ในบรรดาผู้ถูกกล่าวอ้างว่าได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคารนครหลวงไทยยุคยกเครื่องนั้นชื่อ
เจริญ พัฒนดำรงจิตร์ ออกจะสร้างความแปลกใจแก่หลาย ๆ คนเป็นอย่างมากว่าคนผู้นี้เป็นใครมาจากไหน
มีประวัติความเป็นมาอย่างไร จึงหาญกล้าตีปีกเข้าประกบและอาจดูโดดเด่นกว่าเจ้าสัวบางคนเสียอีก
แต่ถ้าพูดถึงชื่อนี้กับคนขอนแก่นใครไม่รู้จักนับว่าเชยเต็มที กิตติศัพท์ของเจริญ
พัฒนดำรงจิตร์ หรือ "เสี่ยเล้ง" คนนี้จัดอยู่ในแถวหน้าของจังหวัดและภาคอีสาน
เป็นนักธุรกิจค้าพืชผลคนสำคัญที่โด่งดังคู่มากับวิญญู คุวานันนท์ หรือ "โค้วยู่ฮะ"
คนดังด้านรถยนต์ อาณาจักรธุรกิจของเสี่ยเล้งเจ้าตัวเองยังเคยบอกว่า "ไม่รู้เหมือนกันว่าจดทะเบียนไว้กี่แห่ง
มันมากเสียจนจำไม่ได้"
ซึ่งก็คงมากมายสมคำคุยไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่สามารถผ่าตัดอัดฉีดระบบเงินแชร์ของเมืองขอนแก่นที่เคยล้มทั้งยืนให้กลับตั้งตัวอยู่รอดตลอดฝั่งมาได้
แม้ว่าบางส่วนของเงินหล่อเลี้ยงจะมีคนพูดกันมากว่าได้มาจากการค้าบางประเภทที่ทำให้เสี่ยเล้งต้องถูกโจษขานอีกมุมหนึ่งว่าเป็นคนโตของวงการ
"ได้เสีย"
ความเป็นคนดังซึ่งสนิทชิดเชื้อเป็นอย่างมากกับพ่อค้าใหญ่คนจีนที่กุมหนังสือพิมพ์จีนไว้ในมือถึง
7 ฉบับ และเป็นคนที่มีชื่อเสียงเรียงนามในวงการ "ได้เสีย" เหมือน
ๆ กัน ทำให้เสี่ยเล้งเคยถูกสั่งเก็บอย่างอุกอาจมาแล้วเมื่อปี 2522 ตอนนั้นเสี่ยเล้งถูก
2 มือปืนดักยิงหน้าภัตตาคารรินคำ ตรงข้ามธนาคารกรุงเทพสำนักงานใหญ่ เดชะบุญกระสุนเจาะแค่หน้าแข้งเท่านั้น
แต่ก็เล่นเอาต้องเก็บตัวเงียบอยู่พักใหญ่!
"ทุกคนมีศัตรูกันทั้งนั้นห้ามกันไม่ได้ แต่ศัตรูนี่ไม่เท่าไรเขาเกลียดเราเขาก็ทำให้เรารู้เราก็ระวัง
ๆ ไว้ได้ แต่คนที่ปองร้ายหรืออิจฉาเงียบ ๆ นี่อันตรายมากเหมือนไฟสุมขอนไม่รู้ว่าวันหนึ่งเขาจะคิดตีแทงข้างหลังเราอย่างไร"
เสี่ยเล้งเคยกล่าวสั้น ๆ แต่ดูจะเป็นปรัชญาชีวิตที่ดีที่สุดสำหรับคนที่มีวิถีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายและเส้นไหมอย่างเขา
ชีวิตของคนดังขอนแก่นผู้นี้เป็นชาว อ. สีคิ้ว จ. นครราชสีมา เกิดเมื่อปี
2477 อพยพมาทำงานที่ขอนแก่นเมื่อปี 2496 โดยเป็นลูกจ้างร้านขายเครื่องไฟฟ้า
"ไทยแสงพาณิชย์" เพราะความเป็นคนงานใหม่ทำให้ถูกข่มตลอดเวลา จนทำให้เจ้าตัวมุมานะที่จะเอาชนะเพื่อนร่วมงานเหล่านั้นให้ได้
