เติมศักดิ์ กฤษณามระ ไม่ใช่นักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ แต่นักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่
ในบ้านเราต่างให้ความเคารพและเกรงใจ โดยเฉพาะเจ้าของธนาคารและสถาบันการเงินต่าง
ๆ หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่า สาเหตุเนื่องจาก เติมศักดิ์ กฤษณามระ เป็นเจ้าของสำนักงานตรวจสอบบัญชี
ไชยยศ ซึ่งเป็นสำนักงานตรวจสอบบัญชีที่เก่าแก่ มีลูกค้าใหญ่ ๆ มากมายมานาน
ไม่ว่าคำวิพากษ์วิจารณ์นั้นจะเป็นจริงหรือไม่อย่างไร แต่ข้อสรุปอย่างหนึ่งที่เป็นจริงก็คือว่า
เงินสนับสนุนจีบ้าที่ เติมศักดิ์ กฤษณามระ เป็นผู้อำนวยการอยู่นั้น เกือบทั้งหมดที่นักธุรกิจในประเทศไทยบริจาคให้มีสาเหตุมาจากความเกรงใจต่อศาสตราจารย์กิตติคุณ
เติมศักดิ์ กฤษณามระผู้นี้
ทุก ๆ วันชีวิตของเติมศักดิ์ กฤษณามระ จะเริ่มต้นตั้งแต่เช้าตรู่ นำพาเรือนร่างวัย
60 ปีของเขาถึงสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (จีบ้า)
ในเวลาไม่เกิน 8.00 น. นั่งทำงานอยู่ที่นี่จนกระทั่งถึงเที่ยง แล้วก็ตรงไปยังสำนักงานตรวจสอบบัญชีไชยยศในตอนบ่าย
วุ่นวายอยู่กับธุรกิจส่วนตัวอยู่ที่นั่นจนกระทั่งดึก จึงกลับบ้าน ล้มตัวลงนอน
"ผมจะกลับถึงบ้านตอนตีสาม" เขาย้ำกับ "ผู้จัดการ" มันเป็นกิจวัตรที่เขากล่าวว่า
เขาต้องทำอยู่ทุก ๆ วัน ดุจหนึ่งโปรแกรมที่วางเอาไว้ และหากไม่มีเหตุการณ์กะทันหันอย่างเช่น
ต้องเข้าประชุมกับสมาคมที่เขาได้รับเชิญให้เป็นกรามการอยู่อีกกว่า 10 สมาคมโปรแกรมชีวิตของศาสตราจารย์กิตติคุณเติมศักดิ์
กฤษณามระ ก็จะเดินไปอย่างนี้ทุกวัน
"ผมก็ยังรู้สึกประหลาดใจอยู่ว่า มีอย่างหรือว่ากลับบ้านตอนตีสาม แล้วก็ตอนเช้ามานั่งทำงานตอนแปดโมงเช้าได้โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
ก็ทำได้ มันคงจะมีความพอใจหรือมีบุญอะไรสักอย่าง"
"บุญอะไรสักอย่าง" ที่เติมศักดิ์ กฤษณามระ กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
นั้นก็หมายถึงบุญกุศลที่เขาได้รับจากการที่ได้มีโอกาสไปนั่งฝึกสมาธิเมื่อสมัยที่เขายังเป็นหนุ่มแน่นอายุได้ประมาณ
30 ปี ณ สำนักฝึกสมาธิแห่งหนึ่งแถววงเวียนใหญ่
ถึงแม้ทุกวันนี้ เติมศักดิ์ กฤษณามระ จะเลิกฝึกสมาธิแล้ว แต่เขาก็คิวด่าสิ่งต่าง
ๆ ที่เขาทำอยู่ได้อย่างที่หลายคนทำไม่ได้ในปัจจุบันนั้น คงจะมีผลมาจากการฝึกสมาธิของเขาเมื่อครั้งนั้นนั่นเอง
"ผมเลิกเพราะผมคิดว่า บุญผมคงไม่พึงและผมก็เป็นคนขี้สงสัย คือ การที่เราจะไปนั่งสมาธิเขาก็จะสอนเราก่อนว่า
ให้ตั้งจิตใจเป็นกุศลให้ตั้งจิตใจเผื่อแผ่ ผมเองไม่ได้เป็นคนเผื่อแผ่นะครับ
ผมเองไม่สามารถเผื่อแผ่ได้ ผมมานั่งหลับตาและคิดถึงว่าหากเราสามารถที่จะทำสำเร็จได้
แล้วเราก็สามารถที่จะมีตาทิพย์ที่จะมองเห็นหมดได้ในตัวคน ปัญหาอะไรต่าง ๆ
เราแก้ปัญหาให้ได้กับทุกคนแก้ให้คนที่หนึ่ง คนที่หนึ่งก็ไปบอกกับคนที่สอง
คนที่สองก็ไปบอกกับคนที่สาม ทุก ๆ คนต่างก็มานั่งถามและปรึกษาผม เดี๋ยวคนนั้นก็ป่วยด้วยโรคนั้นมา
เดี๋ยวคนก็ป่วยด้วยโรคนี้มา ชีวิตผมก็มิต้องทำอะไรกันซิครับ ผมเองก็มองตัวเองว่าผมไม่ใช่คนอย่างนั้นก็เลยเกิดสงสัย"
