ไทยบริดจสโตน คิวซีแห่งแรกของเมืองไทยไปถึงไหนแล้ว


นิตยสารผู้จัดการ( สิงหาคม 2530)



กลับสู่หน้าหลัก

ในตำราของสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยีไทยญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตำราที่สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยีไทยญี่ปุ่นใช้สอนเรื่องคิวซีให้กับบริษัทและองค์กรต่าง ๆ มีบันทึกตอนหนึ่งในบทของคิวซีเมืองไทยว่าในปี 2518 บริษัทไทยบริดจสโตน จำกัด เป็นบริษัทแรกในเมืองไทยที่เริ่มนำระบบคิวซีเซอร์เคิลมาใช้อย่างจริงจัง

ถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 12 ปีแล้วที่ไทยบริดจสโตนยังเชื่อมั่นอยู่กับระบบนี้ ผู้บริหารหลายคนต่างตระหนักว่า ด้วยระบบคิวซีเซอร์เคิลที่ตัวเองนำมาปรับปรุงใช้นี่เอง เป็นส่วนผลักดันที่สำคัยในความสำเร็จของไทยบริดจสโตนในทุกวันนี้

"โรงงานของเราได้มีการเคลื่อนไหวด้านกิจกรรม คิวซีเป็นพื้นฐาน ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตนเองในระบบ 4 M อันได้แก่ MAN, MACHINE, METHOD, MATERIAL ซึ่งเราได้ทำการปรับปรุงและควบคุมเป็นอย่างดีอยู่ตลอดเวลา นี่ถือเป็นจุดสำคัญ

ปองชัย ดำเนินพิริยะกุลผู้จัดการโรงงานไทยบริดจสโตนซึ่งถือเป็นผู้ควบคุมหน่วยงานที่ใหญ่ที่สุดของไทยบริดจสโตนขณะนี้ กล่าวกับ "ผู้จัดการ"

บริษัทไทยบริดจสโตน จำกัด เป็นบริษัทหนึ่งที่มีระบบการบริหารเป็นตัวของตัวเอง มีลักษณะที่โดดเด่น ในเรื่องที่เกี่ยวกับการใช้คน

"อาจเป็นไปได้ว่า บริดจสโตนนั้น มีเถ้าแก่ (ENTRE PRENEUR) หลายคน ทั้งญี่ปุ่นทั้งคนไทยซึ่งก็มีกันอยู่หลายกลุ่ม จึงทำให้บริดสโตนจำเป็นต้องใช้มืออาชีพเข้ามาทำงานเพราะถ้าเถ้าแก่ (ENTRE PRENEUR) แต่ละคนต่างลงมาเล่นเองคงดีกันวุ่น" ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการบริหารให้ทัศนะต่อ "ผู้จัดการ"

บริษัทไทยบริดจสโตน จำกัด เริ่มจดทะเบียนก่อตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2510 โดยในตอนนั้นใช้ชื่อว่าบริษัทยางไทย-ญี่ปุ่น จำกัด มีผู้ถือหุ้นฝ่ายญี่ปุ่นคือบริษัทยางบริดจสโตนและบริษัทมิตซูบิชิถือหุ้นรวมกัน 49 เปอร์เซ้นต์ และกลุ่มฝ่ายคนไทยซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่สองกลุ่มคือ จุติ บุญสูง และวรรณ ชันซื่อกับอีกกลุ่มรายย่อยหลายกลุ่มถือหุ้นรวมกัน 51 เปอร์เซ็นต์

