สตรีผู้สูงส่งที่ได้ชื่อว่ามั่งคั่งที่สุดในโลกคือสมเด็จพระราชินี…สำหรับพระองค์แรกก็ต้องยกให้สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่
2 แห่งราชอาณาจักรอังกฤษ ซึ่งฟอร์จูนคาดหมายว่าพระองค์ทรงมีมูลค่าความมั่งคั่งประมาณว่า
704 พันล้านดอลลาร์ รองลงมาคือสมเด็จพระราชินีเบียทริกซ์ วิลเฮลมิน่า อาร์การ์ดแห่งเนเธอร์แลนด์
ผู้ทรงมีมูลค่าความมั่งคั่ง 4.4 พันล้านดอลลาร์
ในหนังสือนิทานที่เราเคยอ่านสมัยเด็กๆ มักผูกเป็นเรื่องให้เจ้าหญิงมีทรัพย์ศฤงคารมากมายจากการเนรมิตด้วยเวทมนต์คาถา
ที่เสกให้หยาดน้ำตาเป็นเพชรพลอยและเส้นฟางกลายเป็นทองได้ แต่ในชีวิตจริงนั้นสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธผู้มีพระชนมายุ
61 พรรษาในปีนี้ และพระราชินีเบียทริกซ์ผู้ทรงมีพระชนมายุ 49 พรรษาทรงเพิ่มพูนความมั่งคั่งด้วยการลงทุนในตลาดหุ้นและที่ดิน
แต่ในเรื่องของลำดับการสืบราชสันตติวงศ์แล้ว ควีนอลิซาเบธทรงขึ้นครองราชย์แบบไม่นึกฝันเหมืแนเรื่องในนิทาน…เพราะขณะทรงมีพระชนม์
10 ชันษาทรงอยู่ในลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ลำดับที่ 3 เท่านั้น แต่แล้วก็เหตุต้องเปลี่ยนบัลลังก์
เมื่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ทรงสละราชสมบัติเพื่ออภิเษกกับวอลลิส ซิมพ์สันแม่ม่ายพราวเสน่ห์ชาวอเมริกัน
ทำให้พระเจ้าจอร์จที่ 6 พระราชบิดาของควีนอลิซาเบธ ซึ่งทรงเป็นอนุชาของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่
8 ทรงขึ้นครองราชย์แทน
เมื่อจะทรงมีคู่ครอง…ควีนอลิซาเบธก็ทรงมี "รักแรกพบ" กับ ร.ท.ฟิลิป
เมาท์แบทแท่น และทรงเข้าพิธีอภิเษกเมื่อ 2490 พระองค์ทรงขึ้นครองราชสืบต่อจากพระราชบิดาที่สิ้นพระชนม์ลงขณะพระองค์และเจ้าชายฟิลิปพระสวามีเสด็จเยือนประเทศคีนยาเมื่อปี
2495 และโรเบิร์ต ลาซี่ย์นักเขียนเรื่องเกี่ยวกับพระราชวงศ์โดยเฉพาะย้ำว่าควีนอลิซาเบธทรงทราบข่าวการขึ้นครองราชย์ขณะ
"ประทับอยู่บนต้นไม้"!
