เชิดชัยอุตสาหกรรม อหังการ์บทใหม่ของธุรกิจภูธรแล้วจะไปได้สักกี่น้ำ


นิตยสารผู้จัดการ( กรกฎาคม 2530)



กลับสู่หน้าหลัก

วิชัย เชิดชัย อายุ 55 ปี ความรู้จบชั้นประถมปีที่ 4

ความสำเร็จของเขากับ "เชิดชัยอุตสาหกรรม" มิใช่เป็นเรื่องน่าปลายปลื้มเพียงกลุ่มคนแคบ ๆ ไม่กี่คนเท่านั้น ??

การพัฒนาธุรกิจของเขายังชี้ให้เห็นถึงการเคลื่อนทุนของธุรกิจภูมิภาคที่นับวันเริ่มจะปรับเปลี่ยนศักยภาพตัวเองไปสู่ความเป็นอินเตอร์มากขึ้น

ถึงจะเป็นความมั่นคงที่ค่อนข้างจะเปราะบางและน่าหวาดเสียวเพียงไร แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าติดตามมากมิใช่หรือ !?

อิทธิพลบารมีของคนคนนี้ ครอบฟ้าคลุมแผ่นดินเมืองโคราชและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ !!!

เขาเป็น 1 ใน 3 คหบดีของภาคนี้ที่ได้รับการยอมรับว่า "รวยจริง" ไม่ใช่รวยขี้ครอกหรือรวยขี้โอ่อย่างคนรวยบางคน ฐานะความมั่งคั่งของเขาไม่ได้วัดที่จำนวนเงิน โอ.ดี. ในธนาคาร หากสามารถรับรู้กันได้ถึงจำนวนเงินสด ๆ ที่ไม่ผิดอะไรไปกับขุนคลังอันยิ่งใหญ่ พร้อมด้วยที่ดินราคาค่างวดมหาศาลอีกหลายร้อนพันไร่ !!

เพราะเป็นเรื่องจริงที่ไม่ต้องเสกสรรปั้นแต่ง พรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่ง "จำต้อง" มอบความไว้เนื้อเชื่อใจให้เขาเข้ามามีส่วนร่วมกำหนดชะตากรรมทางการเมืองของพรรคในภาคนี้ด้วยความเต็มใจยิ่ง ทั้งนี้แลกกับผลประโยชน์ทางธุรกิจที่ "จำต้อง" มอบให้เขาโดยไม่มีสิทธิปฏิเสธถ้าได้เป็นรัฐบาล !?

เขาไม่ใช่นักการเมือง แต่เขามีเงิน และในความไม่สมประกอบทางการเมืองเงินมิใช่หรือ ที่คือพระเจ้าโน้มน้าวเสียงประชาชนให้เป็นเสียงสวรรค์แก่นักการเมืองคนใดคนหนึ่งได้ทุกเมื่อ เงินมีความศักดิ์สิทธิ์และเที่ยงธรรมพอที่จะเขียนอัตชีวประวัติความสำเร็จให้นักการเมืองคนนั้นได้ไม่ยากเย็น

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกคนเมื่อเสียงปี่กลองทางการเมืองดังขึ้น จะได้เห็นนักการเมืองผู้หลงละโมบต่ออำนาจวาสนาบางคนคิดจะเรียนลัดพากันตบเท้าเข้าชิดกันแล้วเดินเข้าหาคนคนนี้อย่างมีสัมมาคารวะ พลางพร่ำธุรสวาจาร้อยแปดที่ไม่พ้นบทสรุปง่าย ๆ ว่า "เฮียต้องช่วยผมนะครับไม่งั้นแย่"

ว่ากันว่า ถ้าเขาตกปากรับคำใครว่า "ต้องได้" ถึงจะยากเย็นแสนเข็ญเพียงใดจะต้องหมดกันกี่อัฐกี่เฟื้อง ลูกผู้ชายอย่างเขาจะไม่ยอมบิดพลิ้วสัญญา เขาเชื่อถือสัจจะมากพอ ที่จะทนยอมรับความขมขื่น ยอมรับคำปรามาสถากถางต่าง ๆ ในบางครั้งว่า "สิ่งที่เขากระทำลงไปนั้นเป็นการฝ่าฝืนกติกาสังคมอย่างไม่น่าพึงให้อภัย"

ครั้งหนึ่งเขายอมเป็นแม่แรงหนุนนักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงว่า เป็นบุคคลที่ไม่สมประกอบบางประการ ใครต่อใครพากันกากบาทว่า นักการเมืองผู้นั้นจะต้องตกเวทีประวัติศาสตร์อย่างบอบช้ำที่สุด แต่เมื่อมีเขาเคียงข้างปรากฏว่า "ความผิดปกตินั่นหาได้ทำให้นักการเมืองผู้นั้นพบกับความผิดหวังไม่"

"เฮีย" เป็นคำเรียกที่เขาดูจะภาคภูมิใจที่สุด เขาไม่สนใจมากนักที่จะมีบางคนกล่าวขานกันว่า เขาเป็นนายทุน เป็น ENTREPRENEUR ทั้ง ๆ ที่ความจริงเป็นอย่างนั้นและอาจดูหนักแน่นมากยิ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้เมื่อเขาเริ่มขยายบทบาทตัวเองออกไปเป็น "ทุนนิยมข้ามประเทศ"

