วัฒนธรรมการสืบทอดอำนาจของบริษัทอาคเนย์ประกันภัยที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน


นิตยสารผู้จัดการ( พฤศจิกายน 2530)



กลับสู่หน้าหลัก

หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 กลุ่มข้าราชบริพารสมเด็จพระปกเกล้าฯ กลุ่มหนึ่ง ประกอบด้วย หลวงดำรงดุริตเรขรองสนิท โชติกเสถียร หลังจากลาออกจากการเป็นข้าราชบริพาร ได้ไปชวนพ่อค้าคนจีนคนหนึ่งชื่อ นายเทียน เหลียวรักวงศ์ ร่วมลงทุนทำกิจการหนังสือพิมพ์สยามนิกรและสยามครอนิเคิลและโรงพิมพ์ชื่อไทยพาณิชยการ โดยอาศัยทุนทรัพย์ส่วนหนึ่งจากการกู้ยืม หม่อมเจ้ากมลีสาน ชุมพล ซึ่งเป็นอดีตข้าราชบริพารในสมเด็จพระปกเกล้าฯ ด้วยผู้หนึ่ง การดำเนินกิจการธุรกิจสิ่งพิมพ์ได้ดำเนินมาอย่างไม่ประสบผลสำเร็จ จนถึงปี 2488 ทั้ง 3 ท่านก็มีแนวคิดว่า ในสมัยนั้นกิจการธุรกิจประกันภัยเป็นธุรกิจที่ดีมีอนาคตและทำกำไรได้ดี อีกทั้งกิจการธุรกิจประกันภัยที่อยู่ในมือคนไทยก็มีเพียงแห่งเดียวเท่านั้น คือ บริษัทไทยประกันชีวิต ส่วนใหญ่กิจการดังกล่าวตกอยู่ในมือของฝรั่งต่างชาติ จึงได้ร่วมกันออกไปชักชวนเพื่อนฝูงที่รู้จักมักคุ้นกันให้มาร่วมลงทุนทำกิจการประกันภัย โดยคนที่เป็นตัวจักรวิ่งเต้นก็คือ หลวงดำรงดุริตเรช (ดำรง เสรีนิยม) และนายรองสนิท โชติกเสถียร

ทั้ง 2 ท่านได้ชักชวน พยัพ ศรีกาญจนา พระยาปรีชานุสาสน์ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภาณุพัน ยุคล หม่อมเจ้ากมลีสาน ชุมพล ให้มาร่วมลงทุนและก่อตั้งบริษัทประกันภัยที่ชื่อ อาคเนย์ประกันภัย ได้เป็นผลสำเร็จในปี 2489 หรือ 41 ปีล่วงมาแล้วนับจากปัจจุบันนี้ นับเป็นกิจการประกันภัยที่อยู่ในมือคนไทยรุ่นบุกเบิกเป็นรายที่สองที่แข่งขันกับกิจการประกันภัยของชาวต่างชาติ

กล่าวกันว่า กลุ่มเป้าหมายลูกค้าของบริษัทในสมัยยุคแรก ๆ นั้น อยู่ในกลุ่มข้าราชบริพารเก่า และพระบรมวงศานุวงศ์ที่อาศัยความสัมพันธ์ทางส่วนตัวของหลวงดำรงดุริตเรข และรองสนิท โชติกเสถียร เป็นหลักใหญ่ไปชักชวนมา ส่วนกลุ่มลูกค้านักธุรกิจคนจีนนั้นก็อาศัยสายสัมพันธ์ของ พยัพ ศรีกาญจนา ซึ่งกว้างขวางในกลุ่มพ่อค้าคนจีนด้วยความเป็นคนชอบเข้าสังคมอยู่เนืองนิตย์ และมีพื้นฐานการงานที่เคยเป็นพนักงานของบริษัทคาเนโบแห่งญี่ปุ่น และเซ้าท์ อิสต์ เทรดดิ้ง มาก่อน อีกทั้งอาศัยความสัมพันธ์ในหมู่คนจีนของนายเทียน เหลียวรักวงศ์ ด้วยเป็นแกนหลัก

