กำธร กมลวรินทิพย์ ถึงวันนี้ ที่ยังไม่ต้องใช้ "แอสไพริน"


นิตยสารผู้จัดการ( สิงหาคม 2530)



กลับสู่หน้าหลัก

"ลินตาส" เป็นบริษัทโฆษณาที่ครองความเป็นหนึ่งมาโดยตลอดนับสิบ ๆ ปี "กำธร กมลวรินทิพย์" กัปตัน ที่คุมบังเหียนลินตาสผู้ก้าวสู่ความสำเร็จเกรียงไกร ก็เป็นหนึ่งในวงการคนโฆษณาที่ได้รับการยอมรับ ทั้งในและต่างประเทศว่าเยี่ยมยอดที่สุด

บนถนนสายโฆษณา เส้นทางที่เต็มไปด้วยสิ่งท้าทายที่ให้ทั้งรสชาติ สีสันความมีชีวิตวีวา และความเจ็บปวด แต่ก็เป็นเส้นทาง ที่มีเอกลักษณ์อันเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวคอยดึงดูให้ผู้ที่วิญญาณของนักต่อสู้ทั้งหลายใฝ่ฝันที่จะเข้ามาสัมผัส แม้ว่าบางครั้งมันเจ็บปวดเกินไปที่จะร้องไห้ และอาจดีเกินไปที่จะหัวเราะก็ตามที

วันแรกบนถนนสายยั่วยวนสายนี้ กำธร กมลวรินทิพย์ จำได้ไม่ลืมว่าความหวังดีชิ้นแรกที่ได้รับจากนายคนแรกช่างเป็นกำลังใจที่น่าตลกขบขันสิ้นดี เพราะสิ่งที่เขาได้รับเป็นยาแก้ปวดแอสไพริน 1 เม็ด พร้อมกับบันทึกข้อความสั้น ๆ วางบนโต๊ะทำงานว่า "คุณคงไม่ต้องใช้มัน"

อะไรกัน มันน่าปวดหัวและสับสนโกลาหลนักหรือ จึงต้องปลอบใจล่วงหน้ากันอย่างนี้ อย่างที่แน่ ๆ ยี่สิบปีของรอบเท้าที่ประทับย้ำไปบนถนนสายนี้ กำธรยังไม่สบโอกาสที่จะได้หยิบยาเม็ดนั้นมาใช้สักครั้งเดียวและดูเหมือนว่าสมการของความยุ่งยากต่าง ๆ นับวันช่างอยู่ห่างไกลจากความเป็นจริงไปทุกขณะ

เขาคงไม่มีโอกาสใช้มันหรอกนะ

ไม่ง่ายนักที่จะเกิดปรากฏการณ์ว่าคนเอเชีย มิหนำซ้ำเป็นคนไทยจะสำแดงความสามารถออกมาให้เป็นที่ชื่นชม ถึงกับขนาดที่ว่าได้รับการยอมรับอย่างสูงให้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทของบริษัทโฆษณาอันดับหนึ่งของโลก มันสูงยิ่งและยากกว่าตำแหน่งประธานกรรมการและผู้ประสานงานภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ที่เคยปืนป่ายไขว่คว้ามาแล้ว

นับว่าคนที่สร้างผลงานระดับนี้ได้ย่อมต้องเป็นคนที่เหนือชั้นจริง ๆ

ไม่มีใครในวงการโฆษณาในเมืองไทย จะไม่รู้จัก "ลินตาส" และไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า "ลินตาส" ได้ครองความเป็นหนึ่ง เหนือบรรดาบริษัทโฆษณาทั้งปวงมาช้านาน ไม่เพียงแต่เท่านั้นความอหังการ์ดังกล่าวยังไม่ผงาดง้ำในทำเนียบความเป็นผู้นำบดบังรัศมีบริษัทเครือลินตาสทั่วเอเชียอาคเนย์อีกด้วย

นับถึงการสั่งสมอายุงานที่ยังไม่เต็มยี่สิบขวบปีดี นั่นก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือที่จะเป็นเครื่องหมายรับประกันคุณภาพให้กับคน ๆ หนึ่งซึ่งเป็นกัปตันของเรือลำนี้และเป็นผู้ที่ยืนเคียงไหล่กับ "ลินตาส" มาตลอดนับตั้งแต่วันแรกของการตั้งไข่

