ใคร ๆ ก็รู้จักสนอง ตู้จินดาในฐานะนักกฎหมายนักธุรกิจมือเอกของเมืองไทย
วันนั้น (4 พ.ย. 2530) สนองรับหน้าที่จากเจ้าหนี้คือธนาคารไทยพาณิชย์ให้เป็นผู้จัดการขายหุ้นจำนวน
3,787,465 หุ้นของบริษัทเครือข่ายมาบุญครอง 5 บริษัทได้แก่มาบุญครองเมดิคอลโกลพ
มาบุญครองมาร์เก็ตติ้ง มาบุญครองไรซมิล มาบุญครองพืชผล และมาบุญครองเทรดดิ้ง
ที่เป็นหลักทรัพย์ติดจำนองโดยวิธีประมูลจำหน่ายทอดตลาด
นัยว่า งานนี้ฝ่ายเจ้าหนี้คือธนาคารไทยพาณิชย์ ในฐานะผู้ขายตัดสินใจเล่นบท
"เฉียดขาด" ต่อมาบุญครองก่อนหน้านี้เพียง 2 เดือนเท่านั้น
"เราเจรจาแก้ปัญหาหนี้สินกับฝ่ายคุณศิริชัย บูลกุลมาตั้งแต่เมษายนปีที่แล้ว
คุณก็ทราบดีว่าผลการเจรจามันเป็นอย่างไร ทั้งเหนื่อยและผิดหวัง…" อมร
อัศวนันท์ คนโตฝ่ายสินเชื่ออุตสาหกรรมของธนาคารไทยพาณิชย์เล่าให้ฟังถึงเหตุที่มาต้องจัดงานนี้ขึ้น
ทุกคนที่อยู่ในงานประมูลวันนั้น ก็อยากรู้ว่าฝ่ายศิริชัย บูลกุล ซึ่งส่งตัวแทนรับมอบอำนาจมาเขาร่วมประมูลด้วยหลายคน
จะมีไม้เด็ดอย่างไรด้วยความที่มีภาพพจน์เป็นคนที่มีลูกเล่น "เกมธุรกิจ"
แพรวพราวมากคนหนึ่งจนบรรดาเจ้าหนี้หลายรายปวดขมองไปตามๆ กัน
…การฟ้องศาลต่อกลุ่มเจ้าหนี้ของศิริชัยในประเด็นเรื่องการจัดประชุมแต่งตั้งกรรมการบริษัทชุดใหม่ของกลุ่มเจ้าหนี้ที่ไม่ถูกต้อง
เป็นตัวอย่างดีอันหนึ่ง…
แต่สำหรับสนอง ตู้จินดาแล้ว งานประมูลขายหุ้นมาบุญครองเขาทราบล่วงหน้าแล้วว่าฝ่ายศิริชัยจะมีไม้เด็ดอย่างไร
"คุณสนอง ตู้จินดา บอกกับเราแล้วว่าคอยดูเถอะฝ่ายคุณศิริชัย ต้องคัดการประมูลแน่แล้วมันก็เป็นจริง"
อมรเล่าต่อให้ "ผู้จัดการ" ฟัง
วันนั้น ผู้เข้าประมูลเบอร์ 20, 23, 18 ซึ่งเป็นคนของฝ่ายศิริชัย ลุกขึ้นคัดค้านสนองที่จัดขายหุ้นทอดตลาดทันทีที่สนองกล่าวเปิดการประมูล
แต่สนองก็ใช้ความเซียนในความเป็นมือเอกทางด้านกฎหมายของตนคุมเกมได้ตลอด
"คุณคัดค้านได้ ผมรับทราบคำคัดค้านก็แล้วกัน" สนองกล่าวตอบผู้คัดค้านเบอร์
18 ที่เป็นคนของฝ่ายศิริชัย
การประมูลหุ้นล็อตแรกเป็นหุ้นบริษัทมาบุญครองเมดิคอลโกลพ ซึ่งทำธุรกิจผลิตและส่งออกพวกถุงมือแพทย์จำนวน
127,493 หุ้น คนของธนาคารไทยพาณิชยืที่มาจากบริษัทในเครือสยามพาณิชย์ลิสซิ่งเปิดฉากไล่ซื้อที่ราคา
1,000,000 แล้วปล่อยให้ฝ่ายศิริชัยไลาซื้อเกทับไปเรื่อยๆ เป็นช่วงๆ จนไปยืนที่
13 ล้านบาท