ภารกิจประจำวันของเขาเฉกเช่นพ่อค้าภูธรทั้งหลายที่ต้องทำงานเยี่ยงมดเยี่ยงหอยโข่ง ตื่นแต่เช้ากับอาหารเบา ๆ จากนั้นค่อยเวียนวนดูการทำงานของพนักงานภายในโรงงานต่าง ๆ ที่สุมทุมกันอยู่ในอาณาบริเวณเนื้อที่เป็นร้อย ๆ ไร่ริมถนนมิตรภาพ และถ้ามีเวลามากพอก็จะกลับมาขลุกอยู่ในห้องทำงานที่คราคร่ำไปด้วยพระพุทธรูปและพระเครื่องชื่อก้องต่าง ๆ ทั่วเมืองไทย

มันแทบจะกลายเป็นงานอดิเรกที่เป็นงานหลักของเขาไปเสียแล้ว พอ ๆ กับการที่เป็นมือโปรในวงไพ่นกกระจอกเป็นบางครั้งบางคราว !!??

ในดงนักเลงพระตั้งแต่ระดับแบกะดินยันนั่งห้างรู้ว่า เขาเป็นนักเจียระไนที่พราวแพรวในการดูว่าพระดีหรือไม่อย่างที่หาตัวจับยากคนหนึ่ง หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า นักเลงพระคนนี้ด้านหนึ่งจะเป็นนักธุรกิจพันล้านเขาน่าจะเป็นนักโบราณคดีหรือนักประวัติศาสตร์เสียมากกว่า

เขาโปรดปรานมากกับการหาเช่าพระดี ๆ มาไว้บูชา หากจะต้องใช้จ่ายเงินมากกว่าเลข 5 หลักขึ้นไป เพื่อให้ได้มาซึ่งพระดี ๆ สักองค์หนึ่งก็พร้อมที่จะยินยอม

เขาจะเชื่อมั่นในกฤษดาภินิหารของพุทธคุณเหล่านั้นว่า จะปกป้องให้ตัวเขาและครอบครัวรอดพ้นจากภยันอันตรายซึ่งอาจมีบางคนมุ่งหมายปองร้ายได้หรือไม่นั้นไม่อาจตัดสินลงไปได้ ทราบแต่เพียงว่าเขาสอนให้เมียและลูกนับถือพระเพราะ "พระท่านจะช่วยให้รุ่งเรือง"

นอกจากจะมีพระดีเป็นที่สักการะยึดเหนี่ยวของจิตใจแล้ว ความโชคดีอีกอย่างหนึ่งที่เขาไม่อาจค้นหาได้อีกแล้วในชีวิตนี้ก็คือ การได้เมียที่ดีคนหนึ่งซึ่งมีค่ายิ่งกว่าเพชรน้ำงามเม็ดใด ๆ ทั้งสิ้น แน่ละ ถ้าดวงใจสองห้องจะมอบให้กับการงานที่เติบโตไม่หยุดยั้ง อีกสองห้องที่เหลือต้องเป็นของเมียที่รักอย่างยากที่จะไถ่ถอน !!

จากคนที่มือเปล่าเล่าเปลือยเมื่อสามสิบปีก่อน จากเด็กหนุ่มที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะตายวันตายพรุ่งเมื่อใด ? เขากลับก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ทั้งนี้ด้วยความวิริยะอุตสาหะ ความเชื่อมั่นกล้าได้กล้าเสียของตนเป็นที่ตั้ง และมั่นคงดั่งหินผาไม่รู้สึกกร่อนด้วยความ "หิน" ของเมีย !!!

พฤติกรรม "หิน" ทางการค้าของเมีย เขาขึ้นชื่อลือชาไปทั่วทุกหัวระแหง หินขนาดที่ว่าการที่คนงานจะขอเบิกเงินได้นั้นจะต้องให้งานแล้วเสร็จสมบูรณ์ 100% เสียก่อน ถ้าไม่เป็นอย่างนี้แล้วไม่ต้องมาพูดกัน หินขนาดที่ว่าเซลล์แมนบางคนถึงกับค้อมหัวให้โดยไม่ปริปาก

แต่ก็น่าแปลกที่ว่า ทั้งคนงานและเซลส์แมนต่างไม่มีใครถอนสมอไปจากรังธุรกิจของเขาและเมียได้ !?

ด้วยความ "หิน" ที่มีอย่างเหลือล้นภายในตัวเมียซึ่งทำให้ธุรกิจเติบใหญ่จนมีสินทรัพย์ในปัจจุบันไม่น้อยไปกว่าสองสามพันล้านบาท เป็นธุรกิจภูธรที่ไม่ต่ำต้อยน้อยหน้าและมีแววจะยิ่งใหญ่คับฟ้าได้อย่างแน่นอน เขาจึงพอใจมากหากจะมีใครยกย่องเมียที่รักให้เป็น "เฮีย" อีกคนของบริษัทฯ

ทั้ง ๆ ที่ความรู้ของคนทั้งคู่เพียงแค่จบชั้นประถม 4 ไม่ได้มีมรดกตกทอดมาให้สืบสาน ทว่าจากตัวธุรกิจจำต้องอาศัยความรอบรู้ความเชี่ยวชาญค่อนข้างสูง จนอาจจะดูเป็นวิชาการไปเสียด้วย แม้ว่าจะขาดแคลนการเรียนรู้ตามปริญญาบัตรทว่าประสบการณ์ และความหลักแหลมของมันสมองทำให้เขาไม่ลำบากอันใดเลยที่จะทำงานให้ได้ผลดีที่สุดออกมาจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก

