|
'SIRI'ลุยลอนดอนขายคอนโดฯไฮโซขยายตลาดยุโรป
ASTVผู้จัดการรายวัน(20 กรกฎาคม 2552)
กลับสู่หน้าหลัก
แสนสิริ (SIRI) เสือซุ่มบุกตลาดต่างประเทศ ประเดิมซื้อตึกเก่ารีโนเวทใหม่ ทำคอนโดฯ 6 ยูนิต เริ่มต้น 60 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท ใจกลางกรุงลอนดอน ย่าน High Street Kensington แต่ยังจับกลุ่มเศรษฐีในไทยที่สนมีบ้านในลอนดอน พร้อมตั้งทีมศึกษาตลาดบุกอสังหาฯเอเชียและยุโรปต่อเนื่อง
ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของไทย ต่างได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศ ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการด้านอสังหาฯ พยายามประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอดท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ บริษัทอสังหาฯรายกลางและเล็ก ต้องชะลอการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ หรือ ขายทิ้งโครงการให้แก่ผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อรักษาสภาพคล่องต่อไป ขณะที่ ในระยะที่ผ่านมา บริษัทอสังหาฯของไทยที่จะลงทุนในต่างประเทศ แถบจะไม่เห็นความเคลื่อนไหวที่ชัดเจน
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ เพื่อหาโอกาสและตลาดใหม่ๆ โดประเทศแรกที่จะเข้าไปลงทุน คือ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยได้จัดตั้งบริษัทใหม่ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยมีบริษัทแสนสิริฯถือหุ้น 100% บริษัทดังกล่าวจะทำหน้าที่หลักในการลงทุนโครงการอสังหาฯในตลาดต่างประเทศ
“สำหรับการลงทุนในต่างประเทศนั้น แสนสิริได้วางแผนและศึกษาตลาดอสังหาฯของต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศอังกฤษมาเป็นระยะเวลากว่า 5 ปีแล้ว โดยสาเหตุที่เลือกลงทุนในประเทศอังกฤษก่อน คือ ช่วงเวลานี้ตลาดอสังหาฯ ในอังกฤษอยู่ในช่วงซบเซา เป็นการเอื้อต่อผู้ประกอบการที่มีกำลังทุนและความเข้าใจในตลาดที่จะเข้าไปทำธุรกรรมซื้อ-ขายที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะใจกลางกรุงลอนดอนที่ความต้องการที่อยู่อาศัยชั้นดีของผู้บริโภคยังมีมาก ในขณะที่โครงการที่เกิดใหม่ก็มีน้อยด้วยข้อจำกัดทางกฎหมายของประเทศอังกฤษ ทำให้เรามองเห็นช่องว่างของตลาด โดยการเข้าไปซื้อโครงการและปรับปรุงใหม่ให้ทันสมัยและทำให้คุณภาพดีขึ้นกว่าเดิมเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ”
นอกจากนี้ ความเคลื่อนไหวในอัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลปอนด์ของสหราชอาณาจักร ที่มีมูลค่าลดลงกว่าเมื่อก่อน รวมถึงแนวโน้มของชาวต่างชาติ ที่เข้าไปซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงลอนดอนเก็บเอาไว้ เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับบุตรหลานที่เดินทางไปศึกษายังประเทศอังกฤษ และความต้องการมีบ้านพักอาศัยหลังที่สอง ซึ่งมีคนไทยหลายคนต้องการ อีกทั้ง บริษัทยังมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาสินค้าระดับ A+ มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เชื่อว่าการเข้าไปลงทุนใน ประเทศอังกฤษจะเป็นตลาดที่บริษัทชำนาญอยู่แล้ว