การเกิดสงสัยนั้น เขาอธิบายให้ "ผู้จัดการ" ฟังต่อมาว่า
"ผมสงสัยว่า เราทำไปทำอะไร ทำไปเอาไว้หลอกตัวเอง คือ กลางวันผมมาทำงานใครทำผิดผมไล่ออก
ตัดเงินเดือนสะบั้นหั่นแหลกเลย แต่พอกลางคืนก็แหมมานั่งแผ่เมตตา ไปช่วยคนที่เจ็บป่วยแล้วมาหาเราไปเป็นกุลีคนหนึ่งที่สำนักจนถึงตีสอง
แหมมัน INCONSISTENT ในชีวิตผมน่ะครับ ก็เลยมานั่งสรุปว่าผมคงบุญน้อย"
เติมศักดิ์ กฤษณามระ อาจจะโชคดีกว่าหลาย ๆ คนตั้งแต่เกิด เขาถือกำเนิดขึ้นมาในตระกูลขุนนางเก่า
เป็นบุตรคนโตของพระยาไชยยศสมบัติ (เสริม กฤษณามระ) และคุณหญิงศรีไชยยศสมบัติ
พระยาไชยยศสมบัติเป็นขุนนางเก่าที่มีความคิดที่ค่อนข้างจะทันสมัย และกว้างขวางในหมู่คนรวยยุคนั้น
เป็นคนหนึ่งในการเข้าร่วมก่อตั้งแบงก์สยามกัมมาจลซึ่งเป็นธนาคารแห่งแรกในประเทศไทย
โดยเมื่อพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย ได้รวบรวมบรรดาพวกเจ้านาย
ขุนนาง พ่อค้า และตัวแทนของธนาคารในต่างประเทศ เพื่อทำการจัดตั้งแบงก์สยามกัมมาจลขึ้นมา
เมื่อปี พ.ศ. 2450 พระยาไชยยศสมบัติเป็นผู้หนึ่งที่มีความคิดเห็นด้วยกับการจัดตั้งครั้งนี้
จึงเข้าร่วมก่อตั้งเป็นผู้ถือหุ้นด้วยเป็นจำนวน 77 หุ้นมูลค่าหุ้นละ 1,000
บาท
นอกจากจะเป็นผู้เข้าร่วมในการก่อตั้งธนาคารพาณิชย์แห่งแรกของเมืองไทยแล้ว
ในปี พ.ศ. 2478 ซึ่งขณะนั้นเติมศักดิ์ กฤษณามระ มีอายุได้เพียง 8 ขวบ พระยาไชยยศสมบัติผู้บิดาก็ยังได้ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในปีนั้นอีกด้วย
เรียกว่า บารมีนั้นไม่ต้องพูดถึง
มิหนำซ้ำ พระยาไชยยศสมบัติผู้นี้ ยังเป็นผู้ก่อตั้งคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ขึ้นในปี พ.ศ. 2482 และดำรงตำแหน่งเป็นคณบดีคนแรกของคณะนี้อีกด้วย
และในปีที่ได้ก่อตั้ง คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีนี้เอง พระยาไชยยศสมบัติได้เริ่มมองถึงธุรกิจของตัวเอง
และได้ทำการก่อตั้งสำนักงานตรวจสอบบัญชีไชยยศขึ้นมา
ด้วยบารมีที่พระยาไชยยศได้สร้างขึ้นมา ดังที่กล่าวมาแล้วตั้งแต่ต้น สำนักงานตรวจสอบบัญชีไชยยศ
จึงเต็มไปด้วยลูกค้าที่เก่าแก่มากมาย ในจำนวนธนาคารของเอกชนที่มีอยู่ในปัจจุบันจำนวน
12 ธนาคารเป็นธนาคารที่ให้สำนักงานไชยยศเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีอยู่ถึง 5 ธนาคาร
ซึ่งประกอบด้วยธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารสหธนาคาร
และธนาคารแหลมทอง จำกัด
"ธุรกิจการตรวจสอบบัญชี ย่อมเป็นธุรกิจที่ใคร ๆ ต่างให้ความเกรงใจอยู่แล้ว
เนื่องจากเป็นคนที่สองที่รู้เรื่องตัวเลขที่แท้จริงของลูกค้านอกเหนือจากตัวลูกค้าเอง
และลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทต่าง ๆ ก็เป็นลูกค้าของสถาบันการเงินและธนาคาร
คุณจะไม่ให้ธนาคารเขาซูฮกเจ้าของสำนักงานเหล่านี้ได้อย่างไร" แหล่งข่าวรายหนึ่งให้ทัศนะต่อ
"ผู้จัดการ"
เติมศักดิ์ กฤษณามระเริ่มลืมตาดูโลก เป็นวันแรกเมื่อวันเสาร์ที่ 12 กันยายน
2470 เขายัมีน้องอีก 5 คน คนแรกเป็นผู้หญิง คือ รองศาสตราจารย์แพทย์หญิงเสริมศรี
