ไม่เคยมีอะไรใหม่เลย สำหรับกลุ่มโรงงานน้ำตาลใหม่ไทยรุ่งเรือง ภายใต้การนำของสุรีย์
อัษฎาธร ผู้ทำตัวเหมือนกระแสน้ำที่กลายเป็นคลื่น ไหลขึ้นไหลลงอย่างนี้ชั่วนาตาปี
บางครั้งอยู่ยอดคลื่น บางครั้งลงต่ำเป็นคลื่นเล็ก จริงหรือ?? ที่บางคนบอกว่า
ไทยรุ่งเรืองคืออาณาจักรหรือมรดกในอุตสาหกรรมน้ำตาล หรือที่เรียกว่า "แมวเก้าชีวิต"!?
เกือบกึ่งศตวรรษจาก พ.ศ.2489 สู่สมัยปัจจุบัน ที่ไทยรุ่งเรืองกรุ๊ปยักษ์ใหญ่ผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมน้ำตาลไทยเติบโตขึ้นมาอย่างอุกอาจ
กับผลประโยชน์ที่เป็นรายได้เข้าสู่ประเทศสูงถึงสี่หมื่นล้านบาทต่อปี หลังสงครามมหาเอเชียบูรพา
จอมพล ป. และกลุ่มซอยราชครูครองเมืองพ่วงด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จของจอมพลสฤษดิ์
ธนะรัชต์
กลุ่มไทยรุ่งเรืองถูกสร้างขึ้นมา หากนับเป็นมูลค่าปัจจุบันประมาณ 5,000
ล้านบาท โรงงานน้ำตาลในเครือทั้ง 7 โรงตั้งตระหง่านอยู่แถบพื้นที่เมืองกาญจน์และศรีราชารวมแล้วไม่น้อยกว่า
1,000 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งคนรุ่นหลังแห่งอาณาจักรนี้บอกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของคุณภาพเครื่องจักรล้วนเป็นนวกรรม
(INNOVATION) ของอดีตนายช่างเก่าแก่ซึ่งเป็นเจ้าของผู้บุกเบิกสร้างขึ้นมา
ฝีมือช่างชั้นดีถูกถ่ายทอดถึงคนรุ่นที่สองกระทั่งรุ่นที่สาม ชิ้นส่วนราคาแพงหลายตัวล้วนเกิดจากการประยุกต์เป็นเมดอินไทยแลนด์อาศัยแบบต่างชาติที่เคยไปดูแล้วเกือบทั่วโลก
หากเป็นการนำเข้าในปัจจุบันจะไม่ต่ำกว่าโรงงานละ 500-1,000 ล้านบาทขึ้นไป
ท่ามกลางการตกต่ำของราคาน้ำตาลในตลาดโลกที่ดิ่งลงเหวมาแต่ พ.ศ. 2523 เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า
7 ปี ส่งผลให้โรงงานน้ำตาลยักษ์ใหญ่หลายกลุ่มไม่ว่าจะเป็นกลุ่มบ้านโป่งของ
วิบูลย์ ผาณิตวงศ์ กลุ่มวังขนายของ อารีย์ ชุนฟุ้ง และกลุ่มมิตรเกษตรของวิเทศ
ว่องวัฒนะสิน ล้มลงอย่างไม่เป็นท่าเงินจาสกธนาคารพาณิชย์ที่ปล่อยสินเชื่อให้กับอุตสาหกรรมนี้ไม่น้อยกว่า
15 แห่งไหลลงท่อไปไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท รวมทั้งที่เป็นการปล่อยกู้เพื่อรักษาเสถียรภาพอุตสาหกรรมน้ำตาลในปี
25/26 อีกจำนวน 78 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนี้ยังไม่ได้รับการชำระจนตราบเท่าทุกวันนี้
บรรดาโรงงานน้ำตาลในปัจจุบันทั้งระบบมี 46 แห่ง ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ล้วนมีปัญหาด้านการเงิน
แต่กลุ่มไทยรุ่งเรืองกลับออกมาโต้ลมหนาวหลังสิ้นบทเฉพาะกาลในระบบแบ่งปันผลประโยชน์
70/30 ระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงานอย่างท้าทายพร้อมนโยบายรัดเข็มขัดอย่างเต็มที่เพื่อรองรับฤดูหีบอ้อยปี
30/30 ที่กำลังมาถึง ซึ่งคาดว่าปริมาณอ้อยทั้งประเทศจะน้อยกว่าปีที่แล้วจาก
22 ล้านตันลดลงเหลือเพียง 18 ล้านตัน
ขณะข้อตกลงเรื่องแบ่งปันผลประโยชน์ของชาวไร่กับโรงงานเป็นสงครามที่ยืดเยื้อ
กลุ่มไทยรุ่งเรืองตกเป็นเป้าสายตาว่า คือผู้นำฝ่ายโรงงานที่ไม่เห็นดีกับมติคณะรัฐมนตรีที่ออกมาเป็นบรรทัดฐานให้ปฏิบัติตาม
ด้วยอาการอีหลักอีเหลื่อกับสถานการณ์ คนวงในตั้งข้อสังเกตว่า ยักษ์ใหญ่อย่างไทยรุ่งเรือง
กรุ๊ปกำลังจะผละจากอุตสหกรรมน้ำตาลเพื่อ DIVERSIFIED ไปสู่ธุรกิจอื่นหรือจะถือเอากับจังหวะที่โรงงานคู่แข่งหลายแห่งกำลังหกคะเมน
เข้ายึดพื้นที่ผูกขาดอุตสาหกรรมนี้ตลอดไป
อาณาจักรไทยรุ่งเรืองที่ใหญ่โตขึ้นมาได้ล้วนเป็นฝีมือการค้าของคนที่ชื่อ
สุรีย์ อัษฎาธร ชื่อเดิมเรียก "กว๊าน หยิ่นหนิ่น" (ภาษาจีนสำเนียงกวางตุ้ง)
ซึ่งสำหรับเมืองไทยน้อยนักที่จะเห็นพ่อค้าจีนโพ้นทะเลสายเลือดกวางตุ้งประสบความสำเร็จจริงๆ
นับว่าสุรีย์ เป็น PIONEER ให้กับอุตสาหกรรมน้ำตาลเมืองไทยคนแรกที่เบียดขึ้นมาอยู่หน้าแถวได้
เฉกเช่น มา บูลกุล หรือ ม้า เลียบคุน คนกวางตุ้งที่สร้างอาณาจักรมาบุญครองจนใหญ่โตให้ใครๆ
ได้รู้จัก จะแตกต่างก็คงเพราะสุรีย์เป็นคนเก็บตัวเงียบ เขาค่อนข้าง LOW PROFILE
ถึงกับคนรุ่นที่สามของตระกูล "อัษฎาธร" บอกกับ "ผู้จัดการ"
ว่า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขายอมเปิดตัวกับสื่อมวลชนขณะวัย 80 ปีที่ต้องนั่งเป็นเสาหลักในฐานะประธานบริษัทในเครือไทยรุ่งเรืองอยู่
อาจเพราะอุตสาหกรรมน้ำตาลเมืองไทยที่ผูกอยู่กับอำนาจและผลประโยชน์พ่อค้าอย่างเขาจึงถูกมองด้วยสายตาว่าเป็นคนลึกลับ
คอยใช้สมองวางแผนงานอย่างละเอียดสุขุมกับราคาวัตถุดิบที่ต้องอาศัยชาวไร่นับล้านคนคอยผลิตให้
ย้อนหลังการเกิดไทยรุ่งเรืองกรุ๊ปหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โรงกลึงเหล็ก
พ่วยกี่" ของสุรีย์รับซ่อมเครื่องยนต์ทั่วไปงานหลักคือทำเครื่องจักรเรือกลไฟซึ่งรับบรรทุกข้าวจากฝั่งลำน้ำเจ้าพระยาส่งขึ้นเรือใหญ่เขตอ่าวไทย
รวมถึงรายได้ซ่อมเครื่องจักรโรงสีไฟทั้งในกรุงและต่างจังหวัด กับธุรกิจโรงงานน้ำแข็งขนาดเล็กแถววัดน้อยย่านฝั่งธนฯ
สุรีย์เองก็คงไม่คิดว่าสักวันหนึ่งเขาจะได้นั่งบริหารธุรกิจโรงงานน้ำตาลที่มีสินทรัพย์ในเครือสูงเป้นพันๆ
ล้าน หลังภัยสงครามกับการขาดแคลนสินค้า มันเป็นธรรมดาที่น้ำตาลบริโภคในประเทศเริ่มขาดแคลนสูง
แม้จะมีโรงงานรัฐวิสาหกิจเกิดขึ้นในปี 2480 ที่ลำปางและอุตรดิตถ์ในปี 2485
ก็ไม่เพียงพอ ต้องนำเข้าน้ำตาลทรายขาวจากฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ทั้งอเมริกาและดัทช์เข้าไปสร้างโรงงานให้กับอาณานิคมเหล่านั้น
"การค้ายุคนั้นเพียงหาดผู้มีอำนาจไม่เห็นด้วย ก็ยากที่ใครจะเกิดขึ้นมา"
คนค้าขายรุ่นเก่าคนหนึ่งเล่าให้ฟังถึงธุรกิจรุ่นบุกเบิกที่ต้องอิงกับผู้มีอำนาจ
ซึ่งสุรีย์เข้าใจพอที่จะหาจุดร่วมกับคนเหล่านั้น ภายหลังปี พ.ศ. 2500 เขาเดินสายการเมืองผ่านทั้ง