คุณภาพคับทวีปของ "ลินตาส" เมืองไทย เพียงพอแล้วที่จะการันตีคามสามารถของหัวเรือใหญ่อย่าง กำธร กมลวรินทิพย์ คนโฆษณาที่เคยมีอดีตกับยาแอสไพรินผู้นี้ให้เป็นที่ยอมรับจากบริษัทแม่ให้เป็นคนเอเชียคนแรกที่ได้รับเกียรติสูงส่งดังกล่าว นอกเหนือไปจากบำเหน็จความดีที่เป็นคนไทยคนเดียวที่ถือครองหุ้นของบริษัทสาขาไว้แล้วไม่น้อยกว่า 20%

กำธรในวัย 42 ปีกับผลงานระดับนี้นับว่าเขาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จสูงคนหนึ่ง รายได้ในแต่ละเดือนว่ากันที่เลขหกหลักขึ้นไป ไม่นับรวมถึงสวัสดิการตาง ๆ ที่ย่อมไม่น้อยหน้าผู้บริหารใหญ่ค่ายอื่น ๆ และยังต้องรวมเงินโบนัส เงินปันผลประจำปีอีกด้วย ว่ากันว่าเขาเป็นคนโฆษณาที่มีรายได้สูงสุดในปัจจุบัน

มันเป็นรายได้ที่กำธรก็บอกกับตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่า ถ้าเส้นทางชีวิตของเขาไม่หักเหเข้าสู่ถนนสายยาแอสไพรินสายนี้แล้วนั้น เขาจะมีโอกาสได้รับรายได้ที่สูงไปกว่านี้หรือไม่

กำธรเป็นคนที่มีบุคคลโหวงเฮ้งเปล่งปลั่งดีมาก หน้ามันอวบอิ่มคางอวบอูม และพวงแก้มที่แดงระเรื่อยิ่งกว่าเม็ดทับทิมสุกบ่งถึงความเป็นผู้มีอันจะกินและคนที่จะพบแต่วิถีชีวิตของความรุ่งเรือง แต่บางคนบอกว่ากำธรเป็นคนที่แฝงความเศร้าปวดร้าวอยู่ในที

หลายคนบอกว่าแววตาหม่นเศร้าและครุ่นคิดคำนึง เงียบ ๆ ไม่สะทกสะท้านหวั่นไหวต่อความแปรปรวนใด ๆ ของเหตุการณ์ที่โหมกระหน่ำสู่เขาและลินตาส ดูราวกับเป็นคนเลือดเย็นที่ไม่มีความอิงนังขังขอบใด ๆ ทั้งสิ้น เขาเหมือนเป็นเฉกเช่นเอกบุรุษที่พบความสำเร็จแล้วกลายเป็นคนที่มีแต่ภาวะ "ไร้น้ำใจ"

เขาเป็นคนที่สิ้นรักสิ้นเมตตา เป็นคนที่ไม่มี "หัวใจ" อย่างนั้นหรือ

"บางทีเขาก็เป็นคนที่ดูยากนะ เรียบเร้นเสียจนคาดเดาไม่ถูก แต่ต้องยอมรับว่าเป็นคนที่มีอารมณ์นิ่งมากคนหนึ่ง เก็บความรู้สึกได้เก่งจนดูคล้ายกับหัวใจกระด้างและเย็นชา ดูก็แต่ตอนที่คุณวินิจหรือใคร ๆ ที่เคยเป็นมือดีคู่เคียงจากไป เขากลับดูเฉย ๆ ไม่แสดงความรู้สึกเสียใจออกมาเลย" คนในวงการท่านหนึ่งกล่าว

ภาพยนต์ยุโรปตะวันออกยุคหนึ่งเคยฉายภาพให้เห็นความเป็นคนตายด้านของโจเซฟ สตาลิน รัฐบุรุษชื่อดังของรัสเซียที่ในห้วงสงครามโลกอันดุเดือดแล้วรับทราบข่าวการตายของลูกชาย ทว่าสตาลินกลับมิได้สำแดงความรู้สึกเสียอย่างใหญ่หลวงส่วนตัวออกมาเลย

เนื่องเพราะสตาลินตระหนักดีว่า กองทัพอยู่ในภาวะหัวเลี้ยวหัวต่อของสงครามขวัญที่เข้มแข็งของผู้นำ ย่อมปลุกปลอบใจขุนทหารให้ฮึกเหิมและง่ายต่อการที่จะเอาชนะข้าศึก