พระองค์ทรงปฏิบัติราชภารกิจอย่างราบรื่นมาโดยตลอด รวมทั้งต้องเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศมาแล้วกว่า
100 ครั้ง ทรงเพลิดเพลินกับภารกิจที่ได้ทรงปฏิบัติด้วยพระทัยรักมาโดยตลอด
จนกระทั่งได้ชื่อว่าเป็นพระราชินีที่ชาวอังกฤษ "นิยม" สูงสุดเทียบเท่ากับสมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย
การจะประเมินมูลค่าความมั่งคั่งของพระองค์ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันง่ายๆ เพราะต้องแยกพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ออกจากส่วนที่เป็นของพระราชวงศ์ซึ่งมีทั้งมงกุฏล้ำค่าและพระราชวังที่เป็นที่ประทับอีก
3 แห่งคือ ระราชวังบัคกิ้งแฮม, พระตำหนักโฮลี่รูและพระราชวังวินด์เซอร์ที่ถือเป็น
"ของกลาง" ของราชวงศ์เช่นเดียวกับทำเนียบขาวซึ่งเป็นทีาทำการของประธานาธิบดีอเมริกานอกจากนี้ควีนอลิซาเบธยังทรงได้รับการยกเว้นภาษีทุกอย่างด้วย
ส่วนเครื่องประดับส่วนพระองค์ของควีนอลิซาเบธนั้นมากมายมหาศาลทีเดียวมีทั้งมงกุฏ
14 องค์, รัดเกล้า 11 องค์ และเครื่องเพชรรวมทั้งทับทิมและมรกตอีกนับไม่ถ้วน
นอกจากนี้ทรงสะสมผลงานทางศิลปะอันทรงคุณค่าที่เป็นผลงานภาพวาดของลีโอนาร์โด
900 ภาพ, ของแวน ดิคส์ 26 ชิ้น, ของโฮลบีนส์อีกนับสิบชิ้น รวมทั้งผลงานทางศิลปะของไมเคิลแองเจโล,
ราฟาเอล, รูเบนส์, แรมแบรนดท์ และคานาเล็ตโต้
แต่พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ทั้งหมดนี้ ทรงได้รับมรดกตกทอดจากสมเด็จพระราชินีวิคตอเลียและเจ้าชายอัลเบิร์ตพระสวามีเกือบทั้งสิ้น
ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงรสนิยมสูงยิ่งของสองพระองค์เป็นอย่างดี พระราชทรัพย์ส่วนนี้ก็ได้ยกเว้นด้วยเช่นกัน
มีข้อแม้แต่เพียงว่า พระองค์ทรงต้องดูแลรักษาพระราชทรัพย์เหล่านี้เสมือนหนึ่งเป็น
"สมบัติของชาติ" พระองค์จึงทรงมีฐานะเหมือน "ยาม" คอยเฝ้าดูแลสิ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ไว้ให้ดี
แต่จะทรงนำไปขายไม่ได้เด็ดขาด
ควีนอลิซาเบธทรงเปิดเผยสินทรัพย์ส่วนพระองค์ที่ข้าราชบริพารทำหน้าที่ซื้อปรือขายหรือจัดการถวาย
โดยวิลลี่ แฮมิลตันอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้รักษาผลประโยชน์ของควีนอลิซาเบธกล่าวถึงพระองค์ว่า
"ภายใต้พระอริยาบถนุ่มนวลและทรงแย้มพระสรวลอยู่เนืองๆนั้น พระองค์ทรงได้ชื่อว่าเป็นนักธุรกิจสตรีที่ฉลาดล้ำลึกโดยเฉพาะด้านการคิดคำนวณ
เห็นได้จากพระองค์ทรงเป็นเจ้าของฟาร์มม้าแม่พันธุ์ 2 แห่งที่มีม้าแม่พันธุ์อย่างน้อย
25 ตัว และม้าแข่งอีก 28 ตัว รวมทั้งม้าแม่พันธุ์ในสหรัฐอีก 6 ตัวทรงเป็นเลิศใน
"กีฬาพระราชา" ที่ยากจะประเมินมูลค่าในทรัพย์สินส่วนนี้ได้ แต่อย่างน้อยที่สุดเมื่อปี
2525 ควีนอลิซาเบธทรงมีรายได้จากการขายลูกม้าตัวเมียชื่อ "HEIGHT OF
FASHION" ตัวเดียวแด่ชีค ราชิด อัล มัคตุม ประมุขแห่งดูไบไปในราคาถึงกว่า
