หุ้นกองทุนกรุงไทย เบื้องหลังเค้าหน้าตักธนชาติ ใคร ? ต้องการอะไร ?

โดย สมใจ วิริยะบัณฑิตกุล
นิตยสารผู้จัดการ( กันยายน 2530)



กลับสู่หน้าหลัก

กองทุนกรุงไทยถือกำเนิดเพื่อกู้วิกฤติแห่งศรัทธาของตลาดหลักทรัพย์ ปี 2522 ไม่ให้ตลาดล่มสลาย เวลาผ่านไป 8 ปี ตลาดหลักทรัพย์กลับบูมขึ้นอีกครั้ง กองทุนหมดหน้าที่ จึงจัดการผ่องถ่าย แล้วโบรคเกอร์อย่างธนชาติก็รับไปท่ามกลางปริศนา ?

670…

646…

เลข 3 ตัวทั้งสองชุดนี้ มิใช่เลขท้าย 3 ตัวของหวยงวดต่อไป !!

แต่เป็นตัวเลขแสดงมูลค่าที่บริษัทนายหน้าเสนอเข้าประมูล "หุ้นกองทุนกรุงไทย" ในยกแรก

ณ ห้องประชุมชั้น 5 ของธนาคารกรุงไทย วันนั้นถูกกำหนดให้เป็นสนามแข่งขันชิงความเป็นเจ้าของหุ้นเกือบ 5 ล้านหุ้น

เวลา 9.30 น. ของวันที่ 19 มิถุนายน กรรมการเปิดซองประมูล ภุชงค์ เพ่งศรี อธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะรองประธานกรรมการแบงก์กรุงไทย มาโนช กาญจนฉายา ผู้ช่วยผู้ว่าการแบงก์ชาติ และเธียรชัย ศรีวิจิตร กรรมการผู้จัดการใหญ่แบงก์กรุงไทย เดินทางมาถึง การประมูลเริ่มขึ้น

นาทีระทึกใจเมื่อกรรมการเปิดซองประมูล ประเสริฐ ธีรนาคนาท หัวหน้าส่วนอำนวยสินเชื่อ 4 ของกรุงไทย ซึ่งรับผิดชอบเป็นผู้ดูแลกองทุนนี้ เป็นผู้เขียนตัวเลขบนกระดาน

670,312,305 บาท โดบร่วมเสริมกิจ สินเอเชีย ธนไทย พัฒนสิน

กลุ่มบริษัททิสโก้ ไทยค้า และนวธนกิจ ซึ่งเดิมทำท่าว่าจะเข้าร่วมด้วย ปรากฏว่าไม่ได้ส่งตัวแทนมา

ถ้าดูจากตัวเลข จะเห็นว่ากลุ่มแรกซึ่งเสนอราคาสูงกว่า ก็น่าจะตีปีกได้เพราะราคาท่เสนอได้ต่ำกว่าราคาตลาดวันที่ 19 ราว 10%

แต่เมื่อคณะกรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่าต่ำกว่าราคากลางที่กำหนด (ใช้สูตรจากกระทรวงการคลัง) ก็เลยประกาศ "ยกเลิกการประมูล" !!

ท่ามกลางความรู้สึกเซ็งของบรรดาโบรคเกอร์ที่เตรียมตัวมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย หลังจากนั้นหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับวิพากษ์วิจารณ์เชิงตำหนิติเตียนว่า การตัดสินใจของกรรมการเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด เพราะราคาที่ประมูลก็จัดอยู่ในเกณฑ์ที่สูงพอสมควร ต่ำกว่าราคาตลาดไม่มาก ถ้าประมูลอีกอาจจะไม่ได้ราคาเท่านี้ !?

ดังนั้น อีกสองสัปดาห์ วันที่ 6 กรกฎาคม 2530 พบกันใหม่ตามกติกาของทางราชการ

ใครจะประมูลได้และราคาจะแย่ลงอย่างที่วิจารณ์กันหรือไม่ ??