โอสถ โกสิน และ บรรเจิด ชลวิจารณ์ ที่ล้วนเป็นคนของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ที่เข้ามาบริหารงานในบริษัทอุตสาหกรรมน้ำตาลแห่งประเทศไทย ผูกขาดการส่งออกน้ำตาลเพียงผู้เดียวเป็นเวลาถึง
22 ปี (นับตั้งแต่ พ.ศ. 2496-2518) และสุรีย์ก็ได้นั่งเป็นกรรมการคนหนึ่งในบริษัทนี้
การอิงฐานผุ้มีอำนาจนั้นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้พ่อค้าหลายคนในยุคนั้นอยู่ได้แต่ก็ไม่ใช่ฐานที่ผลักดันไปสู่ความสำเร็จทั้งหมดคงเป็นเพียงเรื่องของหมูไปไก่มา
สุรีย์ อัษฎาธร ก็เช่นกัน เบื้องหลังความสำเร็จเขาได้รับการช่วยเหลือจาก
ชิน โสภณพนิชและ โรเบิร์ต ก๊วก ราคาคอมโมดิตี้ทั้งในมาเลเซียและสิงคโปร์
เจ้าของธุรกิจข้ามชาติเคอรี่เทรดดิ้งนั้นล้วนเป็นส่วนเกื้อหนุน
สำหรับโรเบิร์ต ก๊วก แล้ว หลายคนบอกว่า สุรีย์ไดรับอิทธิพลความรู้ด้านการขายน้ำตาลในตลาดโลกโดยตรง
ซึ่งประสบการณ์นี้ได้สอนถึง "ชนิดา อัษฎาธร" ลูกสะใภ้ ซึ่งถือว่าเป็นคนเก่งคนหนึ่งในด้านการขายน้ำตาลต่างประเทศในเมืองไทยเวลานี้
CONNECTION เหล่านี้ล้วนส่งเสริมให้กลุ่มไทยรุ่งเรืองแข็งแกร่งขึ้นมาได้
จาก "ร่วมกำลาภ" โรงงานแรกที่ทำด้วยการเคี่ยวน้ำตาลจากต้นตาลแถวซอยพร้อมพงษ์ย่านบางกะปิ
สุรีย์อาศัยแปลนแบบจาก "พูน" ช่างแบบอีกคนทำเป็นหม้อเคี่ยวน้ำตาลขายเรื่อยมาจนวัตถุดิบต้นตาลย่านนั้นหมด
"โรงงานที่บางกะปิต้นตาลหมดเราขาดวัตถุดิบ ผมไปศรีราชาเพื่อหาแหล่งใหม่
ที่นั่นมีคนปลูกอ้อยกัน จึงเข้าไปจับจองที่ดินกว่าสามพันไร่เราเป็นโรงงานแรกของเอกชนที่ผลิตน้ำตาลออกมาจากอ้อย"
การดิ้นรนหาแหล่งวัตถุดิบใหม่รวมทั้งวิธีจับจองที่ดินมือเปล่ามันบ่งบอกถึงความเป็นพ่อค้ายุคบุกเบิกอย่างเขาพอควร
แหล่งโรงงานแห่งนี้เป็นฝีมือของสุรีย์ที่อาศัยการชำนาญที่ได้โอกาสดูตัวอย่างเครื่องหีบอ้อยของโรงงานรัฐวิสาหกิจที่อุตรดิตถ์
เขาก็กลับมาหล่อลูกเหล็กหีบออกใช้เป็นโรงงานเอกชนแห่งแรกที่มีลูกหีบอ้อยเหล็กใช้ใน
พ.ศ.2496 ซึ่งเป็นที่เขาต้องเดินทางประจำจากโรงร่วมกำลาภถึงบรนิษัทน้ำตาลทรายศรีราชา
จำกัด และมีศูนย์กลางออฟฟิศบริหารแถววัดไตรมิตรย่านโอเดี้ยน
ขณะนั้นสุรีย์มีเลขาฯคู่ใจอยู่คนหนึ่งชื่อ วิสิทธิ์ สุจริตวงศานนท์ คอยร่วมงานไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้ออุปกรณ์เพื่อต่อเติมโรงงาน
กระทั่งเซ็นออร์เดอร์น้ำตาลให้กับบรรดายี่ปั๊วน้ำตาล สำหรับสุวัฒน์ อัษฎาธรลูกชายคนโตปัจจุบันอายุ
59 ปีสมัยนั้นต้องอยู่โรงงานเพื่อฝึกด้านเครื่องจักร
ปีที่สุรีย์สร้างโรงงานน้ำตาลทรายศรีราชาขึ้นมานั้นเอง จอมพล ป. พิบูลสงคราม
ได้ประกาศจัดตั้งบริษัทอุตสาหกรรมน้ำตาลแห่งประเทศไทย จำกัด ขึ้นมาทำหน้าที่จัดจำหน่ายและนำเข้า
รวมถึงการส่งออกแต่เพียงผู้เดียว มีจอมพลผิน ชุลหะวัณนั่งเป็นประธานบริษัทคนแรก
และเลื่อน บัวสุวรรณ เป็นผู้จัดการ
ก่อนที่จอมพล ป. จะตั้งบริษัทแห่งนี้ขึ้นมา การค้าน้ำตาลตลาดภายในประเทศเป็นไปอย่างคึกคัก
เกิดยี่ปั๊ว และโรงงานน้ำตาลทรายแดงแถวยานนาวาขึ้นนับสิบๆ ราย และกลุ่มที่แข่งขันกันสูงสุดคือ
สุรีย์ อัษฎาธร กลุ่มไทยรุ่งเรืองกับ ชวน ชินธรรมมิตร กลุ่มกว้างสุ้นหลีในยุคที่ยังอาศัยซื้อน้ำตาลจากไทยรุ่งเรืองขายป้อนตลาดให้กับผู้ค้ารายเล็กภายหลังสรางโรงงานขึ้นผลิตแข่งสุรีย์
ชวน ชินธรรมมิตร เป็นคนจีนแต้จิ๋วเก่งด้านเก็งกำไรสูงโดยเฉพาะขอบข่ายตลาดยี่ปั๊วน้ำตาลในประเทศ
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแต้จิ๋วด้วยกัน ความฉกาจฉกรรจ์ด้านตลาดของชวนนั้นสุรีย์ถึงกับขยาดไม่อยากส่งน้ำตาลให้
และภายหลังชวนก็คิดสร้างโรงงานโดยได้ไอเดียด้านเครื่องจักรจากโรงงานของไทยรุ่งเรืองนั่นเอง
วิธีการค้าค้าน้ำตาลในตลาดของสองกลุ่มในยุคนั้นก็คือ ทำสัญญาขายน้ำตาลจำนวนที่แน่นอนกับยี่ปั๊วที่มาติดต่อ
วิธีนี้มีข้อดีคือจะได้เงินล่วงหน้ามาหมุนทำธุรกิจ ยี่ปั๊วก็รู้ว่าโรงงานมีน้ำตาลขายในจำนวนที่แน่นอน
จึงทำให้ครองตลาดได้นานที่สุดกับยี่ปั๊วเก่าๆ
แม้ตลาดภายในจะเริ่มดี แต่ฐานอุตสาหกรรมก็เป้นเพียงการเริ่มต้นที่ยังอาศัยเงินทุนเข้ามาอุดหนุนอยู่
ประกอบกับสายตาอันยาวไกลของผู้บริหารธนาคารอย่างชิน โสภณพนิช ที่ไม่มองข้าม
อุตสาหกรรมยุคบุกเบิก เขากระโดดเข้ามาร่วมกับกลุ่มไทยรุ่งเรืองอย่างเต็มที่ซึ่งการรู้จักกับชินนั้นสุรีย์คุ้นเคยตั้งแต่ชินยังเป็นเสมียณอยู่ในโรงไม้ด้วยวัยที่ไล่เลี่ยกัน
ชินอายุอ่อนกว่าสุรีย์หนึ่งปี
เงินทุนขยายโรงงานกลุ่มไทยรุ่งเรืองจึงได้จากธนาคารกรุงเทพโดยตรง พ.ศ. 2501-2502
สุรีย์ก็โดดข้ามฟากจากเขตตะวันออกศรีราชาเข้าสู่เขตตะวันตก เป็นผู้นำอุตสาหกรรมน้ำตาลลงสู่พื้นที่กายจนบุรีเป็นคนแรก
ชื่อโรงงานน้ำตาลไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรมที่อำเภอท่ามะกาปี 2501 และโรงงานน้ำตาลสหการน้ำตาลชลบุรีที่อำเภอบ้านบึงขึ้นอีกแห่งปี
2502
"เราขยายไปเมืองกาญจน์ เพราะผมไปดูสภาพว่ามันมีน้ำก็คิดว่าน่าจะทำอุตสาหกรรมน้ำขึ้นมา
ซึ่งหัวใจสำคัญต้องมีน้ำเดินไปกับคุณเจริญ แต่ก่อนถนนเป็นลูกรัง คนแถวนั้นยังไม่ใส่รองเท้า"
สุรีย์บอกถึงการพบลำน้ำแม่กลองกับ เจริญ สินธวณรงค์ เพื่อนร่วมงานที่อยู่มาด้วยจนปัจจุบัน
แม้เมืองกาญจน์จะเหมาะกับการตั้งโรงงาน แต่ก็ยังไม่มีวัตถุดิบมากนัก สุรีย์ถึงกับลงทุนออกความคิดจูงใจคนพื้นบ้านให้หันมาปลูกอ้อยป้อนโรงงานด้วยวิธีปล่อยเงินเชื่อให้นำไปลงทุนก่อนก้อนหนึ่ง
ซึ่งต่อมาเรียกกันว่าเงิน "เกี๊ยวอ้อย" จนปัจจุบัน
"ปี 2502 ใครๆ ก็อยากตั้งโรงงานหลายคนวิ่งเข้าหาผู้มีอำนาจในยุคนั้นพอดีกับรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนขึ้น"
คนเก่าแก่ของโรงงานน้ำตาลบอกถึงลางร้ายของพ่อค้าที่คิดสร้างโรงงานน้ำตาลแข่งกัน
บวกกับการส่งเสริมที่ไม่ดูความพอเหมาะพอดีของตลาดน้ำตานในยุคนั้นส่งผลให้ใน