1 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์อย่างดีว่า ธุรกิจม้าแข่งเหมาะสมกับกษัตริย์และสุภาพสตรีผู้มีสุนัขและม้าในครอบครองมากมาย"
อย่างที่พระองค์ทรงเคยมีพระราชดำรัสถึงความฝันของพระองค์เอง
อสังหาริมทรัพย์ส่วนพระองค์ซึ่งรวมทั้งแคว้นแลงคาสเตอร์ทั้งแคว้นด้วยนั้น
ทำให้พระองค์ทรงมีรายได้จาดค่าเช่าเมื่อปีที่แล้ว 2.4 ล้านดอลลาร์ โดยได้รับการยกเว้นภาษี
ควีนอลิซาเบธยังได้ชื่อว่าเป็น "เจ้าของที่ดิน" รายใหญ่ที่สุดในแมนฮัสตัน,
สหรัฐอเมริกา นอกเหนือจากนี้ก็มีที่ฝรั่งเศสและเยอรมันตะวันตก ส่วนในประเทศอังกฤษองนั้น
ทรงมีพระตำหนักส่วนพระองค์คือ "แซนดริงแฮม" ขนาด 274 ห้องและพระตำหนัก
"บัลมอรัล" ในสก็อตแลนด์อีกแห่งหนึ่ง…เมื่อนำเอาสินทรัพย์ส่วนพระองค์ที่มีทั้งเครื่องเพชร
ผลงานทางศิลปะ ม้าและอสังหาริมทรัพย์มาประเมินทั้งหมดแล้ว คิดเป็นมูลค่าถึง
4.1 พันล้านดอลลาร์
แต่ที่ไม่ทรงเปิดเผยแลถือเป็น "ความลับสุดยอด" ของควีนอลิซาเบธคือมูลค่าหุ้นในพอร์ต
ซึ่งนักวิเคราะห์กำลังพยายามประเมินมูลค่าแล้วคาดว่าอย่างไรเสียต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า
3.3 พันล้านดอลลาร์แน่นอน
สมเด็จพระราชินีเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์ก็ทรงเป็นที่รักใคร่เทิดทูลของพสกนิกรเช่นเดียวกับควีนอลิซาเบธ
อดีตรัฐมนตรีคนหนึ่งซึ่งปลดเกษียรไปแล้ว พูดถึงพระองค์ว่า "ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาที่สุดแห่งราชวงศ์ดัทช์
ทรงเป็นแบบฉบับของผู้จัดการสมัยใหม่ และสุภาพสตรีผู้มีสไตล์และบุคลิคเป็นเลิศ"
เพราะพระองค์ได้รับการฝึกสำหรับเป็น "นักธุรกิจแห่งราชวงศ์" มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
เมื่อเจ้าชายเบิร์นฮารืดพระราชบิดาทรงเข้มงวดกับเงินที่ประทานเป็นค่าขนมของควีนเบียทริกซ์มาก
และทรงตั้งกฎไว้เลยว่า เมื่อทรงได้ยืมเงินไปแล้วไม่ว่าจะจำนวนเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม
ควีนเบียทริกซ์ทรงต้องใช้คืนจนครบทุกครั้งไป
ปี 2493 ที่นาซีบุกเนเธอร์แลนด์นั้นสมเด็จพระราชินีจูเลียน่าพระราชมารดาผู้ทรงยังอยู่ในราชสมบัติพร้อมเจ้าหญิงเบียทริกซ์
(พระอิสริยยศขณะนั้น) และเจ้าหญิงไอรีนพระขนิษฐาเสด็จลี้ภัยไปยังประเทศแคนาดา
ซึ่งควีนเบียทริกซ์ทรงเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนหลวงบริเวณชานกรุงออตตาวาเพราะเป็นพระราชประสงค์ของควีนจูเลียน่า
เพื่อให้พระธิดาทั้งสองพระองค์ทรงคุ้นเคยกับโลกกว้างขึ้นและเป็นประชาธิปไตรด้วย
เมื่อเจริญพระชันษาแล้ว ควีนเบียทริกซ์ทรงเลืกอภิเษกกับเคล้าส์ ฟอน อัมส์เบิร์ก
แห่งเยอรมัน ซึ่งมีลักษณธเหมือนชาวเยอรมันวัยเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ ที่ต้องเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับฮิตเลอร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่เพราะชาวดัทช์ยังจำฝังใจเกี่ยวกับความโหดเหี้ยมของนาซีไม่รู้ลืม เพราะระหว่างสงครามโลกครั้งที่