เฉกเช่นกำธรกับลินตาสประสบชะตากรรมสูญเสียมือดี ๆ อยู่เนือง ๆ ไม่ว่าจะเป็นจารุวรรณ วนาสิน วินิจ สุรพงษ์ชัย สุชาติ วุฒิชัย กิตติ ชัมพุนท์พงศ์ สุรินทร์ ธรรมนิเวศ ไกรฤทธิ์ บุณยเกียรติ ฯลฯ คนเหล่านี้ได้ชื่อว่าเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่ามากนักของวงการแน่ละว่าหากกำธรและลินตาสไม่มี "หัวใจ" ไหนเลยจะยืนหยัดดำรงความเป็นหนึ่งมาได้จนถึงทุกวันนี้

การที่ไม่ปรากฏความเสียใจมิได้หมายความว่า ภาวะไร้น้ำใจจะเป็นเอกลักษณะของเขาไปเสีย แต่เป็นเพราะรู้ดีว่าลินตาสไม่ได้มีชีวิตที่จะต้องเลี้ยงดูหนึ่งหรือสองคน ทว่าลินตาสวันนี้มีพนักงานร่วม 160 คน เมื่อใดที่หัวใจของเขายังไม่คลอนแคลนมีหรือที่เรือลำนี้จะอับปาง

และนั่นก็เป็นปรากฏการณ์ที่พ้องกับความเข้าใจของคนทั่วไปว่า กำธรเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นต่อตนเองค่อนข้างสูง ไม่ว่าเรื่องใดยากหรือง่ายถ้าลองทำแล้วจะต้องสู้กันจนถึงที่สุดเพื่อชัยชนะที่เฝ้าหา ความเชื่อมั่นอย่างนี้อาจเป็นเพราะ การถูกหล่อหลอมจากครอบครัวที่มีความเป็นพ่อค้าและเป็นครอบครัวที่ผู้นำต้องจากไปขณะที่เขายังมีอายุได้เพียง 3 ขวบเท่านั้น

กำธรเป็นคนที่มีบุคลิกโหวงเฮ้งเปล่งปลั่งบ่งถึงความเป็นผู้มีอันจะกิน และคนที่จะพบแต่วิถีชีวิตของความรุ่งเรืองแต่บางคนบอกว่าเขาเป็นคนที่แฝงความเศร้าปวดร้าวอยู่ในที

ภาวะกำพร้าและความเป็นผู้ชายสั่งสอนให้กำธรเป็นคนที่กล้าและเชื่อมั่นมาตั้งแต่เด็ก ๆ เขาเติบโตขึ้นมาท่ามกลางมรสุมที่ไร้เสาหลักประคับประคอง แต่นั่นก็เป็นจุดดีเด่นที่ทำให้เขาไม่หวั่นไหวที่จะท้าทายกับความแปลกใหม่ต่าง ๆ ขอเพียงเพื่อความสำเร็จเท่านั้นเป็นพอ

กำธรอาจเป็นคนที่ความสำเร็จตามรับใช้เขาอย่างจงรักภักดีมาโดยตลอด พอกับที่ลินตาสได้ชื่อว่า เป็นมหาวิทยาลัยโฆษณาที่เป็นสนามสร้างเสือป้อนสู่วงการอย่างไม่ขาดสาย ทว่าความเป็นจริงอันน่าชื่นชมเหล่านั้นจะมีใครรู้บ้างไหมว่า กลับเป็นความว้าเหว่าและเงียบเหงาอยู่ในใจลึก ๆ ของกำธรอย่างมากมาย

เขาบอกกับ "ผู้จัดการ" ว่าในชีวิตการสูญเสียที่เขาเสียใจมากที่สุดก็คือ เสียคนที่เคยร่วมงานกันมา อาจมองได้ว่าความเสียใจนั้นเป็นเพราะลินตาสต้องประสบคู่แข่งที่มีฝีมือเพิ่มขึ้นในตลาด เพราะถ้าไม่มีการสูญเสียอย่างสืบเนื่องหลายครั้งหลายครา "ลินตาสอาจยิ่งใหญ่เกินไปกว่านี้แล้วก็เป็นได้"