พ.ศ. 2504 โรงงานที่รับการส่งเสริมเกิดขึ้นเป็นกอบเป็นดอกเห็ดกว่า 40 แห่ง
ซึ่งก่อนนั้นบริษัทอุตสาหกรรมน้ำตาลแห่งประเทศไทยที่มี บรรเจิด ชลวิจารณ์เป็นกรรมการผู้จัดการอยู่
ได้สั่งนำเข้าน้ำตาลจากไต้หวันถึง 260,000 กระสอบ
สุรีย์เองที่เพียงต้องการบุกทะลวงเข้าไปข้างหน้า การขยายโรงงานมาหมาดๆ โดยไม่ได้คิดว่าน้ำตาลจะล้นตลาด
ปีนั้นจึงเป็นปีที่เขาได้รับบทเรียนอย่างเจ็บปวดเป็นครั้งแรกที่ใหญ่หลวงที่สุด
กลุ่มไทยรุ่งเรืองจึงโดนวิกฤติเข้ากระแทกให้ล้มทั้งยืน เงินทุนที่ขยายโรงงานบวกกับกาารปล่อยเงินเกี๊ยวเพื่อหวังวัตถุดิบเข้าป้อนโรงงานทั้งสี่แห่งไม่ว่าจะเป็น
ร่วมกำลาภ, ศรีราชา, ไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรม และโรงงานน้ำตาลสหการน้ำตาลชลบุรีนั้นเป็นเงินนับหลายสิบล้าน
"ตลาดภายในมีทั้งการลอบนำจากฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียเข้ามา ช่วงนั้นมีการเล่นตั๋วซื้อขายล่วงหน้ากันมาก
และเจ้าสัวชินก็หนีจอมพลสฤษดิ์ไปอยู่เมืองนอกไม่มีใครคุมเกมพ่อค้า คุณชวนเขาวางแผนล่วงหน้าเหนือชั้นกว่าเถ้าแก่หลินมากทีเดียว
ยิ่งตลาดกำลังปั่นป่วนแกยิ่งทำกำไรมาก ขณะที่ไทยรุ่งเรืองยุ่งกับการขยายโรงงานก็ตามไม่ทัน
วิธีการปั่นราคาขึ้นไปแล้วปล่อยให้ทิ้งดิ่งลงมาทำให้ไทยรุ่งเรืองปีนั้นเกือบล้มพับฐานไป
ใครๆ ก็คิดว่าเสร็จแน่ไม่มีฟื้น" อดีตยี่ปั๊วน้ำตาลแถวเมืองกาญจน์เล่าถึงการรบในตลาดระหว่าง
"ชวน" กับ "สุรีย์" ขณะกำลังโดนมรสุมซึ่งใครๆ เรียกเขาสั้นๆ
ว่า "เถ้าแก่หลิ่น"
ปัญหาของไทยรุ่งเรืองครั้งนั้นทำให้ สุวัฒน์ อัษฎาธร ได้รับรู้ถึงรสชาติของความยากลำบากที่กว่าจะมาเป็นไทยรุ่งเรืองในวันนี้มากพอควร
ซึ่งเขาต้องนั่งบนโรงพักคอยรับแจ้งความเกี่ยวกับปัญหาเช็ค คงเป็นเพราะการเป็นลูกชายคนโตที่ผ่านการเจ็บปวด
เขาจึงได้รับการวางใจจากสุรีย์ผู้พ่อในปัจจุบันที่จะรับช่วงภาระเป็นหัวเรือของกลุ่มไทยรุ่งเรืองต่อไป
การทรุดอย่างกระทันหันครั้งนั้นเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับอุตสาหกรรมยุคเริ่มต้นในสมัยที่แบงก์ดูโหงวเฮ้งลูกค้าก่อนปล่อยสินเชื่อ
โดยเฉพาะลูกหนี้รายใหญ่แล้วนั้นหมายถึงหนี้สูญของธนาคารกรุงเทพจะมากขึ้น
โรงงานจึงถูกเข้าควบคุมบริหารงานโดยธนาคารกรุงเทพแทนตระกูล "อัษฎาธร"
ครั้งนั้นเองที่ ประสิทธ์ กาญจนวัฒน์ ต้องเข้าไปนั่งเป็นกรรมการบริหารด้วย
วิกฤติเกิดขึ้นกับจังหวะที่ชิน โสภณพนิช กำลังหนีภัยการเมืองเตร็ดเตร่ไปทั่วย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สุรีย์ต้องรับภาระหนักในการแก้ปัญหาด้านการเงินโดยเฉพาะการซ่อมบำรุงเครื่องจักร
ขณะนั้นเขาถูกร้านขายเหล็กหลายแห่งปฏิเสธให้การช่วยเหลือ กระทั่งได้รับความเห็นใจจากเชื้อ
มั่นคงเจริญ พ่อค้าร้านเหล็กย่านโอเดี้ยนแถวเดียวกับออฟฟิศบริษัทน้ำตาลทรายศรีราชาของสุรียืตั้งอยู่
บุญคุณของคน "มั่นคงเจริญ" คราวนั้นเขาทดแทนโดยให้เป็นหุ้นส่วนมาจนถึงรุ่นลูกอย่าง
ทินกร มั่นคงเจริญ ปัจจุบันเป็นรองผู้จัดการโรงงานน้ำตาลไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรม
"การสร้างโรงงานสมัยก่อนก็ใช้แบงก์กรุงเทพ แบงก์อื่นเขาไม่รู้จักเราดีแบงก์กรุงเทพเอาเท่า
ไหร่เขาก็ให้ ปีที่เรามีปัญหาคุณชินไม่อยู่เราปล่อยเงินเกี๊ยวออกไปเป็นจำนวนมากแต่ไม่ได้กลับคืนมา
ธนาคารเข้ามาควบคุมเราบอกคุณเอาไปเลย หลังคุณชินกลับมา เขาบอกเราเป็นนักอุตสาหกรรมต้องให้เราทำต่อ"
เถ้าแก่หลิ่นเล่าถึงอดีตที่ล้มลงและได้รับการผ่อนปรนจาก ชิน โสภณพนิช โดยคืนโรงงานให้สุรีย์เข้าดำเนินการต่อ
บุญคุณครั้งนั้นเขายังจดจำได้ดี แม้การล้มป่วยครั้งล่าสุดก็เข้าเยี่ยมชินถึงโรงพยาบาล
หลังตระกูลอัษฎาธรเข้าบริหารงานอีกครั้ง กลุ่มไทยรุ่งเรืองก็ได้ สนิท ทองวานิชมือบริหารด้านบัญชีจากธนาคารกรุงเทพเข้าช่วยอีกคนโดยการขอร้องจากสุรีย์
ซึ่งชินเองก็ไม่ขัดข้อง สนิทจึงเป็นกุนซือคนสำคัญของกลุ่มไทยรุ่งเรืองที่ร่วมงานกับ
วิสิทธ์ สุจริตวงศานนท์ เลขาฯสุรีย์ที่ใครๆ บอกว่าเขาทำงานด้านมวลชนกับชาวไร่ได้เป็นอย่างดีความจำของวิสิทธ์ชาวไร่คนไหนรับเงินเกี๊ยวจากโรงงานไปแล้วคนๆ
นี่จำหน้าได้หมด
และการได้รับการช่วยเหลือจากชิน โสภณพนิช ครั้งนั้นนั่นเองที่ทำให้ สุรีย์
อัษฎาธร ต่อสายป่านทางการค้าถึง มร.โรเบิร์ต ก๊วก (เจ้าของก๊วก บราเธอร์บริษัทคอมโมดิตี้ที่ใหญ่ที่สุดทั้งในมาเลย์และสิงคโปร์)
การล้มลงก่อนหน้านั้นเขาลุกขึ้นมายืนได้พร้อมสายสัมพันธ์อันยาวไกลออกไปที่ยากจะหาใครโชคดีเช่นสุรีย์
"เจ้าสัวชินหนีจอมพลสฤษดิ์หลบไปอยู่ทั้งใน ฮ่องกง, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์,
มาเลเซีย, มาเก๊า และฟิลิปปินส์ ที่สิงคโปร์เจ้าสัวได้พบกับโรเบิร์ต ก๊วก
ตอนนั้นเขาเป็นเจ้าของโรงงานน้ำตาลเล็กๆ ใน ปีนัง มีการค้าคอมโมดิตี้ทั้งในมาเลย์และสิงคโปร์
เจ้าสัวหนีเรื่องการเมือง ก๊วกเองก็วิกฤติเรื่องเงิน และ ก๊วกก็ได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าสัวชิน"
อดีตพนักงานเก่าแก่แบงก์กรุงเทพที่ใกล้ชิดกลุ่มไทยรุ่งเรืองเล่าให้ฟัง
กล่าวกันว่าการช่วยเหลือของชินต่อก๊วกครั้งนั้น มีผลต่อการค้าของก๊วกมากถึงขนาดก๊วกได้รับเชิญให้เข้าแข่งขันตำแหน่งกรรมการน้ำตาลระหว่างประเทศ
และเขาได้ที่นั่งทันทีในฐานะคนเอเชียคนแรกเขาจึงมีโอกาสรู้ความเคลื่อนไหวของตลาดโลกและสร้างอำนาจในการต่อรองธุรกิจได้มาทีเดียว
"ความสัมพันธ์สายตรงระหว่างก๊วกกับชินตรงนี้เองที่โยงมาถึงเถ้าแก่หลิ่นตอนหลัง
เถ้าแก่หลิ่นก็ได้ไปเป้นช่างวางแปลนโรงงานน้ำตาลให้กับก๊วกในอินโดนีเซีย
เป็นโรงงานของซูฮาโตด้วย" อดีตพนักงานแบงก์คนเดิมกล่าวต่อถึงสายสัมพันธ์ของชินที่ผลักดันให้ประธานกลุ่มไทยรุ่งเรืองเข้า
