จิรศักดิ์ คณาสวัสดิ์ จะศรัทธาในพุทธศาสนามากน้อยเพียงใดย่อมไม่อาจรู้ได้
แต่การที่ยอมตัดใจถวายวิทยาลัยคณาสวัสดิ์ ซึ่งปั้นมากับมือจนเกิดเรื่องราวฉาวโฉ่ให้กับพระสงฆ์องค์เจ้าอย่างสำนักจิตตภาวันของท่านกิตติวุฑโฒภิกขุเป็นผู้ดูแลต่อไปนั้น
เห็นทีต้องยอมรับกันว่า จิรศักดิ์เป็นอีกคนหนึ่งที่ฉลาดปราดเปรื่องสามารถเข้าใจคำสั่งสอนของพุทธองค์ได้อย่างลึกซึ้ง!
จิรศักดิ์ประจักษ์ความเป็นจริงตามภารสุตตคาถาที่กล่าวว่า "ขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนัก
บุคคลนั่นแหละเป็นผู้แบกของหนักพาไป การแบกของหนักเป็นความทุกข์ การสลัดของหนักทิ้งลงเสียย่อมเป็นความสุข"
ก็ในเมื่อปัญหาของคณาสวัสดิ์เป็นของหนัก เป็นภูเขาหนักอึ้งที่ต้องแบกไว้ในอก
!
ดังนั้นเมื่อพบทางออกสักทางหนึ่ง ทำไมจะต้องแบกต่อไปอีกเล่า?
และถ้ามองให้ดียุทธวิธีเกาะชายผ้าเหลือไปสู่นิพพานครั้งนี้ นอกจากจะได้ผลบุญก้อนใหญ่ไปชำระบาปที่แปดเปื้อนซึ่งกำลังรอการพิสูจน์อยู่ให้คนทั่วไปมองด้วยสายตาที่ดีขึ้นแล้ว
ในแง่ของการเดินหมากธุรกิจคงไม่ผิดนักที่จะบอกว่า จิรศักดิ์เก่งที่เข้าใจเลือกคนมาร่วมเล่นเกมส์
คงไม่มีใครปฏิเสธว่าสำนักจิตตภาวันและท่านกิตติวุฑโฒภิกขุเป็นผู้มีอำนาจบารมีทั้งสายทหาร
สายการเมือง หรือแม้แต่สายธุรกิจสูงคนหนึ่ง บรรดาพุทธศาสนิกชนที่เป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ทั้งสิ้น
(สำนักจิตตภาวันอยู่ภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิธรรมธาตุ)
ตัวท่านกิตติวุฑโฒภิกขุเองก็กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า "ถึงไม่รู้จักกันมาก่อน
อาตมาเชื่อว่าในความเป็นคนดีของเขาที่กล้าสาบานให้ฟ้าดินลงโทษหากคิดฉ้อโกงคณาสวัสดิ์
เมื่อเขาเป็นคนดีและเดือดร้อนถูกกลั่นแกล้งอาตมาย่อมจะไม่ทอดทิ้งเขาแน่นอน"
"อาตมาไม่แคร์ว่าแบงก์หรือไทยสมุทรจะมายึดที่ซึ่งติดจำนอง ยึดก็ยึดไปอาตมาเนรมิตใหม่ให้สวยกว่าเดิมได้สบาย
ๆ มูลนิธิฯมีหลักทรัพย์เป็นพัน ๆ ล้านบาทคนช่วยเหลือก็ฐานะดี ๆ ทั้งนั้น
อาตมาบอกคุณจิรศักดิ์ว่าสบายใจได้อาตมาไม่ทิ้งแน่ สำหรับแบงก์ทหารไทยคงไม่กล้าทำเรื่องนี้
พล.อ. ชวลิตรู้ต้องช่วยเหลืออาตมา" ท่านกิตติวุฑโฒกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ
ประเด็นที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ การเข้าไปเทคโอเวอร์ของมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุได้ผ่านการกลั่นกรองอย่างเป็นขั้นตอนพอควร
โดยอาศัยคนกลาง (ฤทธิ์รงค์ ปานรักษา ผู้พิพากษาอาวุโส ศาลอาญา) เป็นผู้ประสานงาน
คนผู้นี้นอกจากเป็นเพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกับท่านกิตติวุฑโฒภิกขุแล้ว ยังเป็นคนที่
พล.อ. เปรม ให้ความเชื่อถือมากคนหนึ่ง โดยเคยร่วมงานจิตวิทยาการเมืองปราบปรามคมอมิวนิสต์มาด้วยกันสมัยที่
พล.อ. เปรม เป็นแม่ทัพกองทัพภาคที่ 2 และฤทธิ์รงค์เป็นหัวหน้าศาล จ. นครราชสีมา
นอกจากนี้โดยส่วนตัวฤทธิ์รงค์กับจิรศักดิ์ต่างก็คุ้นเคยให้การช่วยเหลือกันมาตลอด
นับตั้งแต่สมัยที่ฤทธิ์รงค์ยังคงเป็นหัวหน้าศาลอยู่ที่ จ. มหาสารคาม เมื่อคณาสวัสดิ์ประสบปัญหาฤทธิ์รงค์จึงได้รับไฟเขียวจากผู้ใหญ่ให้การสนับสนุนอย่างแข่งขันเพราะถ้าคณาสวัสดิ์ล้มลง
คนที่เสียหน้าไม่น้อยกว่าใครก็คือ พล. อ. เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี
คนที่เคยได้รับปริญญาดุษฎีกิติมศักดิ์ จากวิทยาลัยแห่งนี้มาแล้วนั่นเอง !!!!