เขาไม่ใช่วิศวกร ไม่ใช่นักประดิษฐ์ที่ผ่านการรับรองจากสถาบันใด ๆ ทั้งในและต่างประเทศ แต่เขาเป็นนักปฏิบัติที่เกิดขึ้นในสายเลือดและมีความยากจนเป็นตัวเพาะบ่มให้แก่กล้า ความสำเร็จที่ควรค่าแก่การชื่นชมจึงทำให้เด็กประถม 4 คนนี้ได้รับพระราชทานปริญญาวิศวกรรมศาสตร์มหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อปี 2528 และได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษในเวลาถัดมา

ธุรกิจของเขาเกี่ยวข้องกับรถยนต์ เขาเป็นเจ้าของกิจการเดินรถภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นผู้ได้รับสัมปทานรถไฟปรับอากาศของการรถไฟฯ เป็นผู้ถือหุ้นในสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง และที่สุดเขาเป็นเจ้าของอู่ต่อรถใหญ่ที่สุดของประเทศไทยและเอเชียอาคเนย์ ซึ่งมีนักลงทุนจากต่างประเทศมาเกี้ยวให้ร่วมทุนต่อรถอยู่เป็นประจำ !!!

รถโดยสารที่วิ่งกันขวักไขว่บนท้องถนนกว่า 30% เป็นผลผลิตจากอู่ของเขา !!

เขา-วิชัย เชิดชัย หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า "เฮียไซ" เจ้าของและประธานกลุ่มบริษัทเชิดชัยอุตสาหกรรม กลุ่มธุรกิจภูมิภาคที่ก้าวมาถึงช่วงต่อของการปรับศักยภาพตัวเองให้เป็นกลุ่มธุรกิจระดับอินเตอร์ในภาวะปัจจุบัน !!!

วิชัยมักลำดับความเป็นมาของชีวิต กว่าที่จะพลิกนาทีมาสู่ความรุ่งเรืองในปัจจุบันให้ใครต่อใครฟัง ด้วยท่าทีที่เปี่ยมล้นด้วยความสุขอยู่บ่อยครั้งว่า เขารู้จักคำว่า "ต่อสู้" มาตั้งแต่เด็กเมื่ออายุได้ 15 ปีก็ต้องเร่ร่อนจากบ้านเกิดที่ อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ไปทำซุงล่องแพขายอยู่ที่ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี แต่กิจการไปได้ไม่ดีนักจึงต้องย้อนกลับมาขับเรือยนต์รับจ้างโดยสารที่บ้านเกิด

ความที่เป็นคนราศีพิจิกซึ่งถูกครอบงำด้วยความกรุ่นของอารมณ์ที่กระเหี้ยนกระหือรือต่อการเสี่ยงภัยและไม่หยุดนิ่ง พร้อมที่จะฝากความตายของชีวิตไว้กับวันหน้ายังที่หนึ่งที่ใดก็ได้ที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตน ทำให้เด็กหนุ่มวัยกำดัดอย่างเขาต้องมีอันพเนจรร่อนเร่ไปเป็นเด็กรับจ้างกรีดยางพาราที่เบตง จ.นราธิวาส

ที่นี่วิชัยบอกว่า เป็นตักศิลาที่ทำให้เขาได้เรียนรู้การต่อตัวถังรถ โดยอาศัยเวลาว่างจากงานกรีดยางแล้วออกไปเร่ขายไก่กลับมาสุมหัวร่วมกันต่อตัวถังรถกับเพื่อน ๆ ชีวิตในช่วงนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อสิ้นบุญเตี่ยทำให้ต้องกลับมาอยู่ที่บ้านเกิดอีกหน

ตอนนั้นอายุได้ 23 ปี เป็นช่วงที่มีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตมากมายหลายอย่าง เป็นช่วงที่ต้องเผชิญกับความตกระกำลำบากอย่างแสนสาหัสด้วยการไปรับจ้างเป็นคนงานแบกอ้อยเข้าโรงหีบอ้อย ต้องทำงานแบบข้ามวันข้ามคืนด้วยค่าแรงตอบแทนเพียงวันละ 100 บาท

การทำงานภายในโรงหีบอ้อยให้วิชารู้จักคำว่า "วินัย" และ "ความเด็ดขาด" เนื่องจากระยะนั้นเป็นช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลกำลังเริ่มต้นไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ความต้องการแรงงานมีมากแต่เนื่องจากงานค่อนข้างหนัก ทำให้คนงานส่วนใหญ่ไม่สามารถทนทานได้ ขอลาออกไม่เว้นวันเมื่อรูปกาณณ์เป็นอย่างนี้ ทำให้โรงงานต้องใช้วิธี "กร้อนผม" คนงานทั้งหมดเพื่อป้องกันการหนีกลับบ้าน

จริงอยู่มันเป็นเรื่องที่ทารุณกรรมจิตใจอย่างมากมาย แต่เพื่อให้งานต่อเนื่องความเด็ดขาดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ต้องนำมาใช้ และประสบการณ์ที่เขาพบมานั่นเอง ทำให้การปกครองคนงานภายในโรงงานต่าง ๆ ของเชิดชัยอุตสาหกรรมปัจจุบันยึดถือเอาความเด็ดขาดเป็นบรรทัดฐานค่อนข้างสูง !!!