ถึงมร.โรเบิร์ต ก๊วก ซึ่งภายหลังได้มีส่วนเข้ามาพลิกฟื้นฐานะไทยรุ่งเรืองเข้าเป็นหุ้นส่วนในโรงงานน้ำตาลไทยเพิ่มพูล
(โรงหนึ่งในเครือไทยรุ่งเรืองจนปัจจุบัน)
สายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งนี้ สุรีย์ อัษฎาธรบอกว่าเขาเริ่มต้นให้ความซื่อสัตย์ทางการค้ากับ
มร.โรเบิร์ต ก๊วก ขนาดที่มีการติดต่อซื้อขายน้ำตาลเป็นจำนวนนับล้านกระสอบกับกลุ่มไทยรุ่งเรืองโดยที่ก๊วกไม่ต้องออกแรงเซ็นสัญญา
"รับปากขายให้เขาล้านกระสอบพอเรือมารับเราก็ส่งให้ ถ้าเป็นคนอื่นไม่ให้ก็ได้เพราะสัญญาก็ยังไม่ได้เซ็น
เราถือคำพูดสำคัญรับปากแล้วต้องให้เขา ได้กำไรก็ดีใจ มาติดต่อเราเรื่อยๆ
อย่างนี้ต่อไปการค้าก็เชื่อใจกัน ทำโรงแรมเขาก็มาเชิญ ถือว่าเราคือคนไทย
เขาก็ชำนาญ เป็นความคิดของก๊วกเอง ชวนทำอย่างอื่นเราไม่ทำงานเราเยอะ"
สุรีย์เผยถึงความสัมพันธ์ทางการค้ากับราชาคอมโมดิตี้ ซึ่งเขาต้องควักกระเป๋าเป็นเงินกว่า
200 ล้านบาทร่วมทุนสร้าง แชงกี-ลา อินเตอร์เนชั่นแนล สาขากรุงเทพฯ เมื่อถูกก๊วกชวนทำโรงแรมระดับนำ
ซึ่งเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2528 ที่ผ่านมา
การช่วยเหลือจาก เชื้อ มั่นคงเจริญและชิน โสภณพนิช นั้น นอกจากจะเกิดทุนและบุคลากรระดับมันสมองแล้ว
มร.โรเบิร์ต ก๊วก ก็ยังให้ความรู้การค้าน้ำตาลในตลาดโลกช่วยทำให้หูตาของคนชื่อสุรีย์มองตลาดกว้างไกลมากยิ่งขึ้น
สำหรับอุตสาหกรรมน้ำตาลที่ระยะแรกอาศัยตลาดเพียงภายในประเทศซึ่งในยุคนั้นเจ้าของโรงงานน้ำตาลน้อยคนนักที่จะมีโอกาสอย่างเขา
มันเป็นจังหวะเดียวกับก่อนหน้านั้นไทยรุ่งเรืองเข้าไปถือหุ้นในบริษัททส่งออกที่ชื่ออุตสาหกรรมน้ำตาลแห่งประเทศไทย
จำกัด ที่ บรรเจิด ชลวิจารณ์ เป็นกรรมการผู้จัดการอยู่ หลังบรรเจิดเข้ามาน้ำตาลไทยที่ล้นตลาดภายในจากปี
2503-2504 บรรเจิดเปิดขายน้ำตาลให้กับต่างประเทศในปี 2505-2526 ทั้งบริษัทมารูเบนีและมิตซุยของญี่ปุ่นรับซื้อไปทั้งสิ้น
75,000 ตัน
หมากการค้าที่สอดคล้องต้องกัน ได้สะท้อนให้เห็นถึงสายตาที่แหลมคมของพ่อค้าอย่างสุรีย์ที่เข้าไปถือหุ้นอยู่ในบริษัทแห่งนี้แม่ยุคแรกที่บริหารงานโดยกลุ่มซอยราชครูนั้นจะไม่ค่อยได้ส่งน้ำตาลออกมากนัก
แต่ไม่ถึง 5ปีดีนักหลังจากที่จอมพลสฤษดิ์เข้ายึดอำนาจก็เป็นการอยู่อย่างถาวรของ
บรรเจิด ชลวิจารณ์ และ โอสถ โกสิน (รัฐมนตรีอุตสาหกรรม) ที่เข้านั่งเป็นประธานบริษัทสุรีย์ก็ใกล้ชิดกับคนทั้งสองในภายหลังได้เป็นสายป่านทางการเมืองต่อจากจอมพลสฤษดิ์งยุคจอมพลถนอม-ประภาส
"เขาฟื้นขึ้นมาอีกในฤดูการผลิตปี 06/07 น้ำตาลปีนั้นราคาภายในประเทศกระสอบละ
400 บาท ขณะซื้ออ้อย 110-120 บาท/ตัน โรงงานที่ฟลุ๊คอยู่กันตลาดภายในก็พอแล้ว
เขามีทั้งคุณสนิทและคุณเชื้อที่เครดิตดีมากเข้ามาช่วย ปีนั้นปีเดียวคือทุนแถมยังมีกำไรด้วย
หลังจากนั้นกลุ่มไทยรุ่งเรืองนี่เรียกว่าโตไม่หยุดตลอดมาเลยปัจจุบัน"
คนปลูกอ้อยแถวเมืองกาญจน์เล่าถึงราคารับซื้ออ้อยในยุคนั้นที่แล้วความพอใจของฝ่ายโรงงาน
และปี พ.ศ. 2506 นั้นเองที่กลุ่มไทยรุ่งเรืองย้ายโรงงานน้ำตาลร่วมกำลาภจากบางกะปิมาที่เมืองกาญจน์อีก
กล่าวว่าครั้งสุรีย์ลงทุนสร้างเครื่องจักรใหม่หมดทั้งสิ้นเป็นเงินกว่า 20
ล้านบาทเวลานั้นจึงเป็นเวลาที่ไทยรุ่งเรืองพุ่งขึ้นมาตั้งหลักด้วยฐานที่แน่นหนา
ขณะที่กลุ่มกว้างสุ้นหลีของชวน ชินธรรมมิตร ที่ก่อนนั้นไม่มีอุปสรรคใดๆ ก็ขยับตัวมาติดๆ
พร้อมกลุ่มโรงงานที่เกิดขึ้นไล่หลังมา ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง วิเทศ ว่องวัฒนสิน,
พี ผาณิตพิเชฐวงศ์ และ กมล ว่องกุศลกิจ ได้ร่วมจับมือกันตั้งห้างหุ้นส่วนมิตรผลขึ้นมา
(ภายหลังกลุ่มนี้แยกตัวออกเป็นกลุ่มบ้านโป่งของ วิบูลย์ ผาณิตวงศ์ กลุ่มมิตรเกษตรของ
วิเทศ ว่องวัฒนสิน และโรงงานมิตรผลเป็นโรงงานของตระกูล ว่องกุศลกิจ)
อุตสาหกรรมน้ำตาลในยุคนั้นก็โตขึ้นมากับบรรยากาศที่รัฐบาลส่งเสริมขณะนั้นมีโรงงานน้ำตาลเกิดขึ้นถึง
41 โรง วันที่ 18 พ.ย. 2507 ไทยรุ่งเรืองกรุ๊ปก็เป็นผู้นำโรงงานทั้งหมดจัดตั้งเป็นสมาคมน้ำตาลไทย
วัตถุประสงค์เพื่อให้บริการแก่สมาชิกโรงงานด้วยกัน รวมถึงกับงานที่ต้องติดต่อกับราชการโดยตรงมีนายกสมาคมชื่อ
สุรีย์ อัษฎาธร
การเกิดสมาคมขึ้นครั้งนั้นนับเป็นการรวมตัวของโรงงานน้ำตาลที่จะปกป้องผลประโยชน์ตนเองโดยตรง
ขณะที่ตลาดต่างประเทศกำลังบุกเบิกโดยบริษัทอุตสาหกรรมน้ำตาลแห่งประเทศไทย
"ตลาดต่างประเทศช่วงนั้นน้อยคนที่จะรู้ถึงความเคลื่อนไหว แม้โรงงานด้วยกันไม่กี่คน
ส่วนมากเป็นการแข่งขันกันในประเทศมากกว่า ยิ่งชาวไร่ไม่รู้เรื่องไม่มีใครออกมาเดินขบวนหรอก"
ผู้ค้าน้ำตาลคนหนึ่งบอกถึงธุรกิจอ้อยและน้ำตาลในขณะนั้นที่ไม่ค่อยมีปัญหากันมากนัก
ปี 2510 และ 2513 ไทยรุ่งเรืองก็สร้างโรงงานน้ำตาลกรุงไทย โรงงานน้ำตาลไทยร่วมเจริญและโรงงานอุตสาหกรรมน้ำตาลกาญจนบุรีขึ้นอีกสามแห่งในอำเภอท่ามะกา
ปริมาณน้ำตาลภายในประเทศจากปี 2510 ล้นสต๊อกมาถึงปี 2513 แต่ภาคีน้ำตาลโลกกลับไม่อนุญาตให้นำออกขายน้ำตาลภายในเหลือถึง
2 ล้านกระสอบ บรรเจิด ชลวิจารณ์ ผู้จัดการบริษัทส่งออกขณะนั้นถึงกับคิดหาทางออกโดยการนำไปทิ้งทะเล
จนที่สุดจอมพลถนอม กิตติขจร ก็เปิดไฟเขียวให้ไทยลาออกจากภาคีน้ำตาลโลกนำน้ำตาลออกขายให้กับโอเปอร์เรเตอร์ค้าน้ำตาลในตลาดลอนดอน
หลังจากนั้นมาตลาดน้ำตาลไทยก็บูมมาตลอดจนกลายเป็นความภูมใจของบรรเจิดเอง
"น้ำตาลที่ล้นตลาดตอนนั้น โรงงานก็แข่งขันกันสูง ต่างคนก็ต่างพยายามรักษาตัวรอด
โรงงานหลายแห่ง โดยเฉพาะกลุ่มโรงงานน้ำตาลธนบุรีเขาต้องการที่จะมีบทบาทในตลาดส่งออกให้มากขึ้น"
คนในวงการน้ำตาลคนหนึ่งเล่าถึงบรรยากาศในสมาคมโรงงานน้ำตาลไทยที่เริ่มจะขุ่นมัว
ในที่สุด พ.ศ. 2514 กลุ่มโรงงานน้ำตาลธนบุรีของ ชวน ชินธรรมมิตร (ที่ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นธนราช)