ส่วนเหตุที่ต้องดึงมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุเข้าไปผูกพันอาจเป็นเพราะเดิมทีมูลนิธิฯ
มีความประสงค์จะขอจัดตั้งวิทยาลัยเอกชนขึ้นที่สำนักจิตตภาวัน อ. บางละมุง
จ. ชลบุรี โดยได้ยื่นเรื่องต่อทบวงมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปี 2525 แต่เรื่องยังไม่ผ่านจนมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อต้นปีนี้
ดังนั้นในระหว่างรออนุมัติหากได้วิทยาลัยคณาสวัสดิ์มาอยู่ในมือย่อมจะเป็นการสร้างแรงกดดันต่อทบวงฯ
ให้อนุญาตได้ง่ายขึ้น
ซึ่งถ้าทุกอย่างไม่ผิดล็อค มูลนิธิฯ จะกลายเป็นเจ้าของกิจการวิทยาลัยถึง
2 แห่งในเวลาไล่เลี่ยกันก่อนที่จะกรุยทางขอจัดตั้งเป็นมหาวิทยาลัยให้ได้ภายในอนาคตข้างหน้าอีกไม่เกิน
2 ปี !!!
ถึงแม้มูลนิธิฯ จะเป็นเจ้าของวิทยาลัย 2 แห่ง แต่เราจะไม่ทำการค้ากำไรเด็ดขาด
เพราะศาสนาไม่สอนให้คิดขูดรีด เราต้องการผลิตบัณฑิตให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม
ที่คณาสวัสดิ์จะมีการสร้างโบสถ์ขนาดใหญ่เช่นที่จิตตภาวันในนักศึกษาและอาจารย์ได้สมาทานศีลกันด้วย"
แหล่งข่าวในมูลนิธิฯ กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
สำหรับแผนงานปรับปรุงวิทยาลัยคณาสวัสดิ์ ท่านกิตติวุฑโฒภิกขุกล่าวกับ "ผู้จัดการ"
ว่าด้านวิชาการจะติดต่อขอความช่วยเหลือไปยังมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ มหาวิทยาลัยแอมบาสซาเดอร์
และที่ฮาวาร์ดให้เข้ามาวางแผนร่วมกับทีมงานวิชาการของวิทยาลัยฯ ซึ่งเนื้อหาจะเน้นหนักไปที่ด้านเกษตรกรรมกับวิทยาศาสตร์
"อาตมาตั้งใจไว้ว่าจะใช้คณะเกษตรกรรมและวิทยาศาสตร์เป็นหัวหอกพลิกอีสานให้เป็นแผ่นดินสีเขียวให้ได้ภายใน
3 ปี คนอย่างอาตมาเมื่อทำแล้วต้องทำให้สำเร็จ ถ้ารัฐบาลไม่อิจฉาตาร้อนอาตมาจะทำให้ดู
เรื่องทุนไม่ต้องเป็นห่วงอาตมามีวิธีต่อเงินจากหนึ่งเป็นร้อยเป็นพันบัณฑิตของอาตมาทุกคนจะไม่เป็นคนว่างงาน"
จากการสังเกตของ "ผู้จัดการ" พบว่าภายในสำนักงานจิตตภาวันนอกจากโครงการโรงสีช่วยเหลือชาวนาที่กำลังลือลั่นอยู่ในเวลานี้แล้วนั้น
ส่วนหนึ่งยังมีการจัดตั้งโรงงานผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคขึ้นอีก โดยทำการผลิตสบู่แชมพูสระผม
และแป้งน้ำหอมขึ้นมาบ้างแล้วซึ่งจะมีการวางตลาดสินค้าเหล่านี้อย่างจริงจังในอนาคตอันใกล้
และทางมูลนิธิฯ กับสำนักจิตตภาวันยังได้รับการช่วยเหลือจาก โรงงานผลิตยาค๊อกซ์
และโรงงานผลิตยาชาญกิจเทรดดิ้งซึ่งเป็นผู้ผลิตยารายใหญ่ของประเทศไทยในรูปเงินสนับสนุนและเทคโนโลยีการผลิตอย่างไม่จำกัดสุดแท้แต่ทางมูลนิธิฯ
