช่นนั้น!



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.