ก็ร่วมกับ ศิริชัย เหลียงกอบกิจ เจ้าของโรงงานน้ำตาลทรายเพชรฯจับมือกับกลุ่มมิตรผลซึ่งขณะนั้นมีมือบริหารที่เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่อย่าง
วิบูลย์ ผาณิตวงศ์ จบปริญญาโทรการเกษตรจากสหรัฐฯพร้อมกับ วิฑูรย์ ว่องกุศลกิจ
จบเภสัชจากจุฬาฯเข้าร่วมเป็นแรงกับ วิเทศ ว่องวัฒนะสิน, พี ผาณิตพิเชฐวงศ์
และกมล ว่องกุศลกิจ รุ่นพี่ซึ่งบุกเบิกงานอยู่ก่อนแล้วแยกัวออกมาตั้งสมาคมการค้าผู้ผลิตน้ำตาลไทย
(กลายเป็นกลุ่มโรงงานที่ทีกำลังการผลิตสูงถึง 60% ของโรงงานน้ำตาลทั้งประเทศ
ต่อมาถูกเรียกว่ากลุ่ม 60 โดยมียงศิลป เรืองศุข เป็นนายกสมาคม)
การแยกตัวของโรงงานที่มีสมาคมสองแห่งคราวนั้น ทำให้โรงงานน้ำตาลไทยที่สุรีย์
อัษฎาธร นั่งเป็นนายกสมาคมอยู่กลายเป็นกลุ่มที่มีกำลังการผลิตเหลือเพียง
40 เปอร์เซ็นของการผลิตทั้งประเทศ จึงถูกเรียกว่ากลุ่ม 40 นับแต่นั้นมา
ในปี 2516 สุรีย์ อัษฎาธรก็สร้างโรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์พร้อมกับมร.โรเบิร์ต
ก๊วกสร้างโรงงานน้ำตาลไทยเพิ่มพูนขึ้นที่กาญจนบุรี
"โรงงานทั้งสองกลุ่มต่างก็แข็งพอๆ กันกลุ่ม 40 จะมั่นคงกว่าก็ตรงที่ไทยรุ่งเรืองกุมสายป่านทางการเมืองได้มากกว่า
แต่ก็มีจุดอ่อนตรงที่เป็นการบริหารของคนรุ่นเก่าขณะกลุ่ม 60 มีคนรุ่นใหม่เข้ามารุกทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องและรู้การเดินเกมมากขึ้น
เขามองว่าบริษัทอุตสาหกรรมน้ำตาลแห่งประเทศไทยเป็นเสือนอนกิน" ยี่ปั๊วเก่าแก่แถวเมืองกาญจน์เล่าถึงผลประโยชน์อุตสาหกรรมน้ำตาลในยุคนั้นที่โรงงานต่างก็จะเข้ามารับส่วนแบ่งให้มากที่สุด
ประจวบกับช่วงนั้นความขัดแย้งเรื่องการบริหารงานในบริษัทอุตสาหกรรมน้ำตาลแห่งประเทศไทยระหว่างบรรเจิด
ชลวิจารณ์กรรมการผู้จัดการและชลอ สัมพันธารักษ์ก็ปะทุขึ้น ซึ่งฝ่ายชลอมองว่าสัญญาขายน้ำตาลต่างประเทสที่บรรเจิดทำนั้นฝ่ายไทยเสียเปรียบ
ครั้งนั้นถึงกับชลอ สัมพันธารักษ์ออกมาสนับสนุนสมาคมการค้าผู้ผลิตน้ำตาลไทยร้องขอจัดตั้งบริษัทส่งออกเป็นแห่งที่สองและการร้องเรียกก็มีวิบูลย์
ผาณิตวงศ์เข้ามาร่วมงานอย่างเต็มที่พร้อมด้วยอำนวย ปะติเส, นักวิชาการที่เป็นคนของวิเทศ
ว่องวัฒนะสิน
ชลอ สัมพันธารักษ์คนเก่าแก่ที่เข้าใจการค้าต่างประเทสมาก่อนวางแผนผลักดันให้
ยงศิลป เรืองศุข, เสนอเรื่องเข้าหารัฐบาลขณะนั้นที่ค่อนข้างจะรับฟังความเห็นของเอกชน
สมาคมการค้าผู้ผลิตน้ำตาลไทยจึงได้รับอนุมัติให้ตั้งบริษัทค้าผลผลิตน้ำตาลจำกัดเป้นบริษัทส่งออก
ทำให้คนหนุ่มอย่าง วิบูลย์ ต้องเข้านั่งเป็นกรรมการผู้จัดการมีชลอ สัมพันธารักษ์เป็นกรรมการผู้จัดการและยงศิลป
เรืองศุขเป็นประธานบริษัทค้าผลผลิตน้ำตาลจำกัด
พ.ศ.2519 กลุ่มไทยรุ่งเรืองก็สร้างอาคารสำนักงานใหญ่ถาวรที่เรียกว่าบริษัทไทยรวมทุนคลังสินค้า
เป็นที่ทำการมาจนปัจจุบันพร้อมกับโรงงานน้ำตาลไทยอุตสาหกรรมซึ่งเป็นโรงสุดท้ายในเครือ
บริษัทส่งออกทั้งสองแห่งไม่ว่าจะเป้นบริษัทอุตสาหกรรมน้ำตาลแห่งประเทศไทยและบริษัทค้าผลผลิตน้ำตาลจำกัด
ต่างชิงดีหักล้างกันกับตลาดต่างประเทศถึงกับมีการประมูลขายน้ำตาลซ้อนในวันเดียวกัน
ส่งผลให้ราคาน้ำตาลต่ำเสียเปรียบต่างประเทศ
การแข่งขันที่เกินขอบเขตถึงกับยุ่งยากในการควบคุมบริษัทส่งออกทั้งสองแห่งถึงกับ
เกษม จาติกวณิช รัฐมนตรีกระทรววงอุตสากรรมเสนอคณะรัฐมนตรีให้พิจารณาที่บริษัทส่งออก
ทั้งสองมีนโยบายแตกต่างกันที่คัดค้านและสนับสนุนการเข้าเป็นภาคีองค์การน้ำตาลระหว่างประเทศจนรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์
ชมะนันท์ มีนโยบายไม่ให้เพิ่มบริษัทส่งออกขึ้นมาอีก
พ.ศ.2523 รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ก็เกิดภาวะขาดแคลนน้ำตาลทั้งประเทศ
บุญชู โรจนเสถียรรองนายกฝ่ายเศรษฐกิจและตามใจ ขำภโตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ต้องแก้ปัญหาด้วยการแลกเปลี่ยนน้ำตาลกับบริษัทแทรดแอนด์ไลน์และเคอร์รี่เทรดดิ้งถึง
2 ล้านกระสอบ
"โรงงานพากันกักตุนน้ำตาลเก็งตลาดลอบส่งออกต่างประเทศ ช่วงนั้นราคาสูงจริงๆ"
พ่อค้าน้ำตาลเก่าคนหนึ่งบอกถึงการลอบส่งออกน้ำตาลโดยเปิดแอล/ซีเป็นสัญญาขายจากปีที่ผ่านมาในราคาที่ต่ำไว้เพื่อแก้ปัญหานำน้ำตาลลงเรือขณะรัฐบาลห้ามส่งออก
"รัฐบาลเองก็ปล่อยข่าวว่าจะนำน้ำตาลเข้ามาร่วมทุนตลาดเพื่อให้มีการปล่อยน้ำตาลออกตลาด
แต่ก็ไม่ได้ผล" พ่อค้าคนเดิมกล่าวถึงการที่รัฐบาลพยายามที่แก้เคล็ดพ่อค้า
ในที่สุดวันที่ 15 สิงหาคม 2523 ดนัย ดุละลัมพะ อธิบดีกรมการค้าภายในขณะนั้นก็ปฏิบัติการแจ้งข้อหาจับกุมผู้จัดการโรงงานน้ำตาล
8 แห่งซึ่งส่วนใหญ่สังกัด "สมาคมการค้าผู้ผลิตน้ำตาลไทย" หรือเรียกกลุ่ม
60 ทั้งวิบูลย์ ว่องกุศลกิจ (โรงงานน้ำตาลมิตรเกษตรและน้ำตาลไทย) วิบูลย์
ผาณิตวงศ์ (โรงงานน้ำตาลบ้านโป่ง) ศิริชัย เหลียงกอบกิจ (โรงงานน้ำตาลสหไทยรุ่งเรือง)
สลิลทิพย์ ธารวณิชกุล (โรงงานน้ำตาลราชบุรีอุตสาหกรรม) เกียรติ วัธนเวคิน
(โรงงานน้ำตาลตะวันออก) และผานิต ชีวมงคล (โรงงานรวมผลอุตสาหกรรมนครสวรรค์)
"เจ้าของโรงงานที่โดนออกหมายจับต่างหนีหลบเข้าไปอยู่ในบ้านคุณสุนทร"
พ่อค้าคนเดิมกล่าวถึงสุนทร โภคาชัยพัฒน์ที่ปรึกษากฎหมายสมาคมการค้าผู้ผลิตน้ำตาลไทยซึ่งวิเทศ
ว่องวัฒนะสิน ดึงตัวเข้ามาช่วยงาน โดยเฉพาะการตรวจชำระบัญชีภาษีแล้วเขาไดรับการเชื่อถือในกลุ่มร้านค้าย่านสำเพ้ง
จึงเป็นหน้าที่อีกอย่างของสุนทรที่ต้องทำให้กลุ่มโรงงาน 60
ภายหลังนั้นมา สุนทร โภคาชัยพัฒน์มีบทบาทถึงกับเป็นผู้ตรวจร่างพ.ร.บ.แบ่งปันผลประโยชน์
70/30 ที่เสนอผ่าน จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา โดยคนโรงงานกลุ่ม 60 ไม่ว่าจะเป็น
อำนวย ปะติเสนักวิชาการโรงงานมิตรเกษตรของวิเทศ ว่องวัฒนะสินร่วมกับประสาน