"เป็นเรื่องที่น่าศึกษามากว่าคนงานของอู่เชิดชัยนั้นว่าไปแล้วเจอกับการปกครองที่เข้มงวดมาก อย่างเรื่องเงินเดือนนี่เรื่องเบิกก่อนแทบไม่ต้องพูดถึงกัน บางทีงานเสร็จแล้วยังไม่ได้รับค่าแรงก็มี ก็เคยมีเรื่องร้องเรียนประท้วงเหมือนกัน แต่แล้วก็ซาไป คนงานก็ทนอยู่กันมาหลายปี" นักธุรกิจท่านหนึ่งของโคราชกล่าวกับ "ผู้จัดการ"

สำหรับตัววิชัยนั้นบอกว่า ช่วงเวลาที่ทำงานในโรงหีบอ้อยเป็นช่วงที่เหนื่อยยากที่สุด รายได้แม้ว่าจะได้ค่อนข้างดี แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสุขภาพที่ย่ำแย่ดูแล้วไม่คุ้มกันนัก จึงทำให้เกิดการตัดสินใจย้ายแหล่งทำมาหากินอีกครั้ง คราวนี้เขาระเหเร่ร่อนขึ้นมาปักหลักที่โคราชสมัยที่กองทัพอเมริกันกำลังยาตราเข้ามาเต็มอัตราศึก

การมาอยู่ราช เขาคิดว่า "ขอยึดเอาที่นี่เป็นเรือนตาย เป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่ขอถอยหนีอีกแล้ว" ดังนั้นจึงขายทุกสิ่งทุกอย่างที่บางปะกง ไม่ว่าจะเป็นบ้าน เรือ ทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ เก็บเงินสะสมได้ประมาณ 40,000 บาทแล้วเลยขึ้นมาที่โคราชทันที

กิจการแรกกับความหวังใหม่ที่โคราช ได้แก่ การรับจ้างบรรทุกของในนาม "วันดีขนส่ง" แต่ทำไปทำมากลายเป็นวันร้ายไปเสียฉิบ ทุนรอนที่ลงไปมีแต่จะหายสาบสูญไม่ได้กลับคืน ที่สุดก็ต้องขายรถที่มีอยู่แล้วหันมาทำขนมไข่ขาย แต่อย่างว่าอาชีพขายขนมไข่ มันไม่เมามันทำได้ไม่นานก็ทนความเย้ายวนของการเล่นรถอีกไม่ได้ จำต้องหวนกลับไปหาอีกครั้งพร้อมรับจ้างทำเฟอร์นิเจอร์ไปในตัวอีกด้วย

เหมือนบาปกรรมแต่ปางก่อนยังตามมาเยาะเย้ยถากถาง ประสบการณ์ชีวิตที่เขาบันทึกลงไปในช่วงนี้ก็คือ การล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าอีกครั้งและหนักหนาเสียจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว ดีที่ยังไม่สิ้นกำลังใจทำให้กัดฟันลุกขึ้นมาสู้ด้วยการหันไปทำฟืนส่งรถไฟ

อาชีพคนขายฟืนทำท่าไปได้ดีสามารถมีเงินเก็บนำไปซื้อรถบรรทุกได้คันหนึ่งแล้วนำมาต่อตัวถังเองเพื่อใช้บรรทุกฟืน ปรากฏว่าตัวถังที่ต่อขึ้นเป็นที่ถูกอกถูกใจของหลาย ๆ คนมาว่าจ้างให้เขาต่อตัวถังอย่างมากมายเลยทำให้ต้องเลิกขับรถบรรทุกฟืนหันมารับจ้างต่อตัวถังเพียงอย่างเดียว

และนั่นเป็นก้าวแรกที่เขาบอกว่า ทำให้กลายเป็น "เชิดชัยอุตสาหกรรม" เจ้าของอู่ตัวรถที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยและเอเชียอาคเนย์ในเวลานี้ !!!

การฉกฉวยความสำเร็จในปัจจุบันเพื่อเพิ่มเติมสีสันความทุกข์ยากแต่หนหลังนั้นเป็นปกติวิสัยที่พึงคิด และเลือกที่จะปฏิบัติกันอย่างชาชินเสียแล้วสำหรับพ่อค้าบางคนความพิกลพิการบางอย่างของระบบทำให้ไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้แจ่มชัด นานวันเข้าเลยกลายเป็นข้อยกเว้นที่กลายเป็นข้อมูลให้พ่อค้าบางรายนำพาความไม่สมจริงสมจัง 100% นั้นไปสมอ้างแสวงหาใบประกาศเกียรติคุณจนเป็นเรื่องราวฉาวโฉ่ !!!