แต่ด้านหนึ่งการเสียคนที่ทำให้กำธรเสียใจเท่ากับเป็นการฟ้องร้องว่า การที่ประวัติศาสตร์เกิดขึ้นซ้ำจนนับครั้งไม่ถ้วนย่อมชี้ให้เห็นว่า ในฐานะหัวเรือใหญ่กำธรล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการบริหาร มันเป็นความล้มเหลวในความสำเร็จของเขากระนั้นหรือ

กำธรได้แต่ปลอบใจตนเองว่า "เขาได้ทีดีที่สุดแล้วองค์กรก็ถูกจัดวางแบบแผนปฏิบัติเป็นอย่างดีแล้วช่วยไม่ได้หากจะมีใครคิดเป็นปลาใหญ่ในหนองน้ำเล็ก" แต่คำปลอบใจเท่ากับเป็นคำถามที่ท้าทายอย่างชะงัดว่า ในข้อต่อของกาลเวลาที่ลินตาสจะต้องใหญ่ และเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่แข็งแกร่งมากขึ้นหากสภาวะมันสมองไหลล่องยังปรากฏขึ้นบ่อย ๆ ความยิ่งใหญ่ของลินตาสเป็นไปได้ไหมที่จะรอวันบุบสลาย"

และเท่ากับเป็นการพิสูจน์ตัวของกำธรเองว่า ที่เขายอมรับว่าเหนือฟ้านั้นมีฟ้า และเหนือความสามารถของการเป็นนักโฆษณามือทองยังมีงานที่ลองของความสามารถของเขายากยิ่งกว่า งานนั้นก็คือการบริหารทรัพยากรบุคคลที่ตัวเขาเองเปรยว่า "ผมไม่อยากเห็นมันเกิดขึ้นอีก"

ครั้งที่เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้จัดการที่เป็นคนไทยคนแรก กำธรได้รับของขวัญชิ้นหนึ่งจากนายเก่าเป็นรูปปั้นกวางสีเขียว แล้วก็บอกกับใคร ๆ เป็นสุภาษิตฝรั่งของขวัญชิ้นหนึ่งจากนายเก่าเป็นรูปปั้นกวางสีเขียว แล้วก็บอกกับใคร ๆ เป็นสุภาษิตฝรั่งบนหนึ่งว่า "THE BUCK STOP HERE" อันบ่งถึงความหมายว่า งานทุกอย่างถ้ามาอยู่บนโต๊ะนายใครจะรับผิดชอบไม่ได้ นายต้องเป็นคนรับผิดชอบคนเดียว

ดังนั้นงานทุกชิ้นถ้ากำธรมีเวลาเหลือพอที่จะไม่ถูกจับจ่ายไปกับการเดินทาง เขาเป็นต้องลงไปคลุกคลีตีโมงกึ่งประสานความคิด และความบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดที่สุด และยังใจกว้างพอที่จะเปิดประตูห้องทำงานไว้ต้อนรับพนักงานทุกคนตลอดเวลา ทว่าสุดท้ายของการตัดสินจะอยู่ที่เขาเป็นตัวเด็ดขาด

บ่อยครั้งทีเดียวเขามักมีความคิดแย้งขัดกับงานด้านครีเอทีฟ เนื่องจากแนวคิดบริการลูกค้าของเขา มุ่งเน้นการส่งเสริมการขายที่ตรงเป้าผู้บริโภคเป็นหลัก แนวคิดองคนทำโฆษณาที่ต้องการ สร้างสรรค์งานให้ดีจากที่เป็นอยู่ใช่ว่าเขาจะไม่ยอมรับเสียทีเดียว แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจรับไว้ได้ทั้งหมดเพราะผลสรุปกำธรบอกว่าตราบใจที่เขายังผูกพันกับลินตาสอยู่ ผลสำเร็จของงานโฆษณาไม่ใช่รางวัลประกวดแต่ต้องทำให้สินค้าของลูกค้าขายได้มาก ๆ

กำธรได้รับบทเรียนที่ว่านี้มาแล้วกับบริษัทโฆษณาสปรินท์ บริษัทโฆษณาที่มีหลักการทำงานที่ว่า "WHEN WE CREATE A CONCEPT, WE CREATE A FUTURE" แนวคิดการแยกสปรินท์อกจากลินตาสเพือ่รับงานบางประเภทที่ลินตาสไม่อาจรับได้นั้นแม้จะเป็นเรื่องที่ดี ทว่ากับความผันผวนของตลาดโฆษณาเมืองไทยหลายคนบอกว่าสปรินท์เกิดเร็วเกินไป เกิดโดยที่ยังไม่แก่ตัวเต็มที่จนต้องถึงฉากสุดท้ายอย่างน่าสลดหดหู่