โอภาส-ปกรณ์กิจเลขาธิการสหพันธ์ชชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทยซึ่งเป้นแรงสนับสนุนขณะนั้น
บทบาททั้งสุนทร, อำนวยและประสานล้วนเป้นแรงผลักดันให้จิรายุรัฐมนตรีที่รับผิดชอบนโยบายอ้อยและน้ำตาลเห็นด้วยให้การช่วยอย่างเต็มที่
กระทั่งกลุ่มไทยรุ่งเรืองด้องจับมือกับ ยงยุทธ ตันติพิริยะกุลหรือที่ใครๆ
แถวอำเภอท่าเรือเรียกว่าผู้ใหญ่ยุทธผู้นำชาวไร่อีกปีกหนึ่งผนึกกำลังกลุ่มหนุ่มสาวท่าเรือที่เรียกว่า
ยังเติร์กออกมาคัดค้านพ.ร.บ.ฉบับนั้น จนนำเข้าสู่สภาและตั้งกรรมาธิการร่างออกมาใหม่
ต่อมาสุนทรก็ประกาศลาออกจากวงการอุตสาหกรรมทุกตำแหน่งภายหลังที่สูญเสียประสาน
โอภาสปกรณ์กิจในปี 2527 จนกระทั่งกลุ่มโรงงานมิตรเกษตรของวิเทศ ว่องวัฒนะสิน
ล้มลง สุนทรก็เข้าเป็นทนายให้กับธนาคารมหานครฟ้องเรียกหนี้สินจนวิเทศเองก็แทบกระอัก
ผลจากการขาดแคลน คนต้องกินน้ำตาลแพงถึงกก.ละ 25 บาท ราคาอ้อยที่ชาวไร่ได้รับสูงถึง
650บาท/ตัน ปีรุ่งขึ้นอ้อยก็ขึ้นถึง 30 ล้านตันพร้อมๆ กับการตกต่ำของราคาอ้อยในตลาดโลก
ขณะไทยเหลือโควต้าส่งออกจากภาคีน้ำตาลเพียง 1.12 ล้านตัน แต่ผลผลิตน้ำตาลทรายมี
2.6 ล้านตัน
เดือนเมษายน พ.ศ.2524 ก็มีการปรับปรุงคณะรัฐมนตรีพร้อมการเข้ามาสรับผิดชอบนโยบายอ้อยและน้ำตาลลของรัฐมนตรีช่วยกระทรวงอุตสาหกรรมจิรายุ
อิศรางกูร ณ อยุธยา งานแรกที่จิรายุผลักดันขึ้นมาก็คือสำนักงานกลางจัดจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวภายในประเทศ
มีสุนทร โภคาชัยพัฒน์เป็นกรรมการผู้จัดการและอำนวย ปะติเสเป็นผู้ช่วยจัดการพร้อมด้วยประสาน
โอภาสปกรณ์กิจรองประธานกรรมการ
ในสำนักงานกลางครั้งนั้น กลุ่มไทยรุ่งเรืองมีเพียงสุวัฒน์ อัษฎาธรที่เข้าไปเป็นกรรมการร่วมกล่าวกับ
การเกิดสำนักงานกลางทั้งประสานและสุนทรมีส่วนร่วมกันมากทีเดียว หลังปี 2528
อบ วสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมก็สั่งยุบสำนักงานกลางแห่งนี้
มีการสอบสวนการใช้จ่ายเงินของผู้บริหารซึ่งทั้ง โภคาชัยพัฒน์และอำนวย ปะติเสตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาจนปัจจุบัน
"ไม่ว่าจะเป็นการเกิดสำนักงานกลางและจุดเริ่มระบบแบ่งปันผลประโยชน์
70/30 ล้วนเป็นการที่ทั้งประสาน, อำนวยและสุนทรได้เข้าไปใกล้ชิดกับรัฐมนตรีจิรายุทั้งนั้น"
อดีตข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรมบอกถึงการเปิดเกมของกลุ่มโรงงานสมาคมการค้าผู้ผลิตน้ำตาลไทยที่นำหน้ารุกฝ่ายไทยรุ่งเรือง
กลุ่มไทยรุ่งเรืองเป็นฝ่ายรับ ขณะกลุ่ม 60 มีทั้งนักวิชาการอย่างอำนวย ปะติเส,
ดร.พิชัย คณิตวิชาภรณ์ ซึ่งทั้งสองคนนี้เป็นคนของวิเทศ ว่องวัฒนะสินและนักกฎหมายอย่างสุนทรที่มีประสานผู้นำชาวไร่มีตำแหน่งเป็นเลขาธิการสหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทยขณะนั้นร่วมผนึกอยู่
ประสานเป็นคนท่าเรือที่ร่วมก่อตั้งสมาคมกลุ่มชาวไร่อ้อยเขต 7 กับมงคล กีพานิชนายกสมาคมยุคแรก
ประสานเคยเป็นผู้จัดการโรงงานน้ำตาลไทยอุตสาหกรรมของกลุ่มไทยรุ่งเรืองกล่าวว่า
เหตุที่ต้องออกมาเพราะเกี่ยวกับผลประโยชน์ในโรงงานแห่งนั้นซึ่งประสานผูกใจเจ็บเอากับกลุ่มไทยรุ่งเรืองเอามาก
ๆ
ที่สุดไทยรุ่งเรืองตอบโต้ด้วยวิธีการประกาศขายโรงงานน้ำตาลในเครือทั้งหมดทางหน้าหนังสือพิมพ์
ซึ่งเรื่องนี้สุรีย์ อัษฎาธรบอกว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการกู้เงิน 78 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
เข้ามาตามนโยบายรักษาเสถียรภาพอุตสาหกรรมน้ำตาลขณะนั้นที่ทั้งโรงงานและชาวไร่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
"สิ่งที่ไทยรุ่งเรืองแสดงออกมาช่วงนั้นก็คือตัดสินใจขายโรงงานทิ้งโดยไม่ไยดี
เถ้าแก่หลิ่นตัดสินใจลาวงการอย่างเด็ดขาด เถ้าแก่เนี้ยเสียใจเครียดมากถึงกับดวงตาพิการ
คุณชนิดาต้องหาทางออกด้วยการเข้าวัดนั่งวิปัสนา ไทยรุ่งเรืองยุคนั้นมอไม่ออกว่าอนาคตจะไปทางไหน
ใครเป็นผู้นำกลุ่ม" คนเก่าแก่วงกาน้ำตาลเล่าถึงยุคที่ไทยรุ่งเรืองตกต่ำกระทั่งอารีย์ภรรยาคนแรกของสุรีย์ต้องดวงตาพิการ
กลุ่มโรงงานสมาคมการค้าผู้ผลลิตน้ำตาลไทย (กลุ่ม 60) เรียนรู้การเดินเกมได้รวดเร็วไล่ต้อนเอาฝ่ายกลุ่มโรงงาน
40 ที่มีไทยรุ่งเรืองเป็นหลักถอยร่นจนมุมอับเสียจริงๆ และเวลานี้เองที่กลุ่มไทยรุ่งเรืองต้องสูญเสียคนสำคัญอย่าง
วิสิทธิ์ สุจริตวงศานนท์ เลขาคู่ใจของสุรีย์ไปจากการลอบสังหาร
"มันเป็นสัญลักษณ์ของความเถื่อนที่มีอยู่ในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอ้อยที่ต้องสูญเสียเลือดเนื้อกันในยุคทมิฬที่เคยมีมาแล้ว"
ผู้รู้เรื่องคนหนึ่งกล่าวถึงลักษณะที่ด้อยพัฒนาในการต่อสู้ทางการค้า
ยุคข้อต่อในการเปลี่ยนแปลงระบบอุตสาหกรรมน้ำตาลไทยรุ่งเรืองกรุ๊ปจึงรับเอาบทเรียนที่เจ็บปวดเป็นครั้งที่สองจากการล้มลงใน
พ.ศ.2504 การสรุปบทเรียนกับอุตสาหกรมที่เริ่มมีเกมในเชิงซ้อนมากขึ้นนี้เอง
ต่อมากลุ่มไทยรุ่งเรืองได้พลิกตำราโดยใช้พลังชาวไร่อีกปีหนึ่งตอบโต้คู่แข่งจนเสียหละกยับเยินไปเหมือนกัน
"ช่องโหว่ของระบบ 70/30 ที่ยังเป็นปัญหาจนปัจจุบันก็คือ การขาดเอกภาพในองค์กรชาวไร่อ้อย
ซึ่งกลายเป็นที่แสวงหาประโยชน์ของผู้นำระดับหัวหน้าโควต้าบางคนที่มีผลประโยชน์อยู่กับโรงงาน
บางครั้งก็เอาประโยชน์เล็กน้อยที่จะทำได้" อดีตผู้นำชาวไร่บอก
กลุ่มไทยรุ่งเรืองเองก็เข้าใจในความเปราะบางของฝ่ายชาวไร่ด้วยการเสนอเงื่อนไขเป็นที่พอใจมาตลอดด้วยการเพิ่มราคาอ้อยสูงกว่าราคาที่ตกลงกัน
ประกอบกับพลเอกไพจิตร สมสุวรรณได้ออกมาแสดงบทบาทในฐานะตัวแทนไทยรุ่งเรืองภายหลังที่เกษียณจากตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก
นับว่าครั้งนี้มีกุนซือที่เป็นทหารโดยตรงเข้ามาร่วมงาน
และงานแรกที่พลเอกไพจิตรเริ่มเคลื่อนไหว คือบทบาทของกลุ่มโรงงานค้าผลผลิตและรัฐมนตรีจิรายุต่อระบบแบ่งปันผลประโยชน์