ดังนั้นเลยใช้เวลาว่างร่ำเรียนภาษาจีน แล้วสมัครเรียนบัญชีทางไปรษณีย์ที่กรุงเทพการบัญชีไปในตัว
ผลพลอยได้จากการเรียนทำให้ตำแหน่งหน้าที่การงานเลื่อนขึ้นจากคนส่งของมาเป็นคนทำบัญชีและคนเดินตลาด
ทำงาน 6 ปีเงินเดือนขึ้นจาก 300 บาทเป็น 700 บาท แต่สิ่งที่เขาได้รับและปิติใจมากไปกว่านั้นก็คือ
ทำให้ได้รู้จักกับผู้คนมาหน้าหลายตา โดยเฉพาะตำรวจกับทหารในระดับท้องถิ่น
และนั่นก็จุดเริ่มต้นที่ผลักดันวิถีชีวิตของเสี่ยเล้งให้ต้องโจษขานกันว่าเขาคือ
ผู้กว้างขวาง
"ใจมันนักเลงตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว กล้าได้กล้าเสียและไม่ยอมแพ้ใครง่าย
ๆ คิดดูสมัยก่อนต้องขี่ม้าไปเก็บเงินนอกเมืองเป็นคนอื่นคงไม่กล้า แต่หมอนี้ไปได้สบายไปเป็นเดือนก็ยังมี"
พ่อค้าเก่า ๆ ของขอนแก่นเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง
หลังจากออกจากร้านไทยแสงพาณิชย์ ก็ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาอย่างเต็มที่ เล่นบ่อนตีตั๋วจนตำรวจจำหน้าจำตาได้เป็นอย่างดีและคราวหนึ่งเปิดบ่อนในค่ายทหารชนิด
7 วัน 7 คืนครั้งนั้นทำให้ชีวิตของเสี่ยเล้งผันแปรไปเป็นอย่างมาก เขาทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำอย่างที่ไม่น่าเชื่อ
สำหรับเส้นทางเดินธุรกิจเริ่มต้นอย่างจริงจังเมื่อปี 2506 โดยนำเงินที่ได้จากชีวิตนักเลงไพ่มาทำโรงปอ
แล้วก็เปลี่ยนเป็นโรงมัน วิ่งล่องค้าพืชผลต่าง ๆ ซึ่งก้าวหน้าไปได้อย่างดี
ทั้งนี้อาจเป็นผลที่ได้มาจากการที่มีเพื่อนมากของเขาก็เป็นได้
"ทำพืชไร่มันก็เหมือนกับการเล่นพนัน เราต้องขายให้หมดซื้อมางวดหนึ่งจะให้เหลือไม่ได้ราคาตกมายังไงเราก็ต้องขาย
จะต้องไม่ให้มีของเหลือเดน" ปรัชญาการค้าง่าย ๆ ที่เสี่ยเล้งยังใช้มาจนถึงทุกวันนี้
แม้ว่าบางครั้งอาจทำให้เขาเลือดตาแทบกระเด็นแต่ก็ไม่เคยทิ้งมัน
กิจการด้านพืชผลรุดหน้าไปตามสถานการณ์ เสี่ยเล้งกลายเป็นคหบดีไปอย่างรวดเร็ว
มีทั้งโรงสี โรงมัน โรงปอ โรงแป้งจิปาถะ โดยเฉพาะโรงแป้งที่ขอนแก่นของเขาได้ชื่อว่าเป็นโรงแป้งที่ทันสมัยแห่งหนึ่งใช้เงินลงทุนหลายร้อยล้านบาท
นอกจากนี้เสี่ยเล้งยังมีหุ้นส่วนกับธุรกิจต่าง ๆ ในจังหวัดอีกมากมายและยังมีบริษัทส่งออกชื่อชุมแสงอินเตอร์เนชั่นแนลอีกด้วย
"แต่ส่วนใหญ่คนไม่รู้จักธุรกิจเหล่านี้ของเขามากนักเพราะตัวเสี่ยเล้งมอบภาระหน้าที่ให้กับเมียและน้อง