บิลลิงของสปรินท์ถีบตัวสูงขึ้นถึง 67% ในปี 2526 จากที่เคยมีเพียง 42 ล้านบาทในปี 2525 ความสำเร็จนั้นดูเหมือนว่า กำธรกับกิตติซึ่งเป็นมือดีคู่ใจอีกคนหนึ่งจะหลงไหลได้ปลื้มเอามาก ๆ แต่ก็เป็นคราวเคราะห์เมื่อปีถัดมาสปรินทร์ต้องเสียลูกค้ารายใหญ่ 2 รายที่มีปัญหาด้านการเงินไปคือสวนพลูพาเลซกับที.เจ. บิลลิงที่เสียแม้จะเป็นเงินเพียง 18 ล้านบาทแต่เปรียบเทียบกับบริษัทเล็ก ๆ อย่างสปรินท์ก็อยู่ในขั้นตกเลือกน่ากลัวยิ่งนัก

สปรินท์ซวนเซบอบช้ำจนรั้งไม่อยู่ที่สุดกำธรจำต้องยอมรวมกลับมาไว้ที่ลินตาสเหมือนเดิม เรื่องนี้แม้ว่าตัวเขาจะไม่ยอมรับเสียทีเดียวว่า "เป็นความล้มเหลว" โดยอ้างเหตุผลบางประการที่ว่าเป็นเรื่องของวัฎจักรที่มีเกิดก็ต้องมีดับ แต่กรณีเดียวกันนี้ถูกยกขึ้นมาเป็นกรณีศึกษาของคนในวงการโฆษณาอยู่บ่อย ๆ

"คุณกำธรแกอาจลืมไปว่า การที่ดึงคนบางส่วนของลินตาสไปเทคแอคเคาท์ของสปรินท์ที่มีขนาดเล็กกว่านั้นในแง่ความรู้สึก และการให้บริการก็แตกต่างกันมากทีเดียวอีกอย่างการตั้งอัตราเงินเดือนของสปรินท์ โดยใช้หลักเดียวกับลินตาสถึงจะเป็นการสร้างกำลังใจที่ดี แต่เมื่อบิลลิงมีปัญหาก็ต้องปิดฉาก" คนที่เคยร่วมงานกับเขากล่าว

แต่ถ้าพูดถึงความสำเร็จอันโดดเด่น และยิ่งใหญ่ของ "ลินตาส" ที่ครองความเป็นหนึ่งอย่างเหนียวแน่นต้องยอมรับว่ามากทีเดียวเกิดจากฝีมือและมันสมองอันเข้มข้นของกำธร ย้อนกลับไปเมื่อครั้งแรกเริ่มลินตาสด้วยพนักงานเพียง 40 คนในปี 2513 สภาพ 5 ปีแรกของลินตาสตกที่นั่งกระอักเลือกไม่น้อย ดีที่มีฐานสินค้าลีเวอร์คอยพยุง

จุดพลิกผันของ "ลินตาส" ก้าวมาพร้อมกับการที่กำธรได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้จัดการในปี 2519 เมื่อสามรถชิงลูกค้ารายใหญ่อย่างโอวัลตินและสีไอซีไอ. มาได้สำเร็จพร้อมกับงานโฆษณาบางส่วนให้กับเชลล์ จอห์นสัน และสยามซีเมนต์ ลูกค้าเหล่านี้ทำให้ลินตาสลืมตาอ้าปากได้อย่างที่ตั้งใจ

แน่นอนสินค้าเหล่านี้หลั่งไหลเข้ามาด้วยฝีมือการเจรจาอย่างถึงลูกถึงคนของกำธรปัจจุบันก็ใช่ว่าเขาจะวางมือเสียทีเดียว ลูกค้าเหล่านี้ถ้าเขามีเวลาอยู่บ้างจะต้องออกไปพบปะพูดคุยด้วยตนเองเสมอ ๆ และนี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไมเมื่อเสียมือดี ๆ กำธรจึงไม่หวั่นไหว ทั้งนี้เพราะเข้าใจลึกซึ้งดีกว่าตัวเขาเองนั้นพร้อมเสมอที่จะเป็นซุปเปอร์ซับ (ตัวสำรองชั้นดี) ที่มีประสิทธิภาพไม่ยิ่งหย่อนหรืออาจดีกว่าตัวจริงเสียด้วยซ้ำไป