กรณีของวิชัย เชิดชัย กับ "เชิดชัยอุตสาหกรรม" อาจเป็นความจริงที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ดังกล่าว เพราะ "ผู้จัดการ" ได้รับทราบจากคนเก่า ๆ ของโคราชที่รู้ต้นสายความเป็นมาของคน ๆ นี้เล่าให้ฟังว่า "ในความเป็นจริงเขาเป็นนักต่อสู้ตัวยงคนหนึ่ง เขาเคยถูกดูถูกมากมายแต่ก็ลบล้างมันไปได้"

มีเพียงข้อมูลเพิ่มเติมบางอย่างที่วิชัยอาจไม่ได้พูดถึงนั่นก็คือ ความสำเร็จที่กลายมาเป็นเจ้าของอู่ต่อรถใหญ่ที่สุดได้นั้นเล่ากันว่า หลังจากที่เขารับจ้างบรรทุกของส่งขายในตลาดก็สามารถเก็บเงินได้ไม่น้อย และได้ร่วมกับพี่ชายคนหนึ่งทำไม้ขายโดยมีโรงงานทำไม้ แปรรูปไม้ อยู่บริเวณวัดทุ่งสว่าง ซึ่ง "เชิดชัยค้าไม้" ซึ่งปัจจุบันโรงงานทำไม้ดังกล่าวยังคงดำเนินงานอยู่เป็นปกติ

ความเป็นพ่อค้าไม้ของวิชัยโด่งดังไม่แพ้ไพบูลย์ รัตนเศรษฐ์ หรือองอาจ ตั้งสถิตย์ชัย สองพ่อค้าไม้ชื่อดังภาคอีสาน ซึ่งถูกล่าสังหารถึงกับต้องใช้ทหารและตำรวจนับร้อยคุ้มกันแทบทุกตารางนิ้วของห้องพยาบาลชื่อเสียงการทำไม้ของ "เชิดชัยค้าไม้" ดังเป็นพลุแตก ป่าเกือบทุกป่าของภาคอีสาน วิชัยเคยได้ไปถึง เคยได้ไปสัมผัสและเคยได้รู้ว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้ไม้มีคุณค่าแก่ชีวิตของตน !?

วิชัย ไพบูลย์ และองอาจ หรืออาจจะรวมเอาเสี่ย ล. พ่อค้าไม้ของอุบลราชธานีอีกคน ต่างมีวิถีชีวิตความรุ่งเรืองไม่ผิดแผกแตกต่างกัน ทุกคนกลายเป็นผู้มีอันจะกินจากการค้าไม้ได้ในชั่วพริบตา จุดหักเหอยู่ที่ว่าวิชัยเมื่อพบความสำเร็จระดับหนึ่งเขาตัดสินใจที่จะเลิกรากับมัน ขณะที่ทั้ง 3 คนที่เหลือยังคงเวียนว่ายอยู่ในดงไม้ท่ามกลางเสียงโจษจันไม่รู้สร่างซา !!!

"ความที่เป็นคนมีฝีมือเรื่องต่อตัวถังรถอยู่บ้าง จึงทำให้เขาเกิดความคิดที่จะนำไม้แปรรูปมาทำมาหากินอย่างสะอาดหมดจดอีกอย่างตอนนั้นโคราชยังไม่มีคนทำด้านนี้เลย จะต่อตัวถังรถแต่ละทีต้องไปว่าจ้างถึงบ้านโป่ง จึงเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่วิชัยคิดจะลงทุนกิจการประเภทนี้อย่างจริงจัง" คนรุ่นเก่าของโคราชบอกให้ฟัง

แต่การต่อตัวถังรถของวิชัยในระยะแรก ๆ ยังไม่เป็นที่นิยมชมชอบมากเท่าไร เพราะฝีไม้ลายมือยังสู้ช่างแถวบ้านโป่งไม่ได้ ตัวถังรถที่ต่อออกไปใช้การได้เพียง 1 ปี มักได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากว่า ตัวถังไม่มีความแข็งแกร่งดีพอ

สิ่งหนึ่งที่ได้เปรียบของ "อู่เชิดชัย" เห็นจะเป็นตรงที่ราคาถูกกว่าเนื่องจากเจ้าของนั้นมีโรงงานทำไม้อยู่ในมือ และอีกเรื่องก็คือ การให้เครดิตสามารถผ่อนชำระได้เป็นงวด ๆ ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้อู่ต่อตัวรถแถวบ้านโป่งไม่เคยยินยอมอ่อนข้อให้ลูกค้า ทุกอู่เรียกเก็บเป็นเงินสดเลยทีเดียว

ความปราดเปรื่องกล้าได้กล้าเสียอย่างนี้ จึงทำให้ "อู่เชิดชัย" ได้ลูกค้าที่เป็นเจ้าของรถบรรทุกอย่างมากมาย โดยเฉพาะรถสิบล้อและหกล้อซึ่งมีมากที่สุดในภาคอีสาน "ความเป็นคนใจนักเลงของเขาทำให้กิจการเติบโตอย่างน่าพึงพอใจ และข้อดีนี้เขายังรักษามาจนถึงปัจจุบัน" แหล่งข่าวท่านหนึ่งกล่าว

ความรุ่งโรจน์สุดขีดของ "อู่เชิดชัย" ว่าไปแล้วเกิดขึ้นจากความกล้าเสี่ยงกับความใหม่ ๆ ที่ไม่มีคนหาญคิดที่จะทำ อย่างเช่น การต่อตัวถังรถซึ่งเดิมทีต่อกันเป็นโครงไม้นั้น ตัววิชัยคิดว่าน่าจะพัฒนามาต่อเป็นโครงการเหล็กที่มีความทนทานกว่า นอกจากนี้ ยังมีการคิดค้นแบบตัวถังแปลกใหม่ ๆ ออกมาไม่ขาดระยะ ทำให้เป็นที่พออกพอใจของเจ้าของรถเป็นอันมาก ทำให้ได้ลูกค้าเพิ่มมาอีกกลุ่มหนึ่งคือ พวกรถยนต์โดยสาร