สินธวานนท์ ปัจจุบันอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ คนที่สองชื่อ ทวีเกียรติ กฤษณามระ
ปัจจุบันเป็นรองอธิบดีกรมธนารักษ์ คนที่สามชื่อ เฉลิมขวัญ นิวาตวงศ์ ทำงานอยู่ที่สำนักงานไชยยศ
คนที่สี่ คือ ชฎา วัฒนศิริธรรม ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายการธนาคารต่างประเทศและวิชาการของธนาคารไทยพาณิชย์
จำกัด คนที่ห้าซึ่งเป็นคนสุดท้องและจบมาจาก INSTITUTE OF BANKER ในประเทศอังกฤษ
ชื่อ สมฤกษ์ กฤษณามระ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่สำนักงานไชยยศ
"น้องชายของผมทั้งสองคนรวมทั้งตัวผมเอง ล้วนแต่จบบัญชีมาทั้งนั้น ดังนั้นที่สำนักงานของผมจึงมีคนช่วยกันเยอะและเนื่องจากผมเป็นพี่ใหญ่จึงต้องคอยดูแลและคอยเซ็นชื่อ"
ประธานกรรมการสำนักงานไชยยศที่ชื่อ เติมศักดิ์ กฤษณามระ กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
อายุได้ 6 ขวบ เติมศักดิ์ กฤษณามระ ก็เริ่มเข้าโรงเรียนที่โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยเป็นแห่งแรก
เรียนอยู่ที่นี่ได้ไม่นานก็เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นบุกทิ้งระเบิดทุกวัน
เจ้าขุนมูลนายในยุคนั้นหลายคนต่างกลัวว่า ลูกไปโรงเรียนแล้วจะมีอันตราย จึงมีการย้ายโรงเรียนวชิราวุธไปยังบางปะอิน
นักเรียนส่วนใหญ่ก็ถูกส่งไปประจำยังที่นั่น พระยาไชยยศสมบัติไม่อยากที่จะให้ลูกของตัวเองไปถึงบางปะอินจึงให้เด็กชายเติมศักดิ์
กฤษณามระ ย้ายโรงเรียน โดยช่วงที่ย้ายโรงเรียนนั้น เติมศักดิ์ กฤษณามระ จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่
5 จากโรงเรียนวชิราวุธ พอดี เติมศักดิ์ กฤษณามระ ย้ายไปเรียนยังโรงเรียนอำนวยศิลป์พระนครในชั้นมัธยมศึกษาปีที่
6 และสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมปีที่ 6 ที่โรงเรียนแห่งใหม่นี้ เมื่อ พ.ศ.
2486
หลังจากนั้น จึงเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 7-8 ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
และสอบได้ประโยคเตรียมอุดมศึกษาที่นี่
ในปี 2489 เขาเริ่มเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย โดยเริ่มต้นที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่บิดาของตัวเองเป็นคณบดีอยู่ เรียนอยู่ได้แค่ชั้นปีที่
2 ก็มีอันต้องย้ายสถาบันการศึกษาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ย้ายไปไกล โดยไปเรียนยัง
THE VICTORIA UNIVERSITY OF MANCHESTER ประเทศอังกฤษในสาขาวิชาการบัญชี และจบปริญญาตรีที่นี่
แล้วไปทำการฝึกงานและศึกษาอยู่ที่ THE INSTITUTE OF CHARTERED จนได้เป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตของสถาบันผู้สอบบัญชีแห่งอังกฤษและเวลส์
เมื่อ พ.ศ. 2498
กลับประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2499 เริ่มหน้าที่การงานรับราชการอย่างเป็นจริงเป็นจัง
เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2499 โดยเริ่มในตำแหน่งอาจารย์ตรี ของคณะพาณิชยศาสตรและการบัญชี
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะที่ตัวเขาเองเคยลาออกเมื่อปี 2491