ๆ เป็นผู้ดูแลมากกว่า ที่รู้จักกันมากก็คือ เขาเป็นคนใจถึงในเรื่องได้เสียมากกว่า"
พ่อค้าขอนแก่นคนหนึ่งกล่าว
ธุรกิจที่เสี่ยเล้งมีอยู่อีกก็เช่น ไร่ยูคาลิปตัสกว่า 3,000 ไร่ที่ลงทุนด้วยเงินถึง
20 ล้านบาทเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่อีกรายหนึ่งของฟินิค พัลพ์ นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนกิติคุณวิทยาที่โคราชอีกแห่ง
เสี่ยเล้งคิดจะขยับขยายโรงเรียนแห่งนี้ให้เป็นวิทยาลัยเช่นกัน
"เคยมีข่าวว่าเสี่ยใหญ่จากขอนแก่นคนหนึ่ง นำเครื่องบินของกองทัพภาคที่
2 ขึ้นไปบินสำรวจดูพื้นที่แถวโคกกรวด นับว่าเสี่ยคนนี้บารมีมากจริง ๆ"
พ่อค้าในโคราชเคยคุยกันถึงเรื่องที่กองทัพภาคที่ 2 อนุญาตให้เอกชนเอาเครื่องบินของทางราชการไปใช้บินสำรวจที่
ซึ่งเป็นข่าวครึกโครมมาก และเสี่ยคนที่ว่าก็มีผู้พูดกันว่า ไม่ใช่ใครที่ไหนอื่นเขาคือ
เสี่ยเล้งคนนี้
ถ้าเป็นอย่างนี้จริงเห็นทีจะต้องยอมรับว่าบารมีของมังกรทะยานฟ้าผู้นี้ไม่ยิ่งหย่อนเลยทีเดียว
ช่วงหลัง ๆ นี้เสี่ยเล้งยังได้ชื่อว่าเป็นคนสนิทของ บุญชู โรจนเสถียร เป็นฐานกำลังสนับสนุนด้านการเงินแก่พรรคกิจประชาคมทางภาคอีสาน
คนสำคัญการเข้ามาซื้อหุ้นธนาคารนครหลวงไทยว่ากันว่าผ่านมาทางสายบุญชู โรจนเสถียร
และก็ว่ากันว่าเขาเป็นคน ๆ เดียวในกลุ่มบุญชูที่เล็ดลอดเข้าไปในรังแห่งนี้ได้
แต่ ดิลก มหาดำรงค์กุล กลับปฏิเสธกับ "ผู้จัดการ" ว่า เรื่องการเข้ามาซื้อหุ้นโดย
"เสี่ยเล้ง" นั้นเป็นเรื่องยกเมฆ
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของนครหลวงไทยจะมีนักธุรกิจใหญ่เชื้อสายจีนพูดไทยสำเนียงอีสานอย่าง
"เสี่ยเล้ง" ด้วยหรือไม่นั้น ยังสับสน
ที่ไม่สับสนก็เพียงว่า เสี่ยเล้งนี้ร่ำรวยมาก และเขาต้องการ "หน้าตา"
และ "ชื่อเสียง" ในฐานะนักธุรกิจระดับชาติคนหนึ่งอย่างแน่นอนที่สุด
อย่างเช่นมีส่วนเป็นเจ้าของแบงก์ก็ต้องนับว่าตรงเป้ามากๆ
ก็คงคล้าย ๆ กับที่ "เสี่ยเล้ง" ส่งลูกชายทั้ง 3 คนที่มีไปเรียนอังกฤษ
"ที่อังกฤษเขาสอนให้เป็นสุภาพบุรุษ เคยได้ยินไหมสุภาพบุรุษอังกฤษ
เราอยากให้ลูกเป็นอย่างนั้น" เสี่ยเล้งมักบอกกับทุกคน
ภารกิจในทุกวันนี้ของเขาก็น่าจะเป็นการสร้างกิจการที่เหมาะสมกับลูก ๆ "สุภาพบุรุษอังกฤษ"
ไม่ใช่กิจการ ที่ใช้ความเป็น "ผู้กว้างขวาง" อย่างเช่นที่เขาเคยเติบโตขึ้นมา