อีกสาเหตุหนึ่งที่อาจเป็นตัวแปรความคิดของวิชัยให้หันมาสนใจตัวถังเป็นโครงเหล็ก อาจเป็นเพราะว่าการต่อเป็นโครงไม้ผลผลิตที่ออกมาค่อนข้างล่าช้า เพราะมีปัญหาเรื่องไม้ไม่แห้งกับมีไม้ไม่เพียงพอความต้องการ การต่อโครงด้วยไม้ไม่แห้งจะทำให้เกิดเสียงดังเพราะไม้ยังไม่หดตัว กอปรกับรัฐบาลยุคนั้น (2500) มีคำสั่งห้ามผู้ต่อรถใช้โครงการที่เป็นไม้เนื่องจากเป็นอันตรายได้โดยง่าย

เพราะ "เสี่ยง" ในการเป็นผู้ปูพื้นฐานโครงตัวถังด้วย "เหล็ก" ก่อนคนอื่น เลยทำให้ "อู่เชิดชัย" พุ่งพรวดขึ้นมาในโลกอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างทันทีทันควัน และในช่วงนี้เองที่วิชัยได้รู้จักกับสุจินดา เชิดชัย หรือเจ๊เกียว ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากซึ่งเป็นคนที่เข้านอกออกในกับผู้ใหญ่ในส่วนราชการต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี

สองผัวเมียสองประสานเลยสามารถเกาะติดการต่อตัวถึงรถให้กับหน่วยงานราชการต่าง ๆ ได้อย่างสบาย สบาย !!!

วิชัยยังได้ชื่อว่า เป็นนักเล่นที่ดินตัวฉกาจคนหนึ่ง ฐานะที่เริ่มมีอันจะกินจากการรับจ้างต่อตัวถังรถทำให้เขาเริ่มหันมาเป็นนายทุนปล่อยเงินกู้ โดยมีที่ดินเป็นหลักทรัพย์ค้ำจำนอง ก็ด้วยกลวิธีแยบยลต่าง ๆ นานาในไม่ช้าจึงกลายเป็น "ราชาที่ดิน" ของเมืองโคราช และด้วยมูลเหตุนี้ ประกอบกับความมีฝีมือในเรื่องต่อตัวรถอยู่แล้ว จึงทำให้บริษัท อีซูซุ จำกัด เกี้ยวให้เข้าร่วมเป็นผู้ต่อตัวถังรถให้แก่อีซูซุในราวปี 2503

"ที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งโรงงานต่อตัวถังรถในขณะนี้สมัยก่อนราคาถูกมาก ขณะที่คนอื่นไม่สนใจเพราะเป็นที่นอกเมือง ทว่าวิชัยกลับกว้านเอามาหมด กระทั่งญี่ปุ่นได้มาเห็นทำเลจึงชักชวนให้เข้าหุ้นตั้งโรงงาน งานนี้รู้ ๆ กันว่า เขาฟังสองต่อเลยทีเดียว" แหล่งข่าวท่านเดิมกล่าว

วิชัยร่วมกับ "ตรีเพชรอีซูซุ" ตั้งบริษัทเชิดชัยอีซูซุบัสบอดี้ จำกัด ขึ้นมาโดยรับต่อตัวถังรถบัสแบบโมโนค๊อต ซึ่งเป็นกรรมวิธีใหม่มากในยุคนั้น แรก ๆ ทางญี่ปุ่นส่งช่างเทคนิคเข้ามาควบคุมแล้วก็ค่อย ๆ วางมือลงไป รถที่ต่อออกไปนั้นทางตรีเพชรฯ รับขายให้ทั้งหมด การว่าจ้างระยะแรกเป็นแบบคันต่อคัน

ต่อมาทางญี่ปุ่นมีความมั่นใจมากขึ้น จึงสนับสนุนให้ขยายการผลิต และลำดับถัดมา "อู่เชิดชัย" จึงรับทั้งต่อและขายเสียเองโดยยังซื้อแซสชีส์จากตรีเพชรอีซูซุเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ตามด้านตลาดต่างประเทศทางตรีเพชรฯก็ยังเป็นหัวเรียวหัวแรงคนสำคัญเช่นเดิม

เดือนมีนาคมที่ผ่านมา วิชัยกับตรีเพชรอีซูซุร่วมเฉลองความสำเร็จอันน่าโอ่อ่าด้วยการต่อตัวถังรสบัสคันที่ 1,000 แต่จะมีใครรู้บ้างว่าในความน่าชื่นตาบานนั้น ก็แฝงไว้ด้วยความอกตรมของ "อีซูซุ" ไม่น้อยเลย…

เหตุที่ต้องเป็นเช่นนั้นก็เพราะข่าวคราวที่ว่าทาง "อู่เชิดชัย" พร้อมที่จะร่วมลงทุนกับ "โบวี่" ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์ของเนเธอร์แลนด์ด้วยการตั้งโรงงานต่อตัวถังรถบัสใหญ่ที่สุดในเอเชียด้วยทุนก่อตั้งขั้นแรก 100 ล้าน แม้ว่าประพฤติปฏิบัติดังกล่าวจะอยู่นอกเหนือสัญญาวิชัย-อีซูซุ

แต่ถ้าเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเมื่อใด คนที่เจ็บก็ไม่พ้น "อีซูซุ" !!!

