|
ธนชาตฟุ้งขึ้นท็อปไฟว์-ยันไม่ควบรวมหลังเปิดเสรีฯ
ASTVผู้จัดการรายวัน(16 มิถุนายน 2552)
กลับสู่หน้าหลัก
บล.ธนชาต มั่นใจฐานะแกร่งและสามารถดำเนินธุรกิจต่อได้ โดยไม่จำเป็นต้องควบรวมกิจการกับบริษัทอื่น หลังการเปิดเสรีใบอนุญาตธุรกิจหลักทรัพย์ ผู้บริหารตั้งเป้าปีนี้ขึ้นแท่นท็อปไฟว์โบรกเกอร์ที่มีมาร์เกตแชร์ พร้อมเดินทางโรดโชว์สหรัฐฯ -อังกฤษ ปลายเดือนมิ.ย.นี้ ด้าน “สุวภา” ชี้ ไตรมาส 3/52 บจ แห่ออกหุ้นกู้ ตัดหน้ารัฐบาล เชื่อปีนี้ปีทองตลาดหุ้นกู้ คาดโต 2 เท่า จากปีก่อนมูลค่า 2 แสนล้านบาท
นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ธนชาต จำกัด เปิดเผยถึง แนวโน้มธุรกิจหลักทรัพย์ในอนาคต ว่า ธุรกิจหลักทรัพย์น่าจะมีการเติบโตไปในทิศทางเดียวกับภาวะเศรษฐกิจ หากภาวะเศรษฐกิจปรับตัวดีธุรกิจหลักทรัพย์จะมีการปรับตัวดีขึ้นมากเช่นเดียวกัน แต่ประเด็นที่สำคัญ บล.จะปรับกลยุทธ์ให้สามารถดำเนินธุรกิจและสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้
ทั้งนี้ บล.ธนชาต ได้ยึดนโยบาย 3 เรื่องหลัก คือ การพัฒนาด้านบทวิเคราะห์ การพัฒนาเจ้าหน้าที่การตลาด และการสร้างความสมดุลในสัดส่วนลูกค้า ทั้งนักลงทุนสถาบันในประเทศ ต่างประเทศ และนักลงทุนบุคคลธรรมดา โดยบริษัทไม่มีแผนที่จะมีการควบรวมกิจการ จากเชื่อมั่นว่าบริษัทสามารถแข่งขันได้ และกลุ่มบริษัทมีการให้บริการที่ครบวงจร
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าปีนี้จะมีมาร์เติแชร์ติดอันดับ 1 ใน 5 ซึ่งมีมาร์เกตแชร์อยู่ที่ 4.5% โดยปัจจุบันบริษัทมีมาร์เกตแชร์ที่ 4.16% อยู่ในอันดับที่ 6 ซึ่งบริษัทจะใช้กลยุทธ์การกระจายฐานลูกค้าที่บริษัทให้บริการอย่างสมดุลทั้ง 3 ประเภท คือ ลูกค้าสถาบันทั้งในและต่างประเทศ 40% และอีก 60% ลูกค้าบุคคลธรรมดา ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมอุตสาหกรรมธุรกิจหลักทรัพย์ และเน้นในเรื่องการจัดทำบทวิเคราะห์ และอบรมให้ความรวมเจ้าหน้าที่การตลาด เพราะ เมื่อเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์นั้นจะแข่งขันกันในเรื่องการให้บริการกับลูกค้า
นางอัศวินี ไตลังคะ กรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต กล่าวว่า ขณะนี้เป็นจังหวะที่ดีในการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น โดยเฉพาะการลงทุนระยะยาว หลังจากที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วโลกที่จะเริ่มส่งผลให้เศรษฐกิจโลกสามารถเริ่มฟื้นตัวในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า ขณะที่ตลาดหุ้นจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นก่อนหน้าเศรษฐกิจที่จะฟื้นได้จริง
“จังหวะที่เอื้ออำนวยดังกล่าว บริษัทจึงได้ถือโอกาสที่จะเดินทางไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ให้กับนักลงทุนสหรัฐฯ ในวันที่ 25-26 มิถุนายน และอังกฤษวันที่ 29-30 มิถุนายนนี้ เพื่อกระตุ้นการลงทุนในประเทศไทย เพราะยุโรปและสหรัฐฯ เป็นตลาดที่ใหญ่ ดังนั้นจึงเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนสถาบันต่างชาติได้รับข้อมูลโดยตรง ซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นที่ดีต่อนักลงทุนสถาบันต่างชาติได้เป็นอย่างดี”
สำหรับการเดินทางไปให้ข้อมูลใน 3 เรื่อง คือ ปัญหาทางการเมืองภายในประเทศได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และถือเป็นเรื่องปกติของรัฐบาลผสมที่อาจทำให้ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังคงมีอยู่บ้าง แต่จะไม่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวมากนัก บริษัทจดทะเบียนไทยส่วนใหญ่มีผลประกอบการที่ดีแม้จะเป็นช่วงต่ำสุดของวิกฤตเศรษฐกิจโลก และวิกฤตเศรษฐกิจโลกนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจไทย แต่อาจจะส่งผลกระทบตามวัฏจักรเศรษฐกิจซึ่งแสดงให้เห็นว่าประเทศพร้อมเติบโตเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว
ส่วนการเดินทางโรดโชว์ครั้งนี้ บล.ธนชาต บริษัทบีเอ็นพี พาริบาส์ และตลาดหลักทรัพย์ฯ จะนำบริษัทจดทะเบียนจำนวน 9 แห่งร่วมโรดโชว์ครั้งนี้ คือ บมจ.ปตท. บมจ.ปตท.สผ บมจ.บ้านปู บมจ.น้ำประปาไทย บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส บมจ.ไทยยูเนี่ยนโฟรเซ่น โปรดักส์ บมจ.น้ำตาลขอนแก่ บมจ.การบินไทย และธนาคารกรุงเทพ รวมถึงนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังร่วมเดินทางด้วย
“ภาวะตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนรายย่อยมีจำนวนมากขึ้น ขณะที่ลูกค้าสถาบันในประเทศและต่างประเทศทรงตัว”
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ปรับปรุงนโยบายการบริหารงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดต้นทุนการบริหารงาน โดยเตรียมที่จะปิดสาขาอีก 2 แห่ง คือ สาขาเยาวราช และสาขาสยามสแควร์ ส่งผลให้หลังก.ค.บริษัทมีสาขาเหลือ 25 สาขา จากปัจจุบันที่มี 27 สาขา
มูลค่าหุ้นกู้ปีนี้เติบโต 2 เท่า
ด้านนางสุวภา เจริญยิ่ง กรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจวาณิชธนกิจ บล.ธนชาต กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 3 จะมีบริษัทที่เตรียมจะออกหุ้นกู้ออกมาจำนวนมาก ก่อนที่รัฐบาลจะออกพันธบัตร ซึ่งคาดว่าจะทำให้ปีนี้มูลค่าการออกหุ้นกู้โตขึ้นกว่า 2 เท่า จากปีที่ผ่านมามีมูลค่าที่ 2 แสนล้านบาท หลังจาก 5 เดือนแรกมีการเสนอขายหุ้นกู้ไปแล้ว 2 แสนล้านบาท
"ปีนี้ถือเป็นปีทองของตลาดหุ้นกู้ หลังจากที่มาร์เกตแคปตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง จาก 6 ล้านล้านบาท เหลือ 3 ล้านล้านบาทในปีที่ผ่านมา แม้ขณะนี้จะปรับตัวขึ้นมากว่า 4 ล้านล้านบาท แต่ตลาดหุ้นกู้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง 5.5-6 ล้านล้านบาท ที่โตกว่าตลาดหุ้น โดย 5 เดือนแรกปีนี้มูลค่าการออกจำนวน 2 แสนล้านบาท ซึ่งเท่ากับปีที่แล้วทั้งปี โดยเชื่อว่าปีนี้จะมีมูลค่าการออกหุ้นกู้เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปีก่อน "นางสุวภา กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทรับเป็นที่ปรึกษาในการออกหุ้นกู้ จำนวน 3 บริษัท โดยแต่ละแห่งมีมูลค่าประมาณ 2-5 พันล้านบาท บริษัทแรก คือ บมจ.บัตรกรุงไทย มูลค่าออก 2 พันล้านบาท ขณะที่ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาได้รับเป็นผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ไปแล้ว 3 ราย คือ บมจ.น้ำประปาไทย ธนาคารธนชาต และบมจ.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม ส่วนในปี 51 ที่ผ่านมาได้เป็นผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้รวม 18,500 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทยังได้รับเป็นที่ปรึกษาในการออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์จำนวน 3 บริษัท มูลค่ากองทุนละประมาณ 2-7 พันล้านบาท ซึ่งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ถือว่ามีความน่าสนใจที่จะเข้าไปลงทุน จากที่ราคาต่ำ และให้ผลตอบแทนการลงทุนปีละ 7-11 % และบริษัทเป็นที่ปรึกษาของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการที่จะเพิ่มสภาพคล่องตลาดรีโป และบริษัทร่วมกับบล.เคจีไอ ในการออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW) และกำลังจะเป็นผู้ดูแลสภาพคล่อง(มาร์เกตเมกเกอร์)โกลด์ฟิวเจอร์ส
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|