เติมศักดิ์ กฤษณามระ ได้สมรสกับสายจิตร ณ สงขลา ซึ่งเป็นธิดาของเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศร์
มีบุตรด้วยกัน 2 คน คนแรกชื่อ ศุภศักดิ์ กฤษณามระ ปัจจุบันกำลังศึกษา MBA
อยู่ที่ KELLOGG มหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น โดยก่อนหน้านั้นเขาจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์เช่นเดียวกับคุณพ่อ
คนที่สอง คือ ณัฐวัฒน์ กฤษณามระ ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด
ทางด้านสาขาวิชานิติศาสตร์
หลายคนที่ใกล้ชิดเติมศักดิ์ กฤษณามระ ได้เล่าให้ "ผู้จัดการ"
ฟังว่า เขาเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีความคิดที่ทันสมัยคล้าย ๆ พระยาไชยยศสมบัติผู้เป็นบิดา
ในขณะที่เป็นอาจารย์รับราชการอยู่ในจุฬาฯ เขามีความคิดอยู่เสมอในการที่จะปรับปรุงหลักสูตรของคณพาณิชยศาสตร์และการบัญชีของจุฬาฯ
ให้ทันสมัย ตลอดจนพยายามที่จะเร่งเร้าให้เหล่าอาจารย์ทำการค้นคว้าแต่งตำราขึ้นเอง
เพื่อให้นิสิตได้มีหนังสืออ่านประกอบ แทนที่จะใช้ตำราฝรั่งอย่างเดียว ซึ่งนิสิตอ่านไม่ค่อยเข้าใจ
ในปี 2502 เติมศักดิ์ กฤษณามระ ซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงอาจารย์โทอยู่ในคระพาณิชยศาสตร์และการบัญชีแห่งนี้
ก็เป็นผู้วิ่งเต้นเริ่มจัดทำหลักสูตรปริญญาโททางพาณิชยศาสตร์และการบัญชีขึ้น
ซึ่งก็ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี ปี 2530 ซึ่งเป็นปีแรกที่ทางคณะฯ มีการรับสมัครนั้น
ตามข้อมูลที่ได้รับปรากฏว่า มีมหาบัณฑิตทางด้านพาณิชยศาสตร์เป็นจำนวน 77
คน และมหาบัณฑิตทางด้านบัญชีอีก 108 คน ซึ่งนับเป็นความสำเร็จที่ไม่เลวเลย
สำหรับการเริ่มต้นในปีแรก
ในปี 2507 เติมศักดิ์ กฤษณามระ ก็ได้เลื่อนขึ้นนั่งในตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาการบัญชี
ซึ่งในปีนี้นี่เองที่เขาได้พัฒนาหลักสูตรโดยเปิดสาขาการธนาคารและการเงินขึ้นเป็นหมวดวิชาเอกหมวดหนึ่งในภาควิชาการบัญชี
และต่อมาหมวดวิชาเอกหมวดนี้ก็ได้พัฒนาขึ้นไปจนกลายเป้นแผนกเรียกว่า แผนกวิชาการธนาคารและการเงิน
เมื่อปี 2511
จากการที่พยายามที่จะคิดค้นและพัฒนาหลักสูตรของเขานี่เอง ในช่วงที่เขานั่งในตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาการบัญชี
ประกอบกับการสนใจต่อปัญหาธุรกิจและเศรษฐกิจในบ้านเมืองอยู่ตลอดเวลา เติมศักดิ์
กฤษณามระ ยังเป็นผู้ริเริ่มในการเปิดสาขาการต้นทุนในภาควิชาการบัญชีขึ้น
ในปี 2509 ซึ่งนับเป็นหมวดวิชาเอกอีกหมวดหนึ่งในภาควิชาการบัญชีจนถึงปัจจุบัน
ปี 2514 นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเติมศักดิ์ กฤษณามระ อีกครั้งหนึ่ง
เมื่อเขาได้รับแต่งตั้งจากสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ดำรงตำแน่งคณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีของจุฬาฯ
ต่อจากศาสตราจารย์อุปการคุณอาภรณ์ กฤษณามระ ผู้เป็นอาของเขาเอง
เมื่อได้ขึ้นนั่งในตำแหน่งคณบดีแล้ว เติมศักดิ์ กฤษณามระ ก็เริ่มทำการเปลี่ยนแปลงระบบการเรียนการวัดผลการศึกษาระบบรายปีมาตั้งแต่ดั้งเดิมเขาก็เปลี่ยนใหม่เป็นระบบหน่วยกิต