"อีซูซุเขาเคยได้รับบทเรียนมาแล้วครั้งหนึ่ง คราวที่อู่เชิดชัยรับต่อตัวถังรถบัสให้กับวอลโว่ 200 คัน ซึ่งวอลโว่รับสัญญาต่อจาก ขสมก. อีกทอดหนึ่ง ครั้งนั้นอีซูซุต้องเป็นฝ่ายสูญเสียไปไม่น้อย แน่ละว่าถ้าวิชัยร่วมมือกับโบวี่จริง ๆ กรมก็ตกที่อีซูซุอีก เอาผิดก็เอาไม่ได้ ไปจ้างอู่อื่นฝีมือก็สู้ไม่ได้ สรุปแล้ว งานนี้คนที่สบายตัวนอนฟันคนเดียวก็คือ ตัววิชัยพ่อค้าที่มีความรู้เพียงแค่ ป.4" แหล่งข่าวในวงการยานยนต์กล่าวกับ "ผู้จัดการ"

และข่าวที่ค่อนข้างเป็นจริงบอกเพิ่มเติมอีกว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของบริษัทรถยนต์ชื่อดังในเกาหลีใต้ได้เดินทางมาดูและร่วมวางแผนอย่างเงียบ ๆ กับวิชัยนั่นคือ เป้าหมายสำคัญของวิชัยที่จะยกฐานะของกลุ่มเชิดชัยอุตสาหกรรมให้เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมระดับอินเตอร์ให้จงได้

เขาทำการค้าอย่างแนบเนียนและไม่ใช่คนที่จับปลาหลายมือ แต่ทุกมือที่คว้าปลาเข้ามาได้ ต้องมีความมั่นใจมากกว่า "มันย่อมไม่มีทางดิ้นหลุด" เหมือนที่เขาจับอีซูซุมาได้นั้นแหละ !!??

น่าตั้งข้อสังเกตมากว่าการร่วมลงทุนของวิชัยกับบริษัทต่างชาตินั้น สิ่งที่เขาพึงระมัดระวังมากที่สุดก็คือ เรื่องสัญญาผูกมัดตัวเขาจะไม่ยอมให้สัญญาหนึ่งสัญญาใดมาครอบจนไม่สามารถที่จะดิ้นไปผูกสมัครรักใคร่กับรายอื่นได้อีก คนที่จะร่วมลงทุนด้วยนั้นต้องแสดงตัวเองว่า "แฟร์" ที่สุดเมื่อนั้นเขาจึงจะโอเค

"อย่างรายโบวี่นั้นเรื่องเงินลงทุนทางนั้นก็จัดหามาให้ แต่เรื่องสถานที่ตั้งโรงงานต้องเป็นที่ดินของวิชัยเขาและควรอยู่ในเมืองโคราชด้วย เพราะที่นั่นวิชัยมีความพร้อมที่จะให้ได้มาในสิ่งที่ตนเองต้องการ" แหล่งข่าวกล่าวให้ความเห็น

การขยายตัวของ "เชิดชัยอุตสาหกรรม" หากมองว่าสุ่มเสี่ยงกับนับว่าอักโขอยู่ หนึ่ง - ในแง่ของความสัมพันธ์หลากหลายถึงจะมีผลดีของการเคลื่อนทุนที่ไม่ต้องออกแรงมากนัก แต่ภาวะดังกล่าวอาจก่อให้เกิดอาการเลือกที่รักมักที่ชังจนอาจเป็นผลเสียได้ในระยะยาว

สอง - การปรับเปลี่ยนศักยภาพครั้งนี้เดินมาถึงจุดปรับโค้งของระบบธุรกิจครอบครัวเช่นเดียวกัน เนื่องจากความชราภาพทั้งของวิชัยและภรรยา ทำให้ทายาทต้องก้าวเข้ามารับช่วงแทน ซึ่งขณะนี้ตัวแทนอย่างกฤตินีและอัสนี เชิดชัย ก็ยังไม่พรักพร้อมนัก

แน่นอนละว่า ศึกสายเลือดใน "เชิดชัย อุตสาหกรรม" ที่เป็นปัญหาหญ้าปากคอกของระบบธุรกิจแบบครอบครัวอาจจะไม่เกิดขึ้นกับ "เชิดชัยอุตสาหกรรม" แต่ปัญหาหนักกลับตกตรงที่ว่า "ภาวะการสร้างผู้นำใหม่" ให้เข้ามารับช่วงต่อได้อย่างเหมาะสมกลมกลืนนั่นต่างหาก

"อัสนั้นเขาน่าจะเป็นตัวแทนของครอบครัวได้ แต่ที่ผ่านมายังไม่อาจสามารถสำแดงความเก่งได้เทียมพ่อและแม่เลยแม้แต่ครึ่งเดียว การได้เป็น สจ. ก็เพราะแรงหนุนจากพ่อเป็นสำคัญ อีกอย่างอัสนีเป็นคนที่ค่อนข้างมีปัญหาส่วนตัวมาก ส่วนกฤตินีถึงจะผ่านการศึกษาค่อนข้างสูงแต่โลกภายนอกยังแคบอยู่ กลับมาก็ทำงานที่ครอบครัววางฐานไว้ให้แล้วผิดกับลูกคนรวยรายอื่น ๆ " นักธุรกิจคนหนึ่งของโคราชให้ทัศนะกับ "ผู้จัดการ"