ตลอด 41 ปี บริษัทอาคเนย์มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนเพียง 3 ครั้ง คือ ครั้งแรกจาก 1 ล้านบาท ในปีก่อตั้ง 2489 เป็น 4 ล้านบาท ในปี 2492 จากหลักฐานบันทึกการประชุมคณะกรรมการบริษัทในสมัยนั้นได้ระบุว่า "เพื่อต้องการนำไปใช้เป็นทุนขยายงานธุรกิจด้านประกันชีวิต และเป็นหลักประกันที่ใช้สร้างหน้าตาให้กับบริษัทเวลาติดต่อทางธุรกิจกับต่างประเทศ" หลังจากการเพิ่มทุนครั้งแรกต่อมาอีก 2 ปี ในปี 2494 บริษัทได้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 4 ล้านบาทเป็น 10 ล้านบาท จนธุรกิจดำเนินต่อมาอีก 25 ปี คือ ในปี 2519 บริษัทได้มีนโยบายให้พนักงานที่ทำงานมากับบริษัทเป็นเวลายาวนาน มีสิทธิ์ถือหุ้นได้โดยบริษัทขายหุ้นในส่วนที่เพิ่มทุนอีก 10 ล้านบาทเป็น 20 ล้านบาทนี้ในราคาหุ้นละ 100 บาท จำนวน 60,000 หุ้น จากส่วนหุ้นที่เพิ่ม 100,000 หุ้น นรฤทธิ์ โชติกเสถียร กรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจประกันชีวิต เล่าให้ "ผู้จัดการ" ว่าการเพิ่มทุนครั้งนี้ ผู้บริหารและคณะกรรมการบริษัทมีเจตนาให้พนักงานที่ทำงานมานานกับบริษัทได้มีโอกาสถือหุ้นบ้าง ไม่ได้เกี่ยวกับเหตุผลทางธุรกิจแต่อย่างใด

"เหตุผลการเพิ่มทุนที่เกิดจากความจำเป็นทางธุรกิจมีเพียงประการเดียวเท่านั้น คือ การประกอบการประสบการขาดทุนหรือไม่มีส่วนเกินมากพอที่จะจ่ายเป็นผลให้แก่ลูกค้าที่ถือกรมธรรม์ครบกำหนดในอัตรา 1.5% ของทุนประกันและปันผลแก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งผลการประกอบการของบริษัทอาคเนย์อยู่ในฐานะที่มีส่วนเกิน (SURPLUS) มากพอโดยตลอด"

ธุรกิจสายประกันชีวิต ประกันวินาศภัย และประกันเบ็ดเตล็ดของบริษัทอาคเนย์ประกันภัยเท่าที่ดำเนินงาน มีส่วนเกินในเงินกองทุนที่สามารถจ่ายปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในอัตราอย่างต่ำ 40% โดยตลอด…แน่ล่ะ คงหาธุรกิจประเภทใดที่จ่ายปันผลงาม เช่น ธุรกิจประกันภัยคงยากไม่น้อย !

บริษัทอาคเนย์ฯ มีกลุ่มผู้ถือหุ้นรายสำคัญ ๆ อยู่มากถึง 11 กลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มถือสัดส่วนปริมาณหุ้นที่แตกต่างกันไม่มากนัก เงื่อนไขเช่นนี้ทำให้โครงสร้างอำนาจในการบริหารภายในบริษัทมีลักษณะคะคานกันอย่างสมดุล ซึ่งเป็นปมเงื่อนสำคัญที่มีส่วนอย่างสำคัญต่อการช่วยให้การประสานกลมกลืนในสไตล์การบริหารของแต่ละคนเข้ากันได้อย่างสนิท ทั้ง ๆ ที่แต่ละกลุ่มมีพื้นเพของวิถีชีวิตและประสบการณ์ในการทำงานที่แตกต่างกัน

จะเรียกว่า ลักษณะการถ่วงดุลอำนาจแบบนี้ เป็นวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์อันหนึ่งของบริษัทอาคเนย์ก็ไม่ผิดนัก !

เมื่อบุคคลรุ่นก่อตั้งเข้าวัยแก่ชราตามกฎแห่งธรรมชาติ การสืบทอดอำนาจจากชนรุ่นพ่อสู่รุ่นลูกก็เกิดขึ้น ซึ่งในบริษัทอาคเนย์กระบวนการถ่ายทอดอำนาจจากชนรุ่นพ่อสู่รุ่นลูกเกิดขึ้นในปี 2516 เป็นต้นมา กล่าวคือ