กำธรได้เปรียบคนโฆษณาอื่นอยู่บ้างตรงที่ว่า ช่วงหนึ่งของการทำงานได้ผ่านการเพาะบ่มความเจนจัดด้านการตลาดมาบ้างกับลีเวอร์ฯ จึงทำให้ล่วงรู้ลึกซึ้งว่าจะเข้าไปคุมหัวใจลูกค้าไม่ให้หนีหายไปไหนได้อย่างไรก็เป็นเรื่องที่ยอมรับกันว่า ลินตาสไม่ค่อยเสียลูกค้าในแต่ละปีมากนักมีแต่จะได้เพิ่มเข้ามา ถึงกับทำให้ความหวังที่จะเพิ่มบิลลิงปีนี้ให้ได้ไม่น้อยกวา 800 ล้านบาท

ความหวังนี้กำธรยิ้มก่อนตอบอย่างสบาย ๆว่า เป็นเรื่องที่สบาย ๆ เหลือเกิน

ถึงแม้เรื่องงาน อาจไม่มีใครลวงหลอกเขาได้ง่าย ๆ แต่เรื่องส่วนตัวเขากลับได้ชื่อว่าเป็นคนที่ถูกต้มจนเปื่อยมากที่สุดคนหนึ่งในชีวิตนี้ของเขาเคยถูกหลอกอย่างจังถึง 3 ครั้ง 3 หน

หนึ่ง - ตอนที่ได้เป็นกรรมการผู้จัดการที่เป็นคนไทยแรก และมีอายุน้อยที่สุดถึงจะรู้ตัวล่วงหน้ามาบ้างแล้วว่าต้องสวมหัวโขนบทนี้แต่ก็ไม่อาจระงับความดีใจไว้ได้ดังนั้นเมื่อจู่ ๆ กลับได้รับหนังสือขอลาออกจากกรรมการทุกคน ทำให้ตกอกตกใจตื่นต้องรีบโทรศัพท์ไปสอบถามทันทีว่า "เป็นความจริงหรือเปล่า"

นั่นล่ะจึงถึงบางอ้อว่าเพื่อนพนักงานกุเรื่องขึ้นมาล้อเล่นในวัน APIRL FOOL'S DAY (1 เมษายน)

สอง - เช้าวันหนึ่งที่อากาศสดใสระหว่างที่นั่งรถมาทำงาน จากการที่เป็นหนอนรายการของจิม เดวิดสัน ขณะที่ฟังรายการอยู่เพลิน ๆ เสียงจิมก็ประกาศขึ้นว่าได้เวลา 08.00 น. แล้ว กำธรตกใจตื่นจากภวังค์ที่กำลังเคลิบเคลิ้มโดยไม่ทันได้ดูนาฬิกาข้อมือเขารีบโทรศัพท์เข้าสำนักงานเพื่อสั่งงานทันที

นั่นล่ะจึงถึงได้รู้ว่าเวลานั้นเพิ่งแค่ 7 โมงเช้าเท่านั้นเอง และวันนั้นก็เป็นวันที่ 7 เมษายนอีกครั้ง

สาม - เขาพยายามทำตัวเป็นศิลปินอารมณ์ละเมียดละไมด้วยการหันมาสะสมของเก่า เสาร์-อาทิตย์หากไม่ต้องพาครอบครัวไปพักผ่อนชายทะเลหรือเข้าครัวเป็นพ่อครัวหัวป่าก็ให้กับเพื่อนฝูง จะต้องปลีกเวลาไปหาของเก่ามาเก็บ

เขาเคยอวดเครื่องลายครามชิ้นแรกที่ได้มาว่าเป็นของที่มีอายุหลายร้อยปี แต่เมื่อให้คนที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ดูจึงได้รู้ว่า "ถูกต้มอีกแล้วเพราะของเก่าชิ้นนี้อายุอาจน้อยกว่าคนที่เจ้าของและกำลังหลงใหลเสียอีก"