จะทำเรื่องเสนอขอไป
"ในอนาคตทราบมาว่าที่คณาสวัสดิ์จะมีการขอเพิ่มคณะเภสัชศาสตร์เข้าไปอีก
มองดูตามโครงการผลิตบัณฑิตล้วนแต่สอดคล้องกับแผนรุกทางธุรกิจแบบปิดล้อมของมูลนิธิฯ
เกือบทั้งสิ้น โดยเฉพาะถ้าตั้งคณะเภสัชฯ ขึ้นมาทั้งสองโรงงานนั่นก็พร้อมที่จะช่วยเหลือในทุกๆ
ทาง" แหล่งข่าวรายหนึ่งกล่าวกับ "ผู้จัดการ"
ส่วนของทีมงานบริหารที่คาดว่าทางมูลนิธิฯ จะจัดส่งเข้าไปดูแลในวิทยาลัยคณาสวัสดิ์คงประกอบไปด้วย
พล.ต. ดร. ปราการ ภูวนารถนุรักษ์ ราชองครักษ์ในหลวงฯ อดีตผู้ว่าฯ จ. แม่ฮ่องสอน
ซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์พิเศษที่นิด้า พล. ต. ดร.ปราการ ผู้นี้สนิทสนมกับท่านกิตติวุฑโฒมากเป็นพิเศษและยังทำงานโครงการพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาอยู่อีกด้วย
ดร.กวี ทังสุบุตร อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่นและคณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ที่เคยตกเป็นข่าวอื้อฉาวมาแล้วในอดีตโดยถูกนักศึกษาเดินขบวนขับไล่
ตระกูล "ทังสุบุตร" เป็นตระกูลที่มีฐานะดีพอสมควรและสมัยที่เป็นอธิการบดีขอนแก่น
ดร. กวีก็วางรากฐานทางธุรกิจที่นั่นไว้ไม่น้อย
ดร. อุษา ใบหยก ลูกสาวคนโปรดของเศรษฐีใหญ่เล็งเลิศ ใบหยก ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ซึ่งโดยปกติตระกูล "ใบหยก" ก็ได้ชื่อว่าเป็นองค์อุปถัมภ์ของมูลนิธิฯ
และท่านกิตติวุฑโฒภิกขุมาช้านาน ว่ากันว่าอาคารหลายอาคารในสำนักจิตตภาวันเป็นเงินบริจาคจากเศรษฐีเล็งเลิศอยู่ไม่น้อย
ดร. สุนัย ชัยชนะ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยสอนหนังสืออยู่ที่บอสตัน
สหรัฐอเมริกา
แต่เป็นที่น่าสังเกตมากว่าถึงแม้มูลนิธิฯ จะเข้าไปบริหารงานของคณาสวัสดิ์ซึ่งชื่อเริ่มเสื่อมเสียแล้วนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนชื่อเด็ดขาด
โดยนัยว่าในใบอนุญาตจัดตั้งจะเปลี่ยนชื่อจากจิรศักดิ์ คณาสวัสดิ์มาเป็นมูลนิธิฯเท่านั้น
แต่ในส่วนลึกของผู้ถือหุ้นจะยังเป็นของตระกูล "คณาสวัสดิ์" ต่อไป
นี่ยังไม่รวมถึงการจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์การสอนต่าง ๆ ซึ่งส่วนหนึ่งวิทยาลัยจะยังคงให้การสนับสนุนซื้อสิ่งของเหล่านั้นจากห้างสรรพสินค้าเสริมไทย
ทั้งนี้เพื่อช่วยปลุกเครดิตของห้างฯ ให้กลับมามีสถานะที่ดีขึ้นหลังจากที่ระยะหลัง
ๆ เริ่มมีปัญหากับซัพพลายเออร์หลายราย
