|
วิบากกรรมของรองเท้าไทย
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา( สิงหาคม 2552)
กลับสู่หน้าหลัก
ผลกระทบของวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน ทำให้ตลาดรองเท้ากีฬาในปี 2552 ซบเซาลงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการส่งออกรองเท้ากีฬาของไทยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2552 มีมูลค่าการส่งออกรวมประมาณ 5 พันล้านบาท หดตัวลงถึงร้อยละ 19.4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นประเทศผู้นำเข้ารองเท้ากีฬารายใหญ่ของโลกและเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย ลดปริมาณการนำเข้ารองเท้ากีฬาลง ทำให้มูลค่าการส่งออกรองเท้ากีฬาของไทยไปยังสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2552 หดตัวลงถึงร้อยละ 41.9 และ 11.5 ตามลำดับ นอกจากนี้การส่งออกรองเท้ากีฬาของไทย ไปยังจีน ซึ่งเป็นตลาดใหม่ก็ยังมีการหดตัวลงเช่นเดียวกันถึงร้อยละ 30.5
แม้ขณะนี้ไทยจะมีความได้เปรียบประเทศคู่แข่งขันสำคัญ ในตลาดรองเท้ากีฬาของโลกอย่างจีนและเวียดนาม ซึ่งถูกสหภาพ ยุโรป (EU) ขยายมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดออกไปอีก 2 ปี และการที่ไทยได้รับคืนสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ในยุโรป ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรองเท้ากีฬาของไทยที่จะสามารถส่งออกรองเท้ากีฬาไปยังสหภาพยุโรปได้เพิ่ม มากขึ้นก็ตาม
แต่ด้วยปัจจัยด้านเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติ ทำให้คาดการณ์ว่าการส่งออกรองเท้ากีฬาของไทยตลอดทั้งปี 2552 นี้จะยังคงมีแนวโน้ม หดตัวลงประมาณร้อยละ 19.0 หรือมีมูลค่าการส่งออกประมาณ 11.9 พันล้านบาท
เนื่องจากตลาดส่งออกรองเท้ากีฬาเกรดเอของไทย ทั้งในตลาดสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปลดลงประมาณร้อยละ 25 ทำให้ผู้ส่งออกต้องพยายามเสนอราคาเพื่อจูงใจให้มีการสั่งซื้อเพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่าราคาต่อหน่วยของการส่งออกรองเท้ากีฬาของไทย จะลดลงประมาณร้อยละ 3.7
ขณะที่ตลาดส่งออกซึ่งเป็นตลาดหลักของอุตสาหกรรมรองเท้ากีฬาของไทยหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง ตลาดรองเท้ากีฬาภายในประเทศก็มีการหดตัวลงเช่นเดียวกัน ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2552 การจำหน่ายรองเท้ากีฬาในประเทศมีปริมาณ 3.5 ล้านคู่ หดตัวลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 24.7 อันเป็นผลมาจากกำลังซื้อของคนในประเทศลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ตลอดทั้งปี 2552 นี้ ปริมาณการจำหน่ายรองเท้ากีฬาภายในประเทศจะลดลงประมาณร้อยละ 26.6 หรือมีปริมาณการจำหน่ายรวมทั้งสิ้นประมาณ 8.4 ล้านคู่ โดยคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2552 ตลาดรองเท้ากีฬาภายใน ประเทศน่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น เพราะผู้ผลิตประสบปัญหาการขยายตลาดส่งออกไม่ได้ตามเป้าหมาย ทำให้ต้องหันมาให้ความสนใจกับตลาดภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การจำหน่ายรองเท้ากีฬาในประเทศของไทย นั้นแบ่งเป็นรองเท้ากีฬาที่ผลิตเพื่อจำหน่ายภายในประเทศคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 71.6 และเป็นรองเท้ากีฬาที่นำเข้าจากต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 28.4
ทั้งนี้ จากตัวเลขปริมาณการจำหน่ายรองเท้ากีฬาในประเทศที่ลดลง ทำให้ปริมาณการผลิตรองเท้ากีฬาเพื่อจำหน่ายภายในประเทศลดลงตามไปด้วย โดยปริมาณรองเท้ากีฬาที่ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศในช่วงไตรมาสแรกของปี 2552 ลดลงถึงร้อยละ 27.6
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าในปี 2552 นี้ ปริมาณการผลิตรองเท้ากีฬาเพื่อจำหน่ายในประเทศจะลดลงประมาณร้อยละ 23.2 หรือมีปริมาณการผลิตรวมประมาณ 7.0 ล้านคู่ ซึ่งผู้ผลิตส่วนใหญ่ จะหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและการเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดในช่วงที่ความต้องการรองเท้ากีฬาราคาถูกจากจีนในประเทศ เริ่มลดลง
สำหรับการนำเข้ารองเท้ากีฬาของไทยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2552 นั้น ปริมาณการนำเข้าลดลงร้อยละ 16.5 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปริมาณการนำเข้ารองเท้ากีฬาราคาถูกจากจีนลดลงมาก ถึงร้อยละ 19.7 ซึ่งคาดว่าตลอดทั้งปี 2552 นี้ ปริมาณการนำเข้า รองเท้ากีฬาของไทยจะหดตัวลงประมาณร้อยละ 20.2 หรือมีปริมาณการนำเข้ารองเท้ากีฬารวมทั้งสิ้นประมาณ 2.1 ล้านคู่
แม้ว่านักวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจจะให้ความเห็นว่าวิกฤติเศรษฐกิจของโลก ได้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดมาแล้วก็ตาม แต่ด้วยแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ชัดเจน ทำให้คาดว่ามูลค่าการส่งออกรองเท้ากีฬาของไทยไปยังตลาดโลกในปี 2552 จะยังคงมีแนวโน้มหดตัวลงตามกำลังซื้อที่ลดลงของผู้บริโภค ในประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป
ขณะที่การแข่งขันของตลาดภายในประเทศในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2552 คาดว่าจะมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตประสบปัญหาการส่งออกไม่ได้ตามเป้าหมาย นอกจากนี้ คาดว่าปริมาณการจำหน่ายรองเท้ากีฬาภายในประเทศจะมีแนวโน้มหดตัวลงเช่นเดียวกันประมาณร้อยละ 26.6 ตามกำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศที่ลดลงเนื่องจากผลกระทบของภาวะ เศรษฐกิจที่ยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน
ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ทาง การตลาดในอนาคตที่จะเกิดขึ้น ผู้ประกอบการควรเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและพัฒนานวัตกรรมสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพิ่มความระมัดระวังในการรับออเดอร์จากต่างประเทศ บริหารจัดการทางการเงินให้มีความรัดกุมเพื่อให้สามารถควบคุมต้นทุนทางการเงิน และเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศได้มากขึ้น พร้อมทั้งมองหาตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการตลาดไว้ด้วย
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|