ซึ่งมีการวัดผลการศึกษาเป็นรายภาค โดยวิธีนี้เขาคาดว่าจะทำให้นิสิตมีความตั้งใจเรียนโดยสม่ำเสมอยิ่งขึ้น
ทั้งยังเปิดโอกาสให้นิสิตที่มีสติปัญญาและความสามารถในระดับที่ต่าง ๆ กัน
มีโอกาสได้วางแผนการเรียนของตัวเองได้ตามความสามารถและความเหมาะสมของตัวเองมากยิ่งขึ้น
ซึ่งมีผลทำให้นิสิตในคณะที่เรียนไม่จบมีจำนวนน้อยลง
"ศาสตราจารย์เติมศักดิ์ กฤษณามระ ได้เริ่มตั้งสถาบันวิจัยธุรกิจขึ้นในคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
เมื่อ พ.ศ. 2515 … นอกจากนี้ เพื่อเป็นหลักประกันว่า จะมีการปรับปรุงหลักสูตรให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ที่เปลี่ยนไป
ศาสตราจารย์เติมศักดิ์ กฤษณามระ ยังเป็นผู้ริเริ่มตั้งคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรของคณะฯ
ขึ้น เพื่อจะได้คอยติดตามปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลักสูตรให้เหมาะสมต่อสถานการณ์ของประเทศอยู่เสมอ
ตลอดจนยังได้จัดตั้งฝ่ายวางแผนและพัฒนาคณะฯ เพื่อให้มีการวางแผนขยายงานให้รับกับการปรับตัวที่จำเป็น…"
บทความตอนหนึ่ง ในคำชี้แจงแสดงประวัติ หน้าที่ ปริมาณ และคุณภาพของงานของศาสตราจารย์เติมศักดิ์
กฤษณามระ เพื่อประกอบการพิจารณาของพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก
(ม.ป.ช.) กรณีพิเศษ ว่าเอาไว้
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2515 เขาได้เลื่อนตำแหน่งอีกครั้ง ครั้งนี้ขึ้นไปนั่งในตำแหน่งรองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา
ซึ่งนับเป็นรองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนาคนแรกของจุฬา
วันที่ 6 สิงหาคม 2516 เติมศักดิ์ กฤษณามระ ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองอธิการบดีฝ่ายทรัพย์สิน
ซึ่งก็นับเป็นรองอธิการบดีฝ่ายทรัพย์สินคนแรกเช่นกัน ถึงแม้ว่าตำแหน่งนี้ดูเหมือนจะมีผลประโยชน์มากที่สุดในจุฬาฯ
ก็ตาม แต่สถานการณ์ทางการเมืองในช่วงนั้น ซึ่งก็เป็นช่วงที่เกิดเหตุการณ์
14 ตุลาคม 2516 ไม่ได้มีผลดีต่อ เติมศักดิ์ กฤษณามระ เท่าใดนักเลย เมื่อเขาตัดสินใจขึ้นค่าเช่าในพื้นที่ของจุฬาฯ
ในปีนั้น เขาก็พบกับประสบการณ์ครั้งแรกเมื่อผู้เช่าที่ดินของจุฬาฯ เดินขบวนประท้วงการขึ้นค่าเช่า
อย่างไรก็ดี ชีวิตของเติมศักดิ์ กฤษณามระ ก็หาได้ตกอับตามสถานการณ์ไม่ชีวิตของเขาช่างโชคดีกว่าหลาย
ๆ คนดั่งที่กล่าวแล้วในตอนต้น ในปี 2518 ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่ถัดมารจากการเดินขบวนประมาณ
2 ปี เขาก็ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
แต่เขาก็ดำรงตำแหน่งสูงสุดในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนี้ ได้เพียงหนึ่งสมัยหรือ
2 ปีเท่านั้นก็ลาออกในปี 2520 ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลหอยครองเมืองอยู่ เขาให้เหตุผลสั้น
ๆ ว่า "เนื่องจากประสงค์จะพัฒนาจุฬาลงกรณ์ให้เข้าสู่ระบบสมัยใหม่"
ซึ่งก็ไม่ทราบว่า เป็นคำประชดประชันรัฐบาลในช่วงนั้นหรือไม่ อย่างไร "ผู้จัดการ"
ไม่ขอออกความเห็น
แต่ชีวิตการรับราชการของเขายังคงอยู่