จำได้ว่า วรรณ ชันซื่อประธานบริษัทไทยบริดสโตนได้เคยเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง เมื่อสองปีก่อนว่า มีทนายความชื่อดังคนหนึ่งชื่ไล่อัน ได้แนะนำให้วรรณะ ชันซื่อ รู้จักกับมหาเศรษฐีปักษ์ใต้ที่ชื่อ จุติ บุญสูงมาตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2500 ซึ่งทั้งสองต่างรู้จักสนิทสนมกันเรื่อยมาคบกันเป็นมิตรสหายธรรมดาจนกระทั่งเมื่อเริ่มก่อตั้งกันเป็นบริษัทยางไทย-ญี่ปุ่น นี่แหละทั้งสองจึงได้เริ่มทำธุรกิจที่ใหญ่โตกันมาเรื่อย ๆ ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นบริษัทไทยเทรดดิ้งแอนด์อินเวสท์เมนท์ บริษัทในเครืออิซูซุและบริษัทในเครือนิปปอนเดนโซ่ เหล่านี้เป็นต้น

ซึ่งถ้าต้องเขียนถึงประวัติศาสตร์ธุรกิจไทยแล้ว บริษัทยางไทย-ญี่ปุ่นหรือบริษัทไทยบริดจสโตนในปัจจุบัน คงต้องถูกบันทึกไว้แน่นอนว่า เป็นบริษัทแรกที่สองนักธุรกิจที่มีอาณาจักรของตัวเองนับหมื่นล้านบาทนี้ได้ร่วมกันลงทุนและทำงานร่วมกันเป็นบริษัทแรก

ในวงการธุรกิจเล่ากันว่าเมื่อก่อนนี้ จุติ บุญสูง วรรณ ชันซื่อ และพงส์ สารสิน เป็นกลุ่มที่เกาะตัวกันอย่างเหนียวแน่นมาก ซึ่งนิตยสาร "ผู้จัดการ" ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2528 ได้กล่าวเอาไว้ว่า

"ทั้งสามสนิทกันมากมากจนน่าจะพูดได้ว่าคนหนึ่งไปที่ไหนอีกสองคนก็มักจะตามไปด้วยเสมอ อย่างเช่นในอุตสาหกรรมผลิตและประกอบรถยนต์ เป็นต้น

ดังนั้น จึงไม่น่าแลกใจว่าทำไม ออฟฟิศของบริษัทไทยบริดจสโตน จึงยังคงอยู่ที่ตึกสารสินจนปัจจุบัน

จุติ บุญสูง เป็นประธานกรรมการบริษัทมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2525 จุติ บุญสูง เสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจที่โรงพยาบาลพร้อมมิตร ในขณะที่มีอายุได้ 72 ปี ตำแหน่งประธานในบริษัทไทยบริดจสโตนจึงตกอยู่กับวรรณชันซื่อ ตั้งแต่นั้นมา

หากย้อนกลับไปเมื่อสมัยเริ่มการก่อตั้งบริษัทยางไทยญี่ปุ่นอีกครั้ง เพื่อดูการพัฒนาตลอดมา จะเห็นได้ว่า ในยุคเริ่มแรกของการทำงานของบริษัทนี้ ทั้งด้านการบริหารและการทำงาน ใช้คนญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดโดยเฉพาะภายในโรงงานซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีที่สุด

แต่ทุกวันนี้ ถ้าเข้าไปดูพนักงานในองค์กรแห่งนี้แล้วแทบจะไม่พบญี่ปุ่นแม้สักคนเดียว

ในปี 2510 ถึงปี พ.ศ. 2512 ไทยบริดจสโตนแมัจะก่อตั้งบริษัทขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการผลิตเนื่องจาก ยัดขาดบุคลากรและตัวโรงงานยังไม่พร้อม

การฝึกอบรมคนงานในระดับต่าง ๆ กระทำกันอย่างจริงจังและเต็มที่ในช่วง 2 ปีนี้เอง

"ผมเริ่มเข้ามาทำงานที่นี่เมื่อปี 2510 ตอนนั้นโรงงานยังไม่เปิดทำการผลิต แล้วก็ถูกส่งไปฝึกงานญี่ปุ่นเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม ๆ พร้อมกันคนไทยอีกประมาณ 20 กว่าคน กลับมาก็ตอ้งช่วยกันติดตั้งเครื่องจักร ช่วยกันสอนคนงานใหม่ แล้วในที่สุดก็กระจัดกระจายแยกย้ายกันเป็นหัวหน้าแต่ละหน่วยงาน" ปองชัยดำเนินพิริยะกุล ผู้จัดการโรงงานไทยบริดจสโตนคนปัจจุบัน (เริ่มรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2530 ที่ผ่านมานี้) กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ถึงในช่วงแรกของการเข้ามาทำงานเป็นลูกจ้างในบริษัทนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยการฝึกอบรมในช่วงแรก