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2518 ด้วยมูลค่ารวมของการซื้อขายหลักทรัพย์ 1,522 ล้านบาท และเติบโตอย่างรวดเร็ว ปี 2520 มูลค่าสูงกว่าปี 2519 ถึง 18.5 เท่า

ปี 2521 นับเป็นปีที่ตลาดหุ้นเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด มีมูลค่าตลอดปี 2521 สูงถึง 57,272.40 ล้านบาท ระดับราคาหลักทรัพย์ก็พุ่งตัวสูงขึ้นอย่างฉับพลันจากดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2521 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของปีนั้นเท่ากับ 180.79 จุด เพิ่มเป็น 266.2 ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2521

การเพิ่มขึ้นของภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วงนี้เอง มีการอธิบายปรากฏการณ์ว่า เป็นผลพวงมาจากความไม่เข้าใจเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ ความไม่พร้อมของระบบกลไกควบคุมของทางการ และมีการเก็งกำไรจากการค้าหลักทรัพย์ด้วยการให้สินเชื่ออย่างมหาศาล กระทั่งระดับราคาหุ้นสูงเกินความเป็นจริง

22 สิงหาคม 2522 บริษัทราชาเงินทุนซึ่งเป็นบริษัทนายหน้ารายใหญ่ ซึ่งเป็นตัวนำ (LEADER) อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ล้ม ขณะนั้นราชาเงินทุนเกิดขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง เช็คหลายใบที่สั่งจ่ายโดยราชาเงินทุนไม่สามารถขึ้นเงินได้

ระดับราคาของหุ้นราชาเงินทุนตกอย่างฮวบฮาบ ! ทำให้หุ้นทุกตัวตกหมด เกิดเป็นวิกฤตการณ์ตลาดหลักทรัพย์ มีแต่คนต้องการขาย ไม่มีคนต้องการซื้อ ตลาดหลักทรัพย์เกิดวิกฤตการณ์อย่างหนัก

เพื่อช่วยแก้วิกฤติแห่งศรัทธา แก้ปัญหาขาดความเชื่อมั่นและเสถียรภาพในราคาหลักทรัพย์ โดยการเข้าไปเพิ่มดีมานด์

"กองทุนกรุงไทย" เป็นหนึ่งในมาตรการของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย โดยให้ธนาคารกรุงไทยเป็นผู้จัดการกองทุนทุกอย่างอยู่ในชื่อของกรุงไทย เป็นผู้ออกหน้าในการทำนิติกรรม โดยธนาคารชาติให้เงินกู้ 3,000 ล้าน

บทบาทของกองทุนกรุงไทย คือ การเข้าไปซื้อหุ้นในตลาดได้ทุกหุ้น ยกเว้นหุ้นของธนาคารพาณิชย์ เพราะ พ.ร.บ.ธนาคารพาณิชย์ ห้ามถือหุ้นต่างธนาคาร

รับซื้อในหุ้นสองประเภท คือ หุ้นที่ถือโดยลูกค้าของบริษัทที่วางประกันการกู้เพื่อซื้อหลักทรัพย์ หรือเรียกว่าเล่นหุ้นแบบมาร์จิน ตัวอย่าง คือ มีเงินไปฝากไว้ที่บริษัทเงินทุน 30 บาท บริษัทจะให้เล่นหุ้นได้ในวงเงิน 100 บาท ซึ่งขณะนั้นมีคนเล่นหุ้นในกรณีนี้เป็นจำนวนมาก อีกประเภทคือหุ้นที่อยู่ในมือของบริษัทสมาชิกตลาดหลักทรัพย์

โดยที่ลักษณะการขายเป็นแบบขายฝาก

"ทางการมีกำหนดให้สามารถซื้อคืนได้ภายใน 3 ปี ในราคาทุนบวกดอกเบี้ย 9 เปอร์เซ็นต์ต่อปี พอราคาหุ้นดีขึ้นก็มีมาซื้อคืน ตอนหลังก็ยืดเวลาให้อีกปี ก็เหลืออยู่พันกว่าล้าน" เธียรชัย ศรีวิจิตร เล่ากับ "ผู้จัดการ"

จนถึงวันประมูลมีหุ้นเหลืออยู่ทั้งหมด 9,949,830 หุ้น เป็นหุ้น 56 ตัว (เดิมมี 57 แต่เนื่องจากหุ้นกองทุนสินภิญโญ 1 ครบอายุการลงทุน คือ 10 ปี ทางบริษัทจึงไถ่ถอนไปตามกำหนด)

ในจำนวนหลักทรัพย์ 56 ตัวมีหลักทรัพย์ที่อยู่ในเกณฑ์ดี คือ ความสามารถในการทำกำไรดี และราคาตลาดสูงกว่าต้นทุนซื้อมากจำนวน 41 หลักทรัพย์ หุ้นที่ผลประกอบการแย่ลงมี 6 บริษัท ส่วนอีก 8 บริษัทถูกสั่งให้ออกจากตลาดเนื่องจากผลประกอบการแย่ลงมาก ๆ มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สินมีราคาตลาดเท่ากับศูนย์

การขายครั้งนี้เป็นแบบเหมาคละกันไปทั้งส่วนดีและไม่ดี ประมูลครั้งแรกแบ่งครึ่ง คือ นำ 4,974,915 หุ้นมาประมูลก่อน