ปี 2516 หลวงดำรงดุริตเรข ประธานคณะกรรมการบริษัทคนแรก ถึงแก่กรรมที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเดือนกรกฎาคม 2516 มีมติแต่งตั้ง อำพน เสรีนิยม บุตรชายหลวงดำรงฯ ขึ้นดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทที่มีอำนาจลงนามแทน จวบจนกระทั่งปี 2527 อำพน เสรีนิยม ก็ขอลาออกจากกรรมการบริษัทเป็นเพียงแค่ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริษัท ด้วยเหตุผลปรารถนาเป็นผู้มีอำนาจลงนามแทนบริษัทที่บริษัทอาคเนย์ธนกิจ ซึ่งในขณะนั้นเขาเป็นกรรมการผู้จัดการอยู่แต่เพียงแห่งเดียว

ในปี 2520 นายเทียน เหลียวรักวงศ์ ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทรุ่นก่อตั้งถือหุ้นอยู่ 9,450 หุ้น (ข้อมูลปี 2506) ชราภาพมากไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่กรรมการบริษัทได้และขอลาออกเป็นครั้งที่สองเพื่อให้บุตรชาย คือ ประพันธ์ เหลียวรักวงศ์ ซึ่งในปี 2520 ถือหุ้นอยู่ 12,600 หุ้น เข้ามาเป็นกรรมการบริษัทแทน ที่ว่านายเทียนขอลาออกเป็นครั้งที่สองนั้นก็เพราะว่าในปี 2506 เขาได้ขอลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัทด้วยเหตุผลไม่เป็นที่ประจักษ์ชัดและได้ขายหุ้นของตนเองให้แก่ พยัพ ศรีกาญจนา ไปทั้งหมด 9,450 หุ้น ซึ่งอย่างไรก็ดีในภายหลังเมื่อปี 2510 ก็กลับเข้ามาเป็นกรรมการบริษัทใหม่อีกครั้งหนึ่งตามคำเชื้อเชิญของพยัพ พร้อมเปลี่ยนชื่อนามสกุลใหม่เป็น "เธียร สิงหวาณิช"

ปี 2523 รองสนิท โชติกเสถียร ประธานคณะกรรมการบริษัท ซึ่งรับตำแหน่งสืบต่อจากหลวงดำรงฯ ตั้งแต่ปี 2516 ถึงแก่กรรมลง ในฐานะที่รองสนิทซึ่งมีอดีตทำงานในตำแหน่งต้นห้องรองเสวกโท ในราชสำนักของสมเด็จพระปกเกล้าฯ เป็นหนึ่งกรรมการผู้ก่อตั้งบริษัท คณะกรรมการบริษัทได้เรียกประชุมกรรมการทันทีและแต่งตั้งให้ พยัพ ศรีกาญจนา ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารสืบทอดตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทแทนรองสนิทควบคู่กันไปด้วย พร้อมกันนี้ก็ได้แต่งตั้งให้นรฤทธิ์ โชติกเสถียร บุตรชายรองสนิท ซึ่งในเวลานั้นกำลังทำงานอยู่ที่บริษัทอาคเนย์ประกันภัย ขึ้นดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทแทนบิดา หลังจากนั้นอีก 2 ปี คือ ในปี 2525 นรฤทธิ์ก็ย้ายมาทำงานที่บริษัทอาคเนย์ประกันภัยในตำแหน่งกรรมการรองผู้จัดการคุมสายงานธุรกิจประกันชีวิต จนอีก3 ปีต่อมาในปี 2528 ก็ได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นกรรมการบริหาร

ปี 2524 ภักดี นิวาตวงศ์ ซึ่งเข้ามาเป็นกรรมการบริษัทในปี 2503 ตามคำชวนของพยัพและถือหุ้นอยู่ในขณะนั้น 6,615 หุ้นได้ขอลาออกเนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพเกี่ยวกับโรคทางสมอง คณะกรรมการบริษัทได้แต่งตั้ง วิชัย นิวาตวงศ์ บุตรชายเข้ามาเป็นกรรมการบริษัทแทนพ่อ ขณะที่ในช่วงเวลานั้น วิชัยนั่งบริหารงานในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัทส่วนตัว ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตยารักษาโรค จนกระทั่งอีก 4 ปีต่อมาในปี 2528 คณะกรรมการบริษัทก็ประชุมมีมติแต่งตั้งให้วิชัย นิวาตวงศ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งกรรมการรองผู้จัดการฝ่ายบริหารพร้อมนรฤทธิ์