วิชาญ ศรีประเสริฐ คนของฝ่ายศิริชัย ประมูลราคาที่ 13 ล้านบาท ไม่มีใครสู้ต่อเฉือนพาร์ตเนอร์เก่าชาวยิวมร,
โยแลมเฮิรทซ์ ผู้แทนบริษัท COTRINVEHT แคนาดาที่ถือหุ้นอยู่ก่อนแล้วในบริษัทจำนวน
75% มร.โยแลม ประมูลในราคา 11 ล้านบาทเลยล่องจุ๊นไป…
"โยแลมเขาไม่ต้องการทำธุรกิจนี้กับศิริชัยอีกต่อไปเกรงว่าจะเสียภาพพจน์
งานนี้เขาเตรียมมาเต็มที่ ตอนเช้าก่อนการประมูลจะเริ่มขึ้น โยแลมนยำเงินเข้าบัญชีทันที
11 ล้านที่แบงก์เรา" คนไทยพาณิชย์กระซิบให้ฟัง
สนอง สั่งพักการประมูล 10 นาที ก่อนประมูลต่อล็อต 2 และ 3 ช่วงพัก สนองถูกคนที่เป็นเจ้าหนี้ของมาบุญครองที่เป็นแบงก์ต่างประเทศคือพาริบาร์สแบงก์และ
โนวาสครอเทียแบงก์เข้าต่อว่า กล่าวหาสนองว่าไม่ยอมเผยข้อมูลที่ประมูลล่วงหน้า
แต่สนองก็เอาตัวรอดได้…
"โธ่คุณ ผมเอาชื่อเสียงผมเป็นประกันเลย ถ้าอยากดูข้อมูลใบหุ้นเชิญทุกเวลาทีสำนักงานผม
ผมไม่เคยปิดบัง"…
ที่ไม่ยากเพราะงานนี้สนองจัดงานในนามธนาคารไทยพาณิชย์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ชั้น
1
แต่ที่เล่นเอาสนองปวดหัวก็คนของศิริชัยอีกนั่นแหละ วิชาญ ศรีประเสริฐประมูลได้แต่ดันไม่มีเงินเลย
ทั้งๆที่ตามระเบียบผู้ชนะการประมูลจะต้องวางเงินสดทันที 25% ของราคาประมูลที่ประมูลได้และต้องชำระส่วนที่เหลืออีก
75% ในเวลาก่อน 4 โมงเย็นในวันเดียวกัน
"…เงินในกระเป๋า 1,000 บาทยังไม่มีเลย" คนของธนาคารไทยพาณิชย์กล่าวด้วยอารมณ์ฉุนๆ
ให้ "ผู้จัดการ" ฟังถึงลวดลายของฝ่ายศิริชัย
งานนี้ฝ่ายศิริชัยก็ไว้เชิงจอมลวดลาย ภายใน 4 โมงเย็นวันนั้นวิชาญก็นำแคชเชียร์เช็คธนาคารทหารไทยจำนวน
13 ล้านบาท มาชำระค่าหุ้นทันทีเหมือนกัน
สนองเลยโล่งอกไปเปราะหนึ่ง…!
ส่วนการประมูลล็อต 2 และ 3 ซึ่งเป็นหุ้นของบริษัทมาบุญครองมาร์เก็ตติ้งพืชผล
ไรซมิลและเทรดดิ้ง ปรากฏว่าคนของศิริชัยไม่สนใจไล่ซื้อราคาเลยมีแต่คนของธนาคารไทยพาณิชย์เท่านั้นที่เล่นเกมราคากัน
…เมื่อตบมือข้างเดียวมันไม่ดังฉันใด เล่นราคาอยู่กลุ่มเดียวกันมันไม่มันฉันนั้น
การประมูลหุ้นล็อต 2 และ 3 ก็จบลงที่รา 90 ล้านบาท และ 2 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าที่สนองคาดหมายไว้มาก
"2 ล็อตหลังนี่ขายได้ 200 ล้านก็สวย แต่ช่างเหอะโอกาสหน้าเราจัดประมูลใหม่ได้"
คนของไทยพาณิชย์ที่เข้าประมูลด้วยกระซิบให้ "ผู้จัดการ" ฟัง
งานนี้ก็จบลงและสอนให้รู้ว่าถ้าจะเล่นกับศิริชัยแห่งมาบุญครองละก้อ…ต้องอึด…