กำธรพูดสำเนียงไทยไม่ชัดเท่าไรนักเขาเป็นคนที่ไม่สามารถ PLANING เวลาเป็นของตัวเองได้ ยิ่งในระยะหลังด้วยแล้วต้องปล่อยให้เคลื่อนไหลไปตามจังหวัดงาน ไม่สามารถไปพักผ่อนหรือเล่นเทนนิสกับลูก ๆ ได้ แต่ยังคงฝีมือการทำสปาเก็ตตี้และสุกี้ยากี้ที่เป็นหนึ่งไม่รองใคร เขาดีมาก ๆ ตรงที่ไม่ดื่มและสูบบุหรี่ใด ๆ ทั้งสิ้น

กำธรมีน้องสาวที่กำลังเป็นนักการตลาดมือทองคนหนึ่งคือ กรรณิการ์ ชลิตาภรณ์ (ครือลีเวอร์ฯ) เขารักน้องคนนี้มาก เมื่อตัวเองเรียนจบปริญญาตรีจากโคโรลาโด ก็สนับสนุนให้กรรณิการ์ไปเรียนต่อทันทีครอบครัวเขามีพื้นฐานการค้าด้านส่งออกที่มีแม่เป็นคนกุมบังเหียน

เขาเป็นศิษย์เก่าอัสสัมชัญที่มีประวัติการเรียนดีมาตลอด สอบติดอันดับ 1 ใน 5 เป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะด้านภาษาด้วยแล้วเป็นตัวเอ้เลยทีเดียว ในกลุ่มนี้มีเพื่อนรักที่ต่างได้ดิบได้ดีในปัจจุบันนี้หลายคนเช่น ดร.สาธิต อุทัยศรี คนดังแบงก์กรุงเทพ สุนทร อรุฌานนท์ชัย อดีตกรรมการผู้จัดการแบงก์มหานคร และธวัชชัย ซอโสตถิกุล ทายาทคนสำคัญของนันยาง

จริง ๆ แล้วเขาใฝ่ฝันที่จะเป็นวิศวกรมากกว่าคนโฆษณา ตอนสอบเทียบ ม.8 ได้ในขณะที่เรียน ม.6 ตั้งใจจะเป็นนิสิตวิศวแต่ทนแรงชักชวนของเพื่อน ให้ไปสอบเป็นนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์รุ่นแรกของธรรมศาสตร์ไม่ได้แต่ก็เรียนที่ธรรมศาสตร์ได้เพียง 6 เดือนเท่านั้น ความร้อนรุ่มอยากจะเป็นนักเรียนนอกก็ชักพา ให้ไปเรียนต่อที่จูเนียร์คอลเลจ หรือที่เปลี่ยนมาเป็นโคโรลาโด ยูนิเวอร์ซิตี้ จนจบปริญญาตรีเมื่ออายุเพียง 21 ปี

เขาภาคภูมิใจมากกับการเป็นนักเรียนนอก มักพูดคุยเรื่องนี้ด้วยอารมณ์ยิ้มแย้มเสมอว่า ตอนเรียนต้องช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง หาเงินใช้ด้วยการไปเป็นเด็กรับจ้างล้างจานหรือไม่ก็วิ่งขายฮอทดอก ขายไอสครีมมันเป็นความแปลกที่คนอย่างเขาได้สัมผัส

เส้นทางชีวิตค่อนข้างราบรื่นมากหลังกลับเมืองไทย ก็สมัครเข้าทำงานในตำแหน่ง TRANIEE MANAGEMENT กับลีเวอร์ฯ ตำแหน่งนี้คนที่เคยผ่านลีเวอร์ฯ ย่อมรู้ดีทุกคนว่า เป็นตำแหน่งที่ฝึกความอดทนในการทำงานให้มากน้อยเพียงใด อยู่ลีเวอร์ฯ เพียง 2 ปี ก็ลาออกในตำแหน่งสุดท้ายที่เป็น SALE ADMIN

ปรีดา ชนะนิกร ปรมาจารย์การส่งออกสมัยที่ยังเป็น ACCOUNT DIRECTOR กับบริษัทโฆษณาแมคแคน อีริคสัน เป็นคนแรกที่ยั่วยุให้เขาเข้าไปปลาบปลื้มสนุกและเจ็บตัวกับงานโฆษณา โดยที่คนถูกชวนยังไม่รู้เลยว่าโลกของงานโฆษณานั้นจะมีความซับซ้อนเพียงไร