2 มีชาวดัทชืที่เป็น "ยิว" ถูกสังหารไปกว่า 100,000 คนหรือประมาณ
80% ของชาวยิวในเนเธอร์แลนด์ แต่ควีนเบียทริกซ์ทรงยืนยันจะอภิเษกให้ได้ ซึ่งในระหว่างพระราชพิธีอภิเษกปี
2509 มีชาวดัทช์กว่า 1,000 คนรวมตัวกันประท้วงถึงขั้นขว้างปาก้อนหิน ระเบิดควัน
และแก๊สไข่เน่า พร้อมตะโกนขับไล่เคล้าส์ฟอน อัมส์เบิร์ก
แต่แล้วพระสวามีของควีนเบียทริกซ์ทรงชนะใจประชาชน เมื่อทรงหมั่นศึกษาจนตรัสภาษาดัทช์ได้อย่างคล่องแคล่วไม่เพี้ยนแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะกับเหตุการณ์ครั้งหลังสุดเมื่อปี 2526 ที่พระองค์ทรงได้รับความเห็นใจที่สุด
เมื่อทรงพระประชวนด้วยโรคทางจิต
ควีนเบียทริกซ์ทรงสำเร็จการศึกษาสาขาวิชากฎหมายจากมหาวิทยาลัยเลย์เดนเมื่อปี
2504 จากนั้นพระองค์ทรงปฏิบัติพระภารกิจโดยเฉพาะการเสด็จเยือนต่างประเทศบ่อยครั้งและเมื่อควีนจุเลียน่าทรงสระราชสมบัติเมื่อปี
2523 นั้น ควีนเบียทริกซืทรงสืบทอดราชบัลลังก์ขณะมีพระชนมายุ 42 พรรษาและพระองค์ทรงถูกฝึกให้พร้อมสำหรับงานดูแลทรัพย์ศฤคารมหาศาลมาแล้วอย่างดี
ราชวงศ์ออเร้นจ์ของควีนเบียทริกซ์ก็ไดรับยกเว้นภาษีทุกชนิดเช่นเดียวกับราชวงศ์วินด์เซอร์ของควีนอลิซาเบธ
ผิดกันตรงที่ว่า ไม่ได่แบ่งแยกพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ออกจากพระราชทรัพย์ของราชวงศ์อย่างเด็ดขาดเหมือนในอังกฤษ
แม้ว่าทั่วโลกจะไม่ค่อยให้ความสนใจกับราชวงศ์ออเร้นจ์มากนัก แต่ก็เป็นราชวงศ์ที่มั่งคั่งที่สุดราชวงศ์หนึ่งเหมือนกัน
โดยเฉพาะเครื่องเพชรจากราชวงศ์โรมานอฟที่เข้ามาสมทบเมื่อปี 2359 เมื่อเจ้าหญิงแอนนา
พาฟลอฟนา โรมานอฟอภิเษกกับกษัตริย์วิลเลมที่ 2 นอกจากนี้ยังนำชุดเสวยทำด้วยทองคำแท้และเงินสดอีก
2 พันล้านกิลเดอร์ (ประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์) ติดมาด้วย
ราชวงศ์ออเร้นจ์เป็นเจ้าของที่ดินและอสังหาริมทรัพย์มากมายรวมทั้งพระราชวัง
5 แห่ง โดยเฉพาะราชวังฮุยส์ เต็น บอช ที่ประทับของควีนเบียทริกซ์ในกรุงเฮกนั้นพระองคืทรงอกแบบตกแต่งใหม่หมดเมื่อไม่นานมานี้เอง
โดยสร้างให้มีหลุมหลบภัยจากระเบิดนิวเคลียร์และติดตั้งกระจกกันกระสุนทั้งหมด
แตยังคงไว้ซึ่งความงามของ การตกแต่งตามสไตล์สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เช่นกัน
แต่สินทรัพย์ที่นำความมั่งคั่งมาสู่ราชวงศ์มากที่สุด คือมูลค่าหุ้นที่รู้กันทั่วว่าราชวงศ์ออเร้นจ์ถือหุ้นมหาศาลในบริษัทเอ็กซ์ซอน,
ธนาคารเอบีเอ็ม และสายการบินเคแอลเอ็มรอแยล ดัทช์ แอรืไลด์ แต่ที่เป็นสินทรัพย์มูลค่าสูงสุด
คือหุ้นในบริษัทรอแยล ดัทช์/เชลล์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2433 โดยยีน เคสส์เลอร์
ที่ปัจจุบันกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อันดับ 3 ของโลก รองจากเจนเนอรัล มอเตอร์และเอ็กซ์ซอน
โดยปี 2529 มียอดขาย 64.8 พันล้านดอลลาร์