สำหรับโครงการแรกที่แสนสิริไปลงทุน เป็นการซื้อโครงการอาคารที่อยู่อาศัยและนำมาพัฒนาเพิ่มมูลค่าให้แก่โครงการด้วยการปรับปรุงใหม่ โดยตัวโครงการมีมูลค่าประมาณ 600 ล้านบาท เป็นอาคารชุดที่ตั้งอยู่บนถนน Elvaston ย่าน High Street Kensington กลางกรุงลอนดอน ซึ่งเป็นย่านที่อยู่ใน Conservation Area และเป็นย่านที่ที่มีราคาแพงที่สุดในลอนดอน โดยโครงการนี้เป็นอาคารชุด 6 ยูนิต ขนาดเริ่มต้นตั้งแต่ 1 -3 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ประมาณ 60 – 160 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นประมาณ 60-160 ล้านบาท (1.16-2.85 ล้านปอนด์) พร้อมเปิดขายในช่วงเดือนเมษายน 2553 โดยจะเปิดขายที่ประเทศไทยเท่านั้น
“โครงการนี้ถือเป็นโครงการนำร่องสำหรับแสนสิริ ในการบุกเบิกตลาดต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน เพราะว่าเรายังใช้ฐานลูกค้ากลุ่มเดิม และแสนสิริยังคงวางเป้าหมายที่กลุ่มเป้าหมายคนไทยเป็นหลัก แม้ว่าจะบุกไปที่ตลาดต่างชาติก็ตาม ส่วนการลงทุนในประเทศอื่นๆ นั้นขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการศึกษาทั้งในกลุ่มประเทศในย่านเอเชีย และยุโรป โดยได้จัดตั้งทีมงานสำหรับดูแลงานด้านต่างประเทศเพื่อศึกษาประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอีกด้วย ซึ่งได้วางเป้าหมายการตลาดต่างประเทศจะสามารถทำรายได้ให้กับบริษัทเพิ่มขึ้นประมาณ 5-10% ภายใน 3 ปี” นายเศรษฐา กล่าว
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในครึ่งปีแรก สามารถสร้างยอดขายรวมในช่วงครึ่งปีแรกประมาณ 9,200 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 55% ของยอดขายทั้งปีจากที่วางเป้าหมายไว้ที่ประมาณ 17,000 ล้านบาท นอกจากนี้ กลุ่มแสนสิริ มียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Pre-sale backlog) จากโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม เป็นมูลค่ากว่า 18,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้จะรับรู้รายได้ในปีนี้ 14,300 ล้านบาท หรือคิดเป็น 87% ของเป้าหมายการขาย ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ภายใน 1-3 ปี โดยในด้านฐานะของบริษัท ณ ไตรมาส 1 ปี 52 มีสินทรัพย์รวม 24,000 ล้านบาท หนี้สินรวม 14,937 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 9,080 ล้านบาท อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ 9.63 % อัตราส่วนของผลตอบแทนผู้ถือหุ้้น 14.94% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 4,067.22 ล้านบาท
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ บริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ได้ปรับแผนกลยุทธ์ใหม่ เพื่อรักษาอัตราการเติบโตทางธุรกิจในประเทศ และขยายธุรกิจไปต่างประเทศ เช่น อินเดีย จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย เป็นต้น รวมทั้งการรักษาสถานะการเป็นองค์กรที่มีความมั่นคงทางการเงิน
สำหรับการขยายธุรกิจไปต่างประเทศนั้น บริษัทประเดิมการลงทุนในเมืองบังกาลอร์ อินเดีย เป็นประเทศแรก โดยตั้งบริษัทชื่อ “พฤกษา อินเดีย” ซึ่งพฤกษาลงทุนเอง 100% เพราะกฎหมายของอินเดียเปิดโอกาสให้พร้อมทั้งซื้อที่ดินไว้ประมาณ 60-70 ไร่ เพื่อพัฒนาโครงการสำหรับบ้านจัดสรร มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ตั้งราคาขายทาวน์เฮาส์ยูนิตละ 1-1.5 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 2.5-3 ล้านบาท ส่วนแผนร่วมลงทุนกับนักธุรกิจอินเดียนั้น คาดว่าจะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม เพราะพันธมิตรผู้ร่วมทุนมีความสนใจในตลาดนี้มากกว่าบ้านจัดสรร
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|