ปี 2525 พิทักษ์ บุณยรักษ์ ซึ่งเป็นเถ้าแก่โรงสีข้าวในจังหวัดนครสวรรค์ และเป็นเพื่อนร่วมสถาบันเดียวกับ พยัพ ศรีกาญจนา ที่ St'STEVEN ฮ่องกง ถูกพยัพชวนเข้ามาซื้อหุ้นบริาทอาคเนย์ประกันภัยสมัยเพิ่มทุนครั้งแรกในปี 2492 จำนวน 374 หุ้น พร้อมทำโรงสีข้าวของตนเข้าทำประกันกับบริษัทอาคเนย์ฯ ในเวลาเดียวกันด้วย พิทักษ์มปัญหาสุขภาพและชราภาพมาก ได้ขอลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัท พยัพ ศรีกาญจนา จึงชวน ดร.ศักดา บุณยรักษ์ บุตรชายพิทักษ์เข้ามาเป็นกรรมการแทน ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทก็ไม่ขัดข้อง และอีก 3 ปีต่อมา ดร.ศักดา บุณยรักษ์ ก็ได้รับตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการและกรรมการบริหาร ควบคุมดูแลสายงานด้านบัญชีและตรวจสอบ

"ดร.ศักดา เป็นคนที่มีความสามารถด้านวิเคราะห์ข้อมูล ตัวเลขต่าง ๆ มาก" นรฤทธิ์ โชติกเสถียร เล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังถึงความเหมาะสมในคุณสมบัติของ ดร.ศักดา ในช่วงขึ้นดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารควบคุมดูแลสายงานด้านตรวจสอบ

ในช่วงปี 2525 เวลาเดียวกับที่ ดร.ศักดา เข้ามาเป็นกรรมการบริษัท ม.ร.ว.พฤทธิสาณ ชุมพล บุตรชายหม่อมเจ้ากมลลีสาน ชุมพล กรรมการบริษัท ผู้ก่อตั้งด้วยผู้หนึ่ง ซึ่งในปีนั้นเพิ่งจะสำเร็จ PH.D. สาขาสังคมวิทยาการเมือง จากมหาวิทยาลัยโมนาช ออสเตรเลีย ก็ได้รับแต่งตั้งเข้ามาเป็นกรรมการบริษัทแทนบิดา

"ผมเข้ามาเป็นกรรมการเพราะต้องแบกรับมรดกสืบทอดจากบิดาด้วยเป็นประเพณีปฏิบัติของบริษัทที่เมื่อบิดาซึ่งเป็นกรรมการลาออกไป ตำแหน่งก็จะตกมาถึงลูก" หม่อมพฤทธิสาณ ชุมพล กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ด้วยน้ำเสียงหัวเราะดังลั่นตามสไตล์

กลางปี 2530 วัย วรรธนะกุล กรรมการผู้จัดการคนแรกของบริษัทตั้งแต่ปี 2489 เป็นผู้หนึ่งที่ก่อตั้งบริษัทอาคเนย์ฯ ลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัท หลังจากที่เคยลาออกจากการเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทมาแล้วเมื่อปี 2510 ด้วยเหตุผลชราภาพมาก คณะกรรมการบริษัทจึงมีมติแต่งตั้งให้ ชัย วรรธนะกุล บุตรชายของวัยเข้ามาเป็นกรรมการบริษัทแทนบิดา โดยชัยมีธุรกิจส่วนตัวที่บริหารอยู่คือ บริษัทไทยชิปบอร์ด แต่หลังการประชุมวิสามัญกลุ่มผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2530 ชัย วรรธนะกุล ก็ถูกปลดออกจากการเป็นกรรมการบริษัท ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งกรรมการบริษัทเพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้น

การเข้าแบกรับภาระหน้าที่สืบทอดต่อจากบิดาของบรรดาชนรุ่นลูกในบริษัทอาคเนย์ประกันภัย ซึ่งมีโครงสร้างสัดส่วนการถือหุ้นและอำนาจการบริหารจัดการกระจายออกไปอย่างสมดุลนี้เอง ที่เป็นรูปแบบหนึ่งที่หาได้น้อยรายเหลือเกินในบรรดาผู้ประกอบการธุรกิจประกันภัยในเมืองไทย และเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมอีกสิ่งหนึ่งในบริษัทอาคเนย์ที่เป็นเอกลักษณ์ตลอด 41 ปีที่ผ่านมา



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.