"ผมลาออกแล้ว แต่ถูกยับยั้ง โดยทางมหาวิทยาลัยเขาไม่ต้องการให้ผมลาออก
แล้วเขาก็ขอให้ผมไปทำสถาบันภาษาของจุฬาฯ ซึ่งสถาบันนี้เป็นโครงการที่ผมเองริเริ่มทำขึ้นมาตั้งแต่เป็นรองอธิการบดีอยู่"
เติมศักดิ์ กฤษณามระ กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
เขาเป็นผู้อำนวยการสถาบันภาษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่ได้เพียง 2 เดือน
จนถึงวันที่ 1 เมษายน 2521 ชีวิตการรับราชการมากว่า 30 ปีก็จบสิ้นลง ณ สถาบันแห่งนี้
เหตุผลของการลาออกในครั้งนั้น เนื่องจากบิดาคือ ศาสตราจารย์อุปการคุณพระยาไชยยศสมบัติ
ได้ถึงแก่อนิจกรรม เติมศักดิ์ กฤษณามระ ต้องเข้าไปรับผิดชอบสำนักงานตรวจสอบบัญชีไชยยศ
อย่างเต็มตัว
การเริ่มต้นกับธุรกิจส่วนตัวที่เป็นจริงเป็นจังของเขา ก็ได้เริ่มต้น ณ จุดนี้
ต้องยอมรับกันจุดหนึ่งว่า เติมศักดิ์ กฤษณามระ นั้นเป็นนักการศึกษาที่เก่งเอามาก
ๆ ทีเดียว แต่นักการศึกษาก็หาใช่ว่าจะทำธุรกิจเก่งทุกคน เท่าที่ผ่านมาแม้ว่าสำนักงานไชยยศ
จะมีชื่อเสียงมานานแล้วก็ตาม และในช่วงหลัง เติมศักดิ์ กฤษณามระ ได้เข้าไปบริหารเต็มตัวแล้ว
แต่สำนักงานไชยยศก็ไม่ได้เติมโตขึ้นกว่าเดิมเท่าใดนักเลย และในภายหลังที่เริ่มมีสำนักงานตรวจสอบบัญชีจากต่างประเทศเข้ามาตั้งสาขาในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น
ทั้งคนไทยก็เริ่มมีสำนักงานตรวจสอบบัญชีเพิ่มขึ้นเป็นลำดับทุก ๆ วัน การแข่งขันในตลาดนี้ก็นับวันจะสูงขึ้นเป็นลำดับ
จนภายหลังถ้าดูกันจริง ๆ แล้วสำนักงานไชยยศ มีมาร์เก็ตแชร์หรือส่วนแบ่งในตลาดนี้อยู่ในระดับกลาง
ๆ เท่านั้นเอง
ดังที่กล่าวมาแล้วในตอนต้น บารมีของพระยาไชยยศสมบัติ ยังคงมีอยู่กับนักธุรกิจรุ่นเก่า
ๆ ทำให้ส่งผลมาจนถึงรุ่นหลัง คือ เติมศักดิ์ กฤษณามระ ที่เรากำลังกล่าวถึง
เมื่อเติมศักดิ์ กฤษณามระ เริ่มเข้าจับงานที่สำนักงานไชยยศเต็มตัว เขาก็เริ่มที่จะผลักดันให้สำนักงานแห่งนี้เป็นสำนักงานตรวจสอบบัญชีระดับ
INTERNATIONAL ให้ได้ และไม่นานต่อมา เขาก็ได้ทำสัญญาข้อตกลงร่วมกันกับสำนักงานสอบบัญชี
TOUCHE ROSS INTERNATIONAL แห่งประเทศอเมริกาขึ้นมาในการที่จะทำงานตรวจสอบบัญชีร่วมกัย
อย่างไรก็ดี ชีวิตของเขาก็ดูเหมือนจะถูกฟ้าลิขิตและขีดเส้นเอาไว้แล้ว ว่าให้เดินบนหนทางเส้นนี้
บนหนทางการศึกษา !!
ในการประชุมสภามหาวิทยาลัยของจุฬาฯ เมื่อปี 2524 กรรมการสภามหาวิทยาลัยท่านหนึ่งที่ชื่อ
บัญชา ล่ำซำ ได้เสนอต่อที่ประชุมสภาในวันหนึ่งว่า ขณะนี้ความต้องการนักบริหารระดับ
MBA มีสูงมาก เนื่องจากองค์กรธุรกิจเพิ่มมากขึ้นทุกที เราพอจะมีทางเปิดหลักสูตรหรือว่าตั้งอะไรขึ้นมาได้ไหม
เพื่อตอบสนองความต้องการอันนี้
"นักธุรกิจไทยนั้น ด้วยความเป็นห่วงในการหาตัวนักบริหาร เพื่อจะรับกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
ซึ่งในตอนนั้นก็มีโครงการที่สำคัญออกมาอันหนึ่ง คือ โครงการอีสเทอร์นซี บอร์ด
ซึ่งถ้าหากเราไม่มีการเตรียมตัวในการผลิตนักธุรกิจขึ้นมาแล้ว นักธุรกิจที่มีอยู่ก็จะไม่เพียงพอกับความต้องการ
เราจึงเห็นว่า จำเป็นต้องตั้งองค์กรที่จะผลิตนักบริหารรุ่นใหม่ขึ้นมา ขณะเดียวกันก็มองเห็นว่าแนวโน้มของธุรกิจมันเป็นลักษณะธุรกิจข้ามชาติมากขึ้นเป็นลำดับ