ด้วยภาระหนี้สินกว่าร้อยล้านบาทกับเงื่อนไขของมูลนิธิฯ ที่จะเข้าไปแก้ไขเพียงด้านบริหารงานโดยไม่ขอรับผิดชอบต่อหนี้สินที่เคยมีมานั้น
ทำให้น่าคิดมากว่า เป็นไปได้หรือที่จิรศักดิ์ คณาสวัสดิ์ จะใจกว้างยกวิทยาลัยให้ฟรี
ๆ โดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยนใด ๆ
"ผมไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้นที่อยู่ดี ๆ จะยกกิจการให้คนอื่นโดยที่ตัวเองยังพร้อมใจจะรับหนี้ต่อไป"
ผู้ที่ติดตามสถานการณ์ของวิทยาลัยคณาสวัสดิ์มาโดยตลอดกล่าวกับ "ผู้จัดการ"
คำตอบที่ดีที่สุดของเรื่องนี้คงอยู่ที่ตัวท่านกิตติวุฑโฒที่กล่าวเป็นนัย
ๆ ว่า "อาตมาบอกไว้แล้วว่าอย่าได้ยกหนี้มาให้อาตมานะ เรื่องหนี้นั้นอาตมาจะช่วยเหลือเป็นการส่วนตัว"
ซึ่งดูแล้วปัญหาหนี้สินของจิรศักดิ์มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่จะลดความตึงเครียดลงมาได้
โดยเฉพาะในส่วนที่มีภาระผูกพันอยู่กับธนาคารทหารไทยกว่า 40 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจากสายนี้กรรมการระดับสูงหลายคนที่เป็นนายทหารล้วนศรัทธาและมีความสัมพันธ์แนบแน่นเป็นอย่างดีกับท่านกิตติวุฑโฒภิกขุมานับนาน
สรุปแล้วงานนี้ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์เป็นที่น่าพึงพอใจด้วยกันทั้งคู่
จิรศักดิ์เองคงไม่ต้องเก็บตัวเป็นคนนิรนามอีกต่อไป เพราะภาระหนี้สินทั้งหลายนั้นท่านกิตติวุฑโฒภิกขุพร้อมที่จะคลี่คลายช่วยเหลือให้หมดไปโดยเร็ว
ส่วนมูลนิธิฯ สิ่งที่ได้รับอย่างมากก็คือ มีโอกาสได้วิทยาลัยที่มีความพร้อมทางด้านวัตถุมาแบบไม่ต้องไปลงทุนอะไรมากมายนัก
และในสภาพที่พุทธศาสนาบ้านเราแตกแยกเป็นหลายสำนัก จนดูคล้ายกับว่าเป็นพุทธพาณิชย์ไปแล้วนั้น
ในขณะที่สำนักอื่นซึ่งประสงค์จะจัดตั้งวิทยาลัยเช่นเดียวกัน ยังจะต้องร้องเพลงรอ
ทว่าสำหรับมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุไม่ต้องเสียเวลาจับเจ่าอีกต่อไป
นับเป็นชัยชนะที่ปาดหน้ากันไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด
สำนักที่ต้องครุ่นคิดอย่างหนักคงไม่พ้น มูลนิธิธรรมกายซึ่งกำลังเดินเครื่องรุกหนักที่จะจัดตั้งวิทยาลัยและได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นรายแรกที่จะได้รับอนุญาต
เมื่อสภาพการณ์เปลี่ยนไปอย่างนี้ ธรรมกายคงต้องขบคิดอย่างหนักว่าจะพลิกบทบาทเช่นไรจึงจะเป็นผู้กุมสภาพเช่นที่มูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุทำได้สำเร็จในเวลานี้ได้
ก็เป็นที่รู้กันอย่างเงียบ ๆ ว่า สองสำนักนี้กำลังช่วงชิงการเป็นผู้นำกันอย่างหนัก
!