ว่าไม่สามารถทำให้ชาวไร่อ้อยมีชีวิตที่ดีขึ้นนับมีผลสูงมากทีเดียว เป็นการพลิกสถานการณ์
โดยเฉพาะไทยรุ่งเรืองใช้ยุทธวิธีด้วยการเพิ่มราคาอ้อยให้กับชาวไร่เป็นเงินสดทันทีซึ่งโรงงานอื่นไม่มีใครทำได้
ช่วงเวลานี้นี่เองที่ไทยรุ่งเรืองเริ่มตั้งตัวได้ จังหวะที่ราคาน้ำตาลในตลาดโลกที่ตกต่ำลงมาตลอด
ซึ่งมีผลต่อการตั้งหลักพื้นฐานของไทยรุ่งเรืองขึ้นมาเป็นฝ่ายนำขณะโรงงานอื่นๆ
เริ่มอ่อนแรงเพราะปัญหาการเงินกับธนาคารเจ้าหนี้บวกกับเงินทุนจากการประกาศขายโรงงานของกลุ่มไทยรุ่งเรือง
ก่อนหน้านั้น ซึ่งวิบูลย์ ผาณิตวงศ์ เข้าซื้อทั้งโรงงานน้ำตาลไทย และร่วมกำลาภอันเป็นโรงงานเถ้าแก่โรงแรกในเครือไทยรุ่งเรืองไป
สถานการณ์ที่กลับมาครั้งนั้นทำให้ไทยรุ่งเรืองกรุ๊ปเริ่มดำเนินกลยุทธในเชิงรุกต่อคู่แข่งขันมากขึ้น
พ.ศ.2527 หลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ.2526 อบ วสุรัตน์ก็เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและ
พ.ศ.นี้เองที่ไทยรุ่งเรืองก็ผลักดันกระทั่งสามารถมีบริษัทส่งออกเป็นของตัวเอง
จากการเสนอของ อบ วสุรัตน์ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้มี "บริษัทส่งออกน้ำตาลสยาม
จำกัด" ในวันที่ 19 มิถุนายน 2527
ปี พ.ศ.2527 ที่ใครๆ คิดว่าราคาน้ำตาลในตลาดโลกจะสูงขึ้น แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร
พลิกกลับไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ (ราคาที่เคยสูงสุดของปี 26 ซึ่งขึ้นมาในระยะสั้นในเดือนมิถุนายน
ที่ราคา 12 เซนต์/ปอนด์ หลังจากนั้นก็ล่วงลงมาตลอดถึงมีนาคมปี 27 สูงสุดที่ราคา
5-6 เซนต์/ปอนด์)
การคาดหมายราคาน้ำตาลในตลาดโลกด้วยการรอคอยของโรงงานหลายกลุ่มเมื่อเวลามาถึงกลับไม่เป็นอย่างที่คิด
พอเข้าปี พ.ศ.2528 ก็เป็นปีของความอับโชคสถานการณ์เลวร้ายกันไปใหญ่ ราคาน้ำตาลดิ่งลงมาที่
2-3 เซนต์/ปอนด์ ทำให้โรงงานหลายกลุ่มถึงกับเซไปตามๆ กัน
โดยเฉพาะกลุ่มโรงงานในสมาคมการค้าผู้ผลิตน้ำตาลไทยหรือกลุ่ม 60 นั้นได้เริ่มอ่อนตัวลงหลังจากที่ชวน
ชินธรรมมิตรเจ้าของกิจการกว้างซุ้นหลีได้เสียชีวิตกลุ่มกว้างซุ้นหลีเองก็ถูกแบ่งกงสีกระจัดกระจายส่งลที่จะเข้ามามีบทบาท
ในสมาคมอันเป็นศูนย์รวมพลังงานของกลุ่ม 60 น้อยลง
ขณะในปี 2528 คนหนุ่มไฟแรงของสมาคมการค้าผู้ผลิตน้ำตาลไทยที่เขาขยับขยายอาณาจักรบ้านโป่งจนใหญ่โตที่ชื่อวิบูลย์
ผาณิตวงศ์ ก็ถูกเจ้าหนี้ธนาคารถึง 15 แห่งเข้าเจรจาเรื่องหนี้สินร่วม 7 พันล้านบาท
ตามด้วยปัญหาของวิเทศ ว่องวัฒนะสินเจ้าของโรงงานกลุ่มมิตรเกษตรในปี พ.ศ.2529
ที่ธนาคารมหานครและรวมถึงแบงก์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นศรีอยุธยาและไทยพาณิชย์ต้องเข้าไปแบกรับภาระหนี้สินพร้อมตั้งบริษัทกลางขึ้นมาบริหาร
หลังจากการสูญเสียชวน ชินธรรมมิตรพร้อมกับปัญหาด้านการเงินของ วิเทศ ว่องวัฒนะสินและวิบูลย์
ผาณิตวงศ์ กลุ่มสมาคมการค้าผู้ผลิตน้ำตาลไทยหรือกลุ่ม 60 ก็กลายเป็นเสือสิ้นลายที่ขาดความแข็งแกร่งลงแม้กระทั่งสำนักงานกลางจัดจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวภายในประเทศ
ที่มีทั้งสุนทร โภคาชัยพัฒน์, อำนวย ปะติเส และประสาน โอภาสปกรณ์กิจ จิรายุก็ประกาศล้างมือจากวงการอ้อยและน้ำตาล
พร้อมกับการลาวงการน้ำตาลทุกตำแหน่งที่มีอยู่ของ สุนทร โภคาชัยพัฒน์
นับจากวันนั้นจนปัจจุบัน นายกสมาคมน้ำตาลไทยที่ชื่อ สุรีย์ อัษฎาธรก็นั่งตีขิมเป็นโรงงานยักษ์ใหญ่ที่มีทั้งทุนทรัพย์และความมั่นคงที่สุดในปัจจุบัน
กระทั่งการสิ้นสุดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับการแบ่งปันผลประโยชน์ 70/30 ที่ยืดเยื้อมาถึงวันที่
9 พ.ย. 2530 ที่ผ่านมาไทยรุ่งเรืองก็เป็นกลุ่มนำโรงงานทั้งหมดเข้าต่อรอง
และการตกลงของคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายที่มีทั้งตัวแทนจากชาวไร่และโรงงานรวมทั้งส่วนราชการพร้อมการรอคอยของชาวไร่อ้อยที่เดินขบวนเข้ามาเรียกร้องในวันนั้น
ณ ที่กระทรวงอุตสาหกรรม ผู้นำชาวไร่อดีตยังเติร์กซึ่งทำหน้าที่คุมม็อบในวันนั้นต่างผิดหวังไปตามกัน
เพราะข้อเรียกร้องไม่ได้เป็นไปตามที่ต้องการ นับเป็นชัยชนะของไทยรุ่งเรืองอีกครั้ง
แม้ สุรีย์ อัษฎาธร จะอายุ 80 ปีแล้วเขาก้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวต่างๆ
ในฐานะประธานกลุ่มไทยรุ่งเรืองผู้ไม่ยอม "ล้างมือในอ่างทองคำ"
"กว๊าน หยิ่นหนิ่น" เป็นคนจีนโพ้นทะเลเกิดในอำเภอกวางเจา เขาได้รับการศึกษาเบื้องต้นที่มณฑลกวางตุ้งก่อนเดินทางเข้าประเทศไทยใน
พ.ศ.2462
เขาเข้าเมืองไทยเมื่ออายุ 11 ปี อยู่นานถึง 37 ปีถึง พ.ศ.2499 จึงโอนสัญชาติพร้อมเปลี่ยนชื่อเป็นสุรีย์
อัษฎาธร ครอบครัวดั้งเดิมของสุรีย์เป็นช่างกลึงหล่อเหล็กพ่อเขาชื่อ "กว๊าน
แหย่ง" เดินทางเข้าเมืองไทยก่อนสุรีย์พร้อมน้องชายอีกคนชื่อสุธีร์ อัสดาธร
(นามสกุลเขียนไม่เหมือนกัน) จะติดตามมา
เขาเข้าฝึกงานครั้งแรกในอู่ "หวั่งหลี" แถวเชิงสะพานพุทธเป็นเวลา
3 ปี ทำงานที่นั่นและย้ายเข้าทำงานที่โรงกลึงสามเสน ต่อมาที่อู่ "เฮงหลง"
ไทหวอและเม่งเฮงซึ่งล้วนเป็นอู่ใหญ่ในสมัยนั้น ความชำนาญของสุรียืเขาสามารถสร้างเครื่องจักรโรงงานน้ำแข็งขึ้นมาได้ขณะวัย
25 ปีที่เขาเริ่มมีอู่เป็นของตัวเอง
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาขายโรงงานน้ำแข็งถึงสามแห่งเพื่อเป็นทุนสร้างโรงงานน้ำตาลแห่งแรกชื่อ
"ร่วมกำลาภ" นับว่าเป็นโรงงานเอกชนรายที่ 3 ซึ่งขณะนั้นมีโรงงานของพระยามไหสวรรค์และมังกรสามเสนเกิดขึ้นก่อน
ภายหลังเลิกกิจการไปทั้งสองแห่ง
สุรีย์มีภรรยาสองคน ภรรยาคนแรกชื่อ อารีย์ อัษฎาธร มีลูกด้วยกัน 8 คน ๆ
โตชื่อสุวัฒน์ อัษฎาธร ปัจจุบันได้รับความไว้วางใจมีบทบาทที่จะรับช่วงต่อจากการบริหารงานของสุรีย์