แม้ว่าโรงงานไทยบริดจสโตนจะเปิดทำการแล้วในปี 2512 แต่บุคลากรระดับหัวหน้าหน่วยจนไปถึงระดับวิศวกรที่ควบคุมไฮเทคโนดลยีในการผลิตก็ยังเป็นคนญี่ปุ่นเสียส่วนใหญ่

อย่างไรก็ดีเมื่อบริษัทแห่งนี้ดำเนินไปได้ประมาณ 5 ปี คือในช่วงปี 2517 ทางด้าน บีโอไอ. ได้กำหนดให้ลดผู้เชี่ยวชาญทางด้านญี่ปุ่นลง เงื่อนไขอันนี้เป็นอีกเงื่อนไขหนึ่ง ที่เป็นแรงกระตุ้นให้ทางกรรมการบริษัทไทยบริดจสโตนเร่งเร้าตัวเองในการให้คนรุ่นเก่าถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่คนรุ่นใหม่ การส่งพนักงานไปฝึกงานที่บริดจสโตนในญี่ปุ่น เพื่อรับเทคโนโลยีทั้งทางด้านการบริหารและการผลิตกับมา การนำระบบคิวซีเซอร์เคิลมาใช้จึงจำเป็นต้องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในบริษัทแห่งนี้

คือกิจกรรมคิวซีที่ใช้มานั้น เป้าหมายใหญ่ของมันก็คือการยกระดับความรู้ความสามารถของพนักงานนั่นเอง มันช่วยได้ใหญ่ ๆ 2 ประการก็คือ ช่วยให้คนเรานั้นมองปัญหาได้กว้างขึ้นและก็ไกลขึ้น ไม่ใช่มองเป็นจุด อีกอันหนึ่งก็คือสอนให้คนเรารู้จักแยกแยะปัญหา ทำให้สามารถมองภาพวิธีที่จะแก้ไขได้ สมมติถ้าเราบอกว่า ยางวันนี้ทำได้ไม่ครบแผนการผลิต พูดแค่นี้เราแก้ไขอะไรไม่ได้ เราต้องมองให้ลึกถึงขนาดที่ว่า ยางของเราซึ่งผลิตแต่ละวันมีถึง 20-30 ขนาด ขนาดไหนที่มนมีปัญหาล่ะ คิวซีมันจะเสนอเราว่าดูทีละขนาด ขนาดไหนที่มันติดลบ หรือผลิตได้ไม่ตรงตามออร์เดอร์ เมื่อเรารู้ว่าเป็นจุดไหน เราก็แก้ได้ตรงเป้า" ผู้จัดการฝ่ายโรงงานคนเดิมของบริดจสโตนกล่าวกับ "ผู้จัดการ"

และจากการนำคิวซีมาใช้นี่เองทำให้ในปัจจุบันไทยบริดจสโตนแทบไม่มีผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่นเหลืออยู่เลย สิ่งที่ญี่ปุ่นทำได้คนไทยที่ได้เรียนรู้ก็เริ่มทำได้จนในที่สุดเมื่อปี 2522 บริษัทไทยบริดจสโตนได้มอบหมายภาระรับผิดชอบให้กับพนักงานคนไทยโดยสมบูรณ์ ทั้งทางด้านการบริหารและการผลิต ตั้งแต่ระดับผู้จัดการโรงงานลงมาจนถึงผู้บังคับบัญชาระดับต้นสุด