กฤตินี เชิดชัย - เป็นลูกสาวคนโตสำเร็จการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาวิชาการบัญชี (เกียรตินิยมอันดับ 2) และจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยอินเดียน่า รัฐอินเดียน่า สหรัฐอเมริกา กฤตินีมีความคล้ายคลึงกับพ่อมากในเรื่องความสุขุมเยือกเย็นที่หลายครั้งยากจะดูออก

อัสนี เชิดชัย - ลูกชายคนรองสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง วิชัยปรารถนามากที่จะให้ลูกชายคนนี้ก้าวไปมีวิถีชีวิตที่โด่งดังทางการเมือง ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัดนครราชสีมา กล่าวกันว่า เขาหมดเงินเพื่อผลักดันลูกชายเข้าสภาฯ ไปหลายล้านบาท

วิชัยยังมีบุตรชายอีก 2 คน คือ อัสพงษ์ เชิดชัย กับสุรวุฒิ เชิดชัย ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ การรับช่วงต่อของลูก ๆ นับเป็นภาระที่หนักอึ้งเสียนี่กระไร เพราะเป็นช่วงต่อที่ "เชิดชัยอุตสาหกรรม" กำลังขยายตัวอย่างเต็มที่ ความแข็งแกร่งที่แฝงไว้ด้วยความเปราะบางอย่างเห็นได้ชัดเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถของทุก ๆ คน โดยเฉพาะกับวิชัย

ถ้าเขาทำได้สำเร็จอิสรยศมิใช่เพียงปรากฏแก่ตระกูล "เชิดชัย" ในฐานะที่เป็นกลุ่มธุรกิจภูมิภาคซึ่งขยับขยายไปสู่โลกกว้างเท่านั้น หากยังเป็นแบบอย่างดีงามที่ควรค่าแก่องค์กรธุรกิจทั้งหลายจะบันทึกไว้เป็นตัวอย่างเพื่อการศึกษาอีกด้วย

ยังไง ๆ ก็หวังว่าสคริปบทนี้คงไม่สะดุดตกหลุมเสียก่อนล่ะ !!

ประเด็นที่น่าจับตามองก้าวขยับกับการวัดอัตราเสี่ยงของกลุ่มธุรกิจภูมิภาครายนี้อีกประการหนึ่งคือว่า เท่าที่ผ่านมา "เชิดชัยอุตสาหกรรม" ที่เติบโตเป็นตัวเป็นตนมีกิจการในกำมือหลายบริษัทไม่ว่าจะเป็นเชิดชัยอุตสาหกรรม เชิดชัยอีซูซุบัสบอดี้ เชิดชัยมอเตอร์เซลส์ กิจการราชสีมายานยนต์ เชิดชัยเดินรถ เชิดชัยดีเซลราง หรือแม้แต่เชิดชัยเฟอร์นิเจอร์

ทุกกิจการเหล่านี้ ความบกพร่องที่เห็นได้ชัดก็คือ ภาวะขาดแคลนผู้บริหารอาชีพ (PROFESSIONAL MANAGER) ที่ผ่านมาเติบโตหรือล้มเหลว "ยำ" อยู่ในกำมือของวิชัยกับภรรยาทั้งหมด ยิ่งเรื่องการเงินด้วยแล้วคุมเข้า-ออกยิ่งกว่านักโทษ แต่ทั้งคู่ก็ต้อง "เจ็บ" กับความเข้มงวดในการทำบริษัทเงินทุน"

นั่นเป็นความพลาดพลั้งที่วิชัยและภรรยาได้รับ สำคัญแต่เพียงว่าเขาจะได้ไตร่ตรองมันหรือไม่เท่านั้น !?

สำหรับวิชัยหลายคนเชื่อว่า เขาใจกว้างพอที่จะรับความคิดใหม่ ๆ ดังจะเห็นว่าได้เข้ามามีส่วนร่วมกับหอการค้าจังหวัดมากขึ้นถึงกับ "ลุ้น" ตำแหน่งประธานฯ ทั้งๆ ที่เพิ่งเข้ามาได้เต็มที่ไม่ถึงขวบปี การคาดการณ์ผิดครั้งนี้บอกให้เขารู้ว่า ในองค์กรที่พัฒนาระดับหนึ่งแล้วนั้น "เงิน" ไม่อาจซื้อหาความสำเร็จได้เสมอไป

"ลำดับที่ 21 ที่ได้รับบอกให้เฮียไซรู้ว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจในอนาคตควรจะเป็นอย่างไร เขาคงไม่ปิดกั้นตัวเองเหมือนอย่างที่ผ่านมา เขาเริ่มซึมซับทฤษฎีบริหารใหม่ ๆ ไปไม่น้อย สิ่งเหล่านี้หากนำไปประสานกับธุรกิจที่มีอยู่ ความสำเร็จของแกจะเป็นตัวชูโรงบทบาทพ่อค้าภูธรได้เป็นอย่างดี" กรรมการหอฯ ท่านหนึ่งกล่าว

สิ่งที่น่าคำนึงอย่างมากเห็นจะเป็นศรีภรรยาของวิชัย เป็นที่รับรู้กันในวงการพ่อค้าเมืองโคราชว่า "เจ๊เกียว" ภรรยาของวิชัย นอกจากจะมีความ "หิน" ที่ไม่เหมือนใครแล้ว