ที่จะเป็นหัวเรือใหญ่ให้กับอาณาจักรเครือไทยรุ่งเรือง
ภรรยาคนที่สองเป็นคนที่ออกสังคมกับเขาชื่อ สุรีย์ (ชื่อเดียวกัน) กล่าวว่าภรรยาคนนี้อดีตเป็นเลขาส่วนตัวของเขา
มีลูกชายด้วยกันคนเดียวชื่อ ชนะ อัษฎาธร ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ภัทรธนกิจเป็นคนสุดท้องที่เกิดจากสุรีย์
อัษฎาธร
อู่แห่งแรกของสุรีย์เองอยู่ย่านตลาดน้อย ส่วนใหญ่รับงานจากโรงสีไฟและโรงเลื่อย
เขาบอกวันหนึ่งต้องรับงานหลายสิบแห่ง โดยเฉพาะงานจากโรงเลื่อยแถวคลองบางลำภูซึ่งส่วนมากเป็นโรงเลื่อยไม้สักเกือบตลอดคลอง
"ก่ำเต่ยเหย่าโสย" ปรัชญาการค้าการกดำเนินชีวิตที่ชาวจีนโพ้นทะเลสายเลือดกวางตุ้งอย่าง
"กว๊านหยิ่นหนิ่น" หรือสุรีย์ อัษฎาธรยึดถือเป็นยิ่งนัก ถูกถ่ายทอดให้กับคน
"แซ่กว๊าน" ต้นตระกูลอัษฎาธรจากรุ่นที่สองถึงรุ่นที่สามมาจนปัจจุบัน
"หมายถึงวิธีวายน้ำให้เท้าติดพื้นหรือดำเนินธุรกิจที่ไม่สุ่มเสี่ยง"
คนรุ่นที่สามของครอบครัว อัษฎาธรบอกกับ "ผู้จัดการ" ถึงความหมายของ
"ก่ำเต่ยเหย่าโสย" ที่ไทยรุ่งเรืองกรุ๊ปถูกสร้างขึ้นมาจนยิ่งใหญ่จากปรัชญาดังกล่าว
วัย 80 ปีของสุรีย์ อัษฎาธร ดูเหมือนเขาจะเป็นห่วงอาณาจักรไทยรุ่งเรืองอยู่ไม่เบาที่ปัจจุบันยังต้องมาร่วมตัดสินใจงานสำคัญๆ
กับอาณาจักรแห่งนี้ที่กำลังจะตกทอดไปอยู่ในมือของคนรุ่นที่สอง มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ที่มารับภารกิจอุตสาหกรรมนี้ต่อไป
เพียงหากมองย้อนหลังดูการสร้างฐานธุรกิจที่มีลักษณะแตกต่างไปจากธุรกิจอื่นๆซึ่งสัมพันธ์กับนโยบายทางการเมือง
"ธุรกิจอ้อยและน้ำตาลเป็นธุรกิจการเมือง โรงงานใหญ่โตจริง แต่หากไม่มีศิลปะในการบริหารแล้วก็กลายเป็นเศษเหล็กได้ง่าย"
คนในวงการอ้อยให้ทัศนะ
ซึ่งกลุ่มไทยรุ่งเรืองเองกว่าจะมใาถึงวันนี้ได้ก็สร้างสายป่านจนสุดขั้ว
ไม่ว่านักการเมืองที่เข้ามารับผิดชอบอุตสาหกรรมด้านนี้โดยตรงในแต่ละยุคสมัย
การมีกุนซือที่ร่วมเป็นร่วมตายอย่างสนิท ทองวานิช และพลเอกไพจิตร สมสุวรรณ
ที่เข้ามาเป็นเหมือนนักรบออกเป็นหัวหอกชนกับนโยบายซึ่งสวนทางกับผลประโยชน์เฉพาะหน้าบางครั้งบางคราว
เพียงเท่านี้หากยังไม่รวมถึง CONNECTION ที่เขามีกับ ชิน โสภณพนิช ซึ่งให้การสนับสนุนทางด้านทุนในยามที่ล้มลุกคลุกคลานในอดีตสายป่านนี้ต่อมาจนปัจจุบันที่ธนาคารกรุงเทพฯเข้าไปร่วมหุ้นอยู่ในแชงกรี-ลา
รวมทั้งการเข้าไปถือหุ้นส่วนตัวของชาตรี โสภณพนิชที่เข้าไปนั่งเป็นกรรมการอยู่ด้วย
ความสัมพันธ์ทางการค้าที่บ่งบอกถึงลักษณะการให้ความไว้วางใจผู้อื่นสูงอย่างสุรีย์ที่เขาได้ผูกพันธ์กับก๊วกบราเธอร์
ที่มาจนปัจจุบันนั้นก็คงไม่ง่ายนักที่จะหาคนมาทดแทนและทำได้อย่างพ่อค้าที่ชื่อ
สุรีย์ อัษฎาธร แม้ผู้ที่จะขึ้นมารับภารกิจที่เขาจะส่งมอบให้นั้นก็ยังเหมือนกับยังต้องเรียนรู้วิธีการบริหารงานจาก
สุรีย์ อีกหลายด้าน
จากชั้นเชิงทางการค้าที่สลับซับซ้อนในวันนี้ ไทยรุ่งเรืองจึงมีบริษัทในเครือถึง
11 แห่ง มีสินทรัพย์รวมกันแล้วไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท สุวัฒน์ อัษฎาธรทายาทคนโตวัย
59 ปี ปัจจุบันเขาได้รับมอบหมายให้มาบริหารงานในสำนักงานใหญ่และได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ของบริษัทในเครือทั้งหมดรองจากสุรีย์
อัษฎาธร
นอกจากนี้ สุวัฒน์ยังควบตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัทไทยอุตสาหกรรมน้ำตาลจำกัด,
บริษัทไทยรวมทุนคลังสินค้าและยังเป็นกรรมการบริหารโรงแรมแชง กรี-ลาและประธานกรรมการบริษัทส่งออกน้ำตาลสยามจำกัดและกรรมการบริหารสมาคมโรงงานน้ำตาลไทยหรือกลุ่ม
40 ในอดีตที่เป็นเวทีต่อสู้กับผลประโยชน์ของโรงงานด้วยกันรวมถึงกรรมการที่ปรึกษาบริษัทอุตสาหกรรมน้ำตาลแห่งประเทศไทยที่กลุ่มไทยรุ่งเรืองกลับเข้าไปครอบครองอีกครั้งในยุค
อบ วสุรัตน์
สุวัฒน์ อัษฎาธรจึงเป็นทายาทคนแรกที่กำลังเข้ามาจ่อคิวที่จะดูแลกิจการที่สร้างขึ้นมาแล้วกว่าช่วงหนึ่งชีวิตคนร่วมกับน้องๆ
อีก 8 คน และก็ดูเหมือนจะมีชนิดา อัษฎาธรสะใภ้คนเดียวที่ออกมามีบทบาทรับงานด้วยพร้อมการตรึงขุมกำลังของคนรุ่นที่สองที่เข้ามาบริหารงานอยุ่ในสำนักงานใหญ่
ไม่ว่าจะเป็น สมเกียรติ อัษฎาธร (น้องชายสุวัฒน์) กรรมการผู้จัดการอุตสาหกรรมน้ำตาลกาญจนบุรี
สุรินทร์ อัษฎาธร (น้องชายอีกคน) กรรมการผู้จัดการโรงงานไทยเพิ่มพูนและสุทิน
อัษฎาธร (สามีชนิดา) กรรมการผู้จัดการโรงงานไทยรุ่งเรือง
นับว่าไทยรุ่งเรืองสมัยปัจจุบันได้สร้างสัดส่วน ในอุตสาหกรรมน้ำตาลเอาไว้อย่างหนาแน่น
ขณะเดียวกันคนรุ่นที่สามอีกส่วนหนึ่งก็คงคลุกงานด้านเครื่องจักรอยู่ในโรงงานซึ่งล้วนได้รับการศึกษาด้านเอ็นจิเนี่ยมาโดยเฉพาะ
ท่ามกลางการจับตามองบทบาทครั้งล่าสุด ไทยรุ่งเรืองได้รับการยอมรับจากบรรดาโรงงานเกือบทั้งหมดรวมทั้งวกลุ่มสมาคมการค้าผู้ผลิตน้ำตาลไทยหรือกลุ่ม
60 ในอดีตที่เป็นคู่แข่งขันขับเคี่ยวกันมาตลอดให้เป็นฝ่ายนำโรงงานเข้าต่อรองกับระบบการแบ่งปันผลประโยชน์โดยเฉพาะซึ่งสิ่งที่ปรากฎก็คือในวันที่
9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ณ กระทรวงอุตสาหกรรม ฝ่ายโรงงานเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขที่ผู้นำชาวไร่หลายคนได้ยอมรับเอาโดยดุษฎี
ในวันนี้ไทยรุ่งเรืองได้รุ่งเรืองกลายเป็นยักษ์ใหญ่ที่มั่นคงที่สุด พร้อมที่จะเข้าผูกขาดและตรึงกำลังกุมอุตสาหกรรมอ้อนแลบะน้ำตาลของประเทศไทยเอาไว้อย่างมั่นคงขณะที่หลายโรงงานกำลังจะกลายเป็นเศษเหล็กที่ธนาคารเจ้าหนี้หลายแห่งกำลังเข้าควบคุมอยู่
ไทยรุ่งเรืองจึงเป็นมรดกทางธุรกิจที่สุรีย์ได้สร้างไว้ให้กับคนรุ่นที่สองและรุ่นที่สามของตระกูล
อัษฎาธร ที่จะรับต่อไปนั้นนับว่ายิ่งใหญ่พอควรหากแต่เพียงยังมีผู้กังขาว่าเขาเหลานั้นจะทำได้ดีเหมือนเถ้าแก่
"หลิ่น" หรือไม่…..