บริษัทไทยบริดจสโตน มีอัตราการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นยักษ์ใหญ่ที่สุดทั้งทางด้านการผลิตและการจำหน่ายในอุตสาหกรรมยางรถยนต์ตลอดมา ไม่เคยตกอันดับเลย

"ปริมาณการผลิตในปีแรกเราผลิตไม่ถึง 2 แสนเส้น ในปีที่ 10 เราผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 7 แสนเส้น และในปีที่ 18 คือปีที่แล้วเราผลิตได้ถึงเกือบ 1 ล้านเส้นและที่เราภาคภูมิใจก็คือ ยางบริดจสโตนของเราได้รับความนิยมเป็นอย่างดีมาโดยตลอด มียอดการจำหน่ายนำหน้าบริษัทอื่น ๆ มาโดยตลอด" ปองชัย ดำเนินพิริยะกุล กล่าวกับ "ผู้จัดการ"

ทุกวันนี้ บริษัท ไทยบริดจสโตน ยังคงครอง MARKET SHARE ในตลาดยางรถยนต์สูงที่สุดในประเทศไทย คือประมาณ 40-42 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตัวเลขมาร์เก็ตแชร์นี้ ทางสุรจิต นันทะศิริผู้จัดการฝ่ายการตลาด กระซิบบอกกับ "ผู้จัดการ" ว่า น่าจะสูงกว่านี้

ทางด้านการตลาดนั้นบริดจสโตนมีแผนการตลาดของตัวเอง แต่จะให้บริษัท มิตซูบิชิ เป็นผู้แทนจำหน่ายให้ ฝ่ายการตลาดจะทำงานหนักหน่อย ตรงที่ต้องการทำการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการขายทุกรูปแบบ

ในขณะที่กำลังครองความเป็นจ้าวในอุตสาหกรรมยางราถยนต์ในประเทศไทอยู่นี้ ไทยบริดจสโตนก็เริ่มมองหาตลาดเมืองนอก โดยเฉพาะในช่วงที่ค่าของเงินเยนกำลังแข็งอยู่นี้ ยิ่งนับเป็นโอกาสที่ดูเหมือนจะหาได้ยาก

แล้วโอกาสทองของบริษัทไทยบริดจสโตน จำกัด ก็มาถึงจริง ๆ เมื่อบริษัท เอ็มเอ็มซีสิทธิพล จำกัด ได้รับงานชิ้นใหญ่ผลิตรถยนต์นั่งให้กับบริษัทไครสเลอร์แคนาดา จำนวน 1 แสนคันโดยทะยอยส่งเป็นเวลา 6 ปี และทำการเซ็นสัญญากันไปแล้วเมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมานี้เอง

ไทยบริดจสโตนได้รับการทาบทามจากสิทธิผลทันที ในการผลิตยางรถยนต์ป้อนหใกับรถที่จะผลิตกับไครสเลอร์แคนาดาโดยเริ่งส่งมอบตั้งแต่ปี 2531 ที่จะถึงนี้

บริษัทไทยบริดจสโตน จำกัด ต้องปรับตัวเองอีกครั้งเพื่อรับกับงานชิ้นใหญ่ชิ้นนี้องค์กรก็จำเป็นต้องใหญ่ขึ้น โรงงานก็ต้องขยาย

"การขยายโรงงานใหม่กำลังวางแผนกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด กรรมการบริหารได้ตัดสินใจลงมาแล้วว่าจะต้องมีการทำการตลาดต่างประเทศขึ้นอย่างจริงจัง เพราะโรงงานที่จะขยายนี้ไม่เพียงแค่รองรับออร์เดอร์ของสิทธิพลเท่านั้น แต่ต้องมีการขยายไว้สำหรับตลาดต่างประเทศที่ไทยบริดจสโตนจะลุยกันเองด้วย" แหล่งข่าวรายหนึ่งกล่าวกับ "ผู้จัดการ"

แล้วก็คงต้องรอดูกันว่าคิววีเซอร์เคิล ในองค์กรที่ใหญ่โตอย่างไทยบริดจสโตนในวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไรกันแน่



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.