"ที่เราเลือกใช้วิธีประมูล เพราะถ้าเข้าตลาดตูมเดียวอาจจะทำให้ตลาดปั่นป่วนได้เพราะอยู่ ๆ ก็มีซัพพลายเป็นพันล้าน ทีแรกเราให้ประมูลครึ่งหนึ่ง เพราะปริมาณซื้อขายแต่ละวันประมาณ 400-500 ล้านบาท ตอนหลังมันสูงมากถึง 500-900 ล้าน เพราะมีนักลงทุนต่างประเทศเข้ามามาก เราคิดว่า เขารวมกลุ่มกันได้ เราเลยคิดว่าประมูลไปทีเดียวทั้งล็อทเลยก็น่าจะได้" เธียรชัยอธิบายเหตุผล

ยิ่งใกล้วันที่ 6 กรกฎาคม 2530 บริษัทนายหน้าวิ่งหาลูกค้ากันอย่างเหน็ดเหนื่อย เพราะคราวนี้วงเงินพันกว่าล้านสำหรับกลุ่มภัทรธนกิจ มีการเตรียมการอย่างคึกคักด้วยหมายมั่นจะเป็นผู้ประมูลได้

"เราเปิดซองประมูลสำหรับลูกค้าในกลุ่ม 30-40 ราย เราเปิดซองไปเรื่อยตั้งแต่ 5 โมงเย็นถึง 5 ทุ่ม ลูกค้าที่เข้าประมูลส่วนใหญ่เสนอประมูลบางหลักทรัพย์ที่ตนสนใจ ถ้าราคาที่ประมูลต่ำกว่าราคาตลาดเกิน 10% เราจะตัดออก นอกนั้นเราก็เอาราคามาเปรียบเทียบกันดูว่าใครสูงกว่า" วิโรจน์ นวลแข กรรมการผู้จัดการภัทรธนกิจ เล่าวิธีคิดราคาเสนอประมูลกับ "ผู้จัดการ"

ส่วนธนชาตินั้น สามารถหาลูกค้าจากต่างประเทศได้เพียงรายเดียว แต่ตัวธนชาติ ซึ่งมีหุ้นของตัวเอง 5.3% ในกองทุนด้วยได้ร่วมเป็นหนึ่งในผู้ประมูลในกลุ่มของภัทรธนกิจ

การประมูลครั้งที่สอง ณ ที่เก่าเวลาเดิม

1,665 ล้านบาท เสนอโดย ธนชาติ

1,521.5 ล้านบาท เสนอโดย กลุ่มภัทรธนกิจ

1,472 ล้านบาท เสนอโดย กลุ่มร่วมเสริมกิจ

คราวนี้ไม่มีการยกเลิก เป็นอันว่าธนชาติประมูลได้ไป ด้วยราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดประมาณ 5%

การประมูลครั้งที่สองนี้นับว่า ถูกจังหวะมากเพราะอยู่ในช่วงที่ตลาดหลักทรัพย์กำลังบูมมาก ดัชนีตลาดหลักทรัพย์กำลังเพิ่มสูงขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจที่มูลค่าประมูลครั้งนี้สูงกว่า เมื่อเทียบกับสองเท่าของคราวที่แล้วถึง 315 ล้าน

ต้นทุนของกองทุนกรุงไทยคิดจากต้นทุนเฉลี่ย 1,181,588,340.00 บาท ราคาประมูล 1,655 ล้านบาท กำไรขั้นต้นได้ประมาณ 437 ล้านาท

แบงก์ชาติได้เงินต้นคืน บวกดอกเบี้ย 6%

กรุงไทยได้ค่า MANAGEMENT FEE 1% ในช่วง 4 ปีแรก ส่วน 4 ปีหลังได้ค่า CUSTODION COST (รับฝากใบหุ้น) 0.1% ของราคาทุน ใบหุ้นทั้งหมดใช้ตู้เอกสารทั้งหมด 7 ใบ

หักค่าใช้จ่ายทั้งหมดมีเงินเหลือเข้าคลังอีก 400 กว่าล้าน ซึ่งนาน ๆ ทีที่มาตรการการแก้ปัญหาของรัฐจะประสบความสำเร็จ แถมยังมีเงินเหลือเข้าพกเข้าห่ออีก

งานนี้หากธนชาติคิดค่านายหน้าตามอัตราซื้อขายปกติ คือ 0.5% จะได้ค่านายหน้าคิดเป็นเงิน 8,275,000 บาท เป็นเงินมากโขอยู่สำหรับการซื้อขายเพียงครั้งเดียว และถ้าเจ้าของต้องการสั่งขายต่อไปก็คงต้องใช้บริการของธนชาติอีก ส่วนใบหุ้นนั้นฝากไว้ที่ไทยพาณิชย์ แหล่งข่าวในไทยพาณิชย์บอก "ผู้จัดการ" ว่า CUSTODION COST สูงกว่า 0.1% แน่เพียงแต่ไม่อยากเปิดเผยว่าใสเท่าไหร่

ก็ดูน่าจะแฮปปี้กันทุกฝ่าย แต่ผู้บริหารบางกิจการอาจจะหนาวร้อน ๆ เพราะหุ้นบางตัว เจ้าของใหม่ได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งสามารถใช้สิทธิ์เข้าไปร่วมบริหารได้ เช่น ที่เอเชียไฟเบอร์ถืออยู่ 423,000 จาก 1,500,000 หุ้น คิดเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งมีสัดส่วน 28.26% มาบุญคอรงมีหุ้นอยู่ 605,150 จาก 7,335,000 คิดเป็นอันดับ 3 มีสัดส่วน 8.3% ซึ่งเท่าเพิ่มสัดส่วนให้กับฝ่ายเจ้าหนี้ซึ่งนำโดยธนชาติ ซึ่งกำลังเป็นกรณีพิพาทอยู่ในขณะนี้ หุ้นอื่น ๆ ความสำคัญก็ขึ้นอยู่กับอัตราส่วนการถือครอง

ส่วนหุ้นที่อยู่นอกตลาดซึ่งถือว่ามีมูลค่าเป็นศูนย์ เช่น รามาทาวเวอร์ เฟิสท์ทรัสต์ ซึ่งถือหุ้นอยู่มากพอสมควรทีเดียว จะจัดการอย่างไรก็คงอยู่ที่เจ้าของที่แท้จริงว่าเป็นกลุ่มใด

ถึงตอนนี้ก็ยังเป็นปริศนาอยู่ว่าใครคือผู้ซื้อตัวจริง ?!

หลังจากประมูลได้มีผู้ใหญ่กระทรวงการคลังคนหนึ่ง ให้ข่าวในเชิงว่าที่ธนชาติแจ้งนักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ประมูลทั้งหมดแท้จริงแล้วต่างชาติประมูลไปเพียง 25%

บันเทิง ตันติวิท ผู้จัดการใหญ่ของธนชาติ ซึ่งปกติไม่ค่อยยอมให้สัมภาษณ์คราวนี้ถึงกับจัดแถลงข่าวโต้ผู้ใหญ่คลังว่า บริษัทประมูลให้แก่ลูกค้าซึ่งเป็นนักลงทุนต่างชาติเพียงรายเดียว ซึ่งข้อมูลรายละเอียดการประมูลครั้งนั้นรายงานให้กับแบงก์ชาติทราบแล้ว

"เรื่องข่าวที่ผิดพลาดทั้งที่ความจริงผู้ให้ข่าอยู่ในฐานะที่ตรวจสอบได้นั้นก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อบริษัท นอกจากนั้นก็อาจจะสร้างความเสียหาย รวมทั้งอาจเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแก่ผู้ลงทุน" บันเทิงกล่าว

สำหรับใครที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงยังไม่เป็นที่แน่ชัด เพราะทางธนชาติปิดปากเงียบถือว่าเป็นผลประโยชน์ของลูกค้า

มีการคาดกันว่า อาจจะเป็นกลุ่ม ที.ซี.ซี. โมนินี่ ขณะที่แหล่งข่าวในตลาดหลักทรัพย์บอกว่า เท่าที่โอนไปแล้วบางส่วนอยู่ในชื่อ SKANDINAVISKA ENSKILDA BANKEN ประเทศสวีเดน

ที่ค่อนข้างแน่นอนก็คือ เงินก้อนนี้ส่งเข้ามาทางธนาคารอินโดสุเอซ "ลูกค้าติดต่อจากธนาคารอินโดสุเอซที่ฮ่องกง ให้ทางเราเป็นผู้จ่าย" ศักดิ์ ปัญจพงษ์ ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารอินโดสุเอซ เปิดเผย "ผู้จัดการ"

ก็ยังคงปริศนาต่อไปว่า ใครคือเจ้าของที่แท้จริง เราคงจะต้องติดตามความเคลื่อนไหวหลังจากมีการโอนหุ้น (ซึ่งเสียเวลาค่อนข้างมาก เพราะหลายบริษัทเป็นนายทะเบียนของตัวเอง) ว่านักลงทุนกลุ่มนี้เป็นนักเก็งกำไรหรือนักลงทุนระยะยาว ?



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.