เข้าทำงานในตำแหน่ง ACCOUNT DIRECTOR ที่แมคแคน อีริคสัน ถือสินค้าชื่อดังหลายรายไม่ว่าจะเป็นเนสท์เล่ ริชาร์ด สัน-วิคส์ หรือชีสด์เดอร์พอน ได้เรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์ความชำนาญงานด้านนี้เพียง 2 ปีที่แมคแคนฯเมื่อลีเวอร์ฯตั้ง "ลินตาส" จึงถอนสมอกลับรังเดิมเป็นพนักงานรุ่นบุกเบิกทันที

เขาทำหน้าที่ไคลน์ เซอร์วิส (CLIENT SERVICE) แผนกที่ลินตาสให้ความสนใจเป็นพิเศษเพราะถือเป็นทัพหน้าในการทะลวงใจลูกค้า ด้วยความสามารถที่แสดงออกเพียง 5 ปีของการทำงานจึงได้รับเลื่อนขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการที่มีอายุน้อยที่สุดของงานโฆษณาในขณะนั้น (31 ปี)

กำธรตักตวงความสำคัญงานด้านโฆษณาที่พลัดหลงเข้ามาสัมผัสอย่างไม่ตั้งใจกับ "ลินตาส" อย่างไม่คิดที่จะหนีย้ายไปไหนลำดับความรุ่งโรจน์ของหน้าที่การงานจากกรรมการผู้จัดการ ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานฯ และผู้ประสานงานภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ที่ต้องดูแลทุกบริษัทในเครือลินตาสทั่วภูมิภาคนี้

สุดท้ายที่ผ่านพ้นไปหมาด ๆ ก็ได้รับเลื่อนขึ้นเป็นกรรมการบริหารของบริษัทแม่ในอเมริกา ตำแหน่งที่ยังไม่มีคนเอเชียคนไหนจะเคยได้รับมาก่อน และไม่แน่นักว่าจะมีคนโฆษณาคนไหนจะสามารถทำได้อย่างเขาอีกหรือไม่

ภายให้องทำงานสีแดงเพลิงกำธร ต้องชื่นชมกับภาพวาดรูปดินสอซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ "ลินตาส" พุ่งทะลุโลกตรงตำแหน่งประเทศไทยอยู่เสมอ ๆ เป็นภาพวาดแสดงความยินดีที่เพื่อนพนักงานทำให้คราวที่ได้รับแต่งตั้ง เป็นกรรมการบริษัทปีที่ผ่านมา

ภาพนั้นประกาศให้ชาวโลกรู้ว่า คนไทยไม่เคยอาภัพในฝีมือ

และภาพนั้นก็เป็นการ ย้ำเตือนให้รู้ว่า นับว่าอุตสาหกรรมโฆษณาในประเทศไทยมีแต่จะขยายใหญ่ขึ้น กลายเป็นแขนงงานที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โฆษณาเป็นส่วนจำเป็นของชีวิตตั้งแต่หลับจนตื่น

ในการขยายตัวนี้ "ลินตาส" จะต้องแผ่ขยายความสำเร็จเป็นเงาตามตัวไปด้วยและนั่นก็เป็นเป้าหมายที่ทำให้ใครต่อใครพากันจ้องที่จะล้มลินตาสลงให้จงได้ กำธรเองก็รู้แก่ใจเป็นอย่างดีว่า เขาและลินตาสมาถึงจุดที่ต้องพยายามรักษาความเป็นหนึ่งไว้ จะพลาดไม่ได้ล้มไม่ได้เพราะเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีกันแล้ว

เขาบอก กรุงเทพฯ และประเทศไทยเปลี่ยนแปลงตลอดมา จากสมัยโกร๊กจนถึงคาเธ่ย์ มาแกร้นท์ ไม่เคยมีอะไรหยุดนิ่ง ไม่เคยมีอะไรแน่นอน แต่สิ่งหนึ่งที่เขาอยากให้มันแน่นอนเห็นจะเป็นความยิ่งใหญ่ของ "ลินตาส" ที่จะธำรงสภาพดั่งปัจจุบันนี้ไปจนอสงไขย

ทุกอย่างอาจเปลี่ยนไปตามกาลเวลาแต่ "ลินตาส" ที่เป็นหนึ่งจะต้องไม่แปรเปลี่ยนไป

ไม่เช่นนั้นแล้วกำธรอาจได้ฤกษ์กินยาแอสไพรินเม็ดนั้น แอสไพรินเม็ดที่เขาไม่เคยต้องการให้ร่วงหล่นลงไปอยู่ในกระเพาะ



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.