และมันก็ไม่ได้ข้ามมาอย่างเดียว เราก็ข้ามออกไปด้วย แต่การที่จะตั้งองค์กรผลิตนักบริหารมันก็มีอุปสรรคหลายอย่าง
ประการแรก มหาวิทยาลัยของรัฐที่มีอยู่นั้นสอนภาษาต่างประเทศให้พูดได้ปฏิบัติได้แค่ไหน
เนื่องจากการสื่อสารระหว่างทำธุรกิจมันเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง และการหาตัวเอาโปรเฟสเซอร์จากต่างประเทศ
จะให้มหาวิทยาลัยของรัฐติดต่อก็คงไม่มีความคล่องตัวพอ" เติมศักดิ์ กฤษณามระ
กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ถึงความคิดของนักธุรกิจและนักการศึกษาหลายคนที่จะก่อตั้งองค์กรการศึกษาขึ้นมาใหม่อีกองค์กรหนึ่ง
โดยสรุป ในที่สุด ทางด้านนักธุรกิจกับภาครัฐบาลก็จับมือกันในการที่จะตั้งองค์กรนี้ขึ้นมา
โดยทางภาครัฐบาลจะช่วยเหลือด้านสถานที่ ภาคเอกชนจะช่วยเหลือด้านการเงิน
โครงการผลิตนักบริหารหรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่า สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หรือ GIBA (GRADUATE INSTITUTE OF BUSINESS ADMINISTRATION) จึงเกิดขึ้น
และได้เปิดรับนักศึกษาอย่างจริงจังก็ในปี 2525
แล้วเติมศักดิ์ กฤษณามระ ก็ถูกเชิญให้มาเป็นผู้อำนวยการโครงการแห่งนี้
ซึ่งก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่เขาต้องนำพาชีวิตเขาสู่เส้นทางสายนี้
หลายคนได้วิพากษ์วิจารณ์ สาเหตุที่กลุ่มนักการศึกษาหลายคน ได้เชิญเติมศักดิ์
กฤษณามระ เข้ามาเป็นผู้อำนวยการสถาบันแห่งนี้นั้น เนื่องจากนักธุรกิจหลายคนต่างให้ความเกรงใจเขา
เงินที่จะได้รับการสนับสนุนจากนักธุรกิจเหล่านั้นก็คงมีมาก ส่วนความเชี่ยวชาญทางด้านการศึกษารของเขาคงจะเป็นตัวประกอบที่รองลงมา
"เขาไปเอาตัวผมมาเนื่องจากว่า เขาบอกว่า ตัวผมนั้นมีประสบการณ์ทางด้านการบริหารธุรกิจอยู่แล้ว
และก็ยังมีประสบการณ์พิเศษทางด้านภาษาอังกฤษอยู่ด้วย" เติมศักดิ์ กฤษณามระ
ให้เหตุผลกับ "ผู้จัดการ"
ไม่ว่าจะอย่างไร ชีวิตของเขาก็คว่ำหวอดอยู่กับสถาบันแห่งนี้จนถึงปีที่ 5
ในปีนี้แล้ว ทั้ง ๆ ที่ความจริงเขาน่าจะหมดสมัยตั้งแต่เมื่อปี 2529 แล้วเนื่องจากตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันแห่งนี้
ถูกกำหนดอายุไว้เพียง 4 ปี แต่เติมศักดิ์ กฤษณามระ ก็ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนี้ต่อไปอีกวาระหนึ่ง
จนถึงปี 2533
เติมศักดิ์ กฤษณามระ มีผลต่อการหาเงินทุนของจีบ้ามาก เงินที่ได้รับการบริจาคจาก
ชาตรี โสภณพนิช ประจิตร ยศสุนทร น.พ.ชัยยุทธ กรรณสูต เฉลิม ประจวบเหมาะ ศุกรีย์
แก้วเจริญ ธรรมนูญ หวั่งหลี จรัส ชูโต ฯลฯ ซึ่งผ่านมาในรูปขององค์กรหรือบริษัทที่คนเหล่านี้ทำงานอยู่องค์กรละ
6 แสนบาทต่อปีนั้น ถึงแม้ว่าส่วนหนึ่งจะเนื่องมาจากนักธุรกิจใหญ่เหล่านี้อยากสนับสนุนการศึกษา
แต่อีกส่วนหนึ่งซึ่งแทบจะเรียกได้ว่า เป็นส่วนข้างมาก นั่นก็คือ ความสัมพันธ์สนิทสนมส่วนตัว
และความเกรงใจต่อกันระหว่างนักธุรกิจเหล่านี้กับเติมศักดิ์ กฤษณามระ
"เป็นผู้บริหารจีบ้ามันก็เหนื่อยตรงนี้ เหนื่อยตรงที่ต้องวิ่งขอเงินคน"
เติมศักดิ์ กฤษณามระ กล่าวสั้น ๆ กับ "ผู้จัดการ" เมื่อถูกถามถึงเรื่องการหาเงินของจีบ้า
"ผมได้เรียนกับท่านอธิการบดีไปแล้วว่า ผมเองคงทำงานตลอดไปไม่ได้ ก็คิดว่า
ภายในสองหรือสามปีนี้ เราต้องหาคนแทนให้ได้ เนื่องจากงานส่วนตัวของผมเองก็มีอยู่
ท่านก็บอกว่า หาคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เนื่องจากงานนี้ไม่ใช่เป็นแค่เพียงการบริหารงานภายในเท่านั้น
ยังต้องบริหารความศรัทธาและความเชื่อมั่นจากคนภายนอกที่เขาจะให้เงินแล้วก็มาสนับสนุนกิจการด้วย
พวกนี้ซิครับไม่ใช่เรื่องง่าย ลำพังการหาพวกมืออาชีพมาทำไม่ใช่เรื่องง่ายหรอก"
เติมศักดิ์ กฤษณามระ ยอมรับกับ "ผู้จัดการ" อย่างตรงไปตรงมา เมื่อถูกถามว่า
ถ้าหากเขาลาออกแล้ว จะมีผลต่อเงินทุนที่ได้รับอยู่หรือไม่
"ผมก็ไม่ใช่ว่าเป็นคนเดียวที่ทำได้แต่บังเอิญงานเก่าของผมมันมาสายตรงกัน
และโดยเหตุที่ว่าผมเป็นผู้ตรวจสอบบัญชี ผมก็รู้จักคนมากและได้รับความเชื่อถือ
มันก็ทำให้เหนื่อยน้อยกว่าคนอื่น แต่คนอื่นเขาก็เหนื่อยได้ ถ้าหากว่ายังมีแรง
ก็คงต้องมีคนเข้ามาทำงานแทนเข้าสักวันหนึ่ง" เขากล่าวย้ำกับ "ผู้จัดการ"
อีกครั้งหนึ่ง
ถ้านับปี 2530 นี้เข้าไปด้วยแล้ว เป็นเวลา 30 ปีแล้วที่เติมศักดิ์ กฤษณามระ
ต้องใช้ชีวิตบนหนหนทางสายนี้ ปัจจุบันเขาอายุได้ 60 ปีเต็ม เพื่อน ๆ และลูกศิษย์ลูกหาของเขาได้ก่อตั้งกองทุนให้กับเขาขึ้นมาแล้ว
เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยใช้ชื่อว่า "กองทุนศาสตราจารย์เติมศักดิ์
กฤษณามระ" เพื่อเป็นทุนการศึกษา แล้วแต่ว่าเติมศักดิ์ กฤษณามระ จะให้ใคร
และจะมีการจัดงานครบรอบให้กับเขาในวันที่ 15 กันยายน 2530 อีกด้วย
"ผมจะวางมือทุกอย่างเมื่ออายุ 65" เติมศักดิ์ กฤษณามระ กล่าวกับ
"ผู้จัดการ"
คำว่าทุกอย่างของเขานั้น เขาอธิบายว่ารวมทั้งธุรกิจส่วนตัวที่เขาเองต้องรับผิดชอบอยู่ด้วย
"ทำไมผมไม่ปลดตัวเองตั้งแต่อายุ 60 ก็เพราะว่าลูกผมยังเรียนไม่จบสักคน
ลูก ๆ เขาบอกว่าเขาจะเลิกเรียนแล้ว เขาบอกว่าเขาไม่ต้องเรียนแล้ว ผมก็บอกว่า
ไม่เป็นไร พ่อยังทำงานไหว" เติมศักดิ์ กฤษณามระ กล่าวถึงภาระที่ตัวเองยังต้องทำ
ถ้าเป็นหน่วยงานราชการ เขาก็ต้องเกษียณอายุแล้ว แต่ชีวิตของเขาดูเหมือนจะถูกฟ้าลิขิตว่าหยุดนิ่งไม่ได้
แม้ว่าที่สำนักงานไชยยศจะมีน้อง ๆ ช่วยอยู่อีกหลายคน
"ที่นั่น ผมเพียงแค่ไปนั่งเซ็นชื่อ" แม้ว่าเติมศักดิ์ กฤษณามระ
จะย้ำอยู่กับ "ผู้จัดการ" หลายครั้งถึงคำนี้ แต่การนั่งเซ็นชื่อจนถึงตีสามอย่างที่เขาว่านั้น
ไม่ใช่เรื่องที่ใครต่อใครจะทำได้แน่
เติมศักดิ์ กฤษณามระ ยัคงต้องบุกต่อไป ด้วยไฟอันร้อนแรงที่ยังมีอยู่ ถึงแม้อายุจะปาเข้าไปถึง
60 ปีแล้วก็ตาม อย่างน้อยช่วงเวลาที่เหลืออีก 5 ปีดังที่เขาบอกว่า มันเป็นช่วงสุดท้ายที่เขาจะหยุดพักเสียทีนั้น
ก็พอที่จะกระตุ้นให้เขาทำงานด้วยความกระตือรือร้นที่คนหนุ่ม ๆ หลายคนไม่มีความกระตือรือร้นขนาดนี้
เติมศักดิ์ กฤษณามระ ชีวิตที่ง่าย ๆ ไม่โลดโผน ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนถูกบันทึกว่าเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
ดั่งเช่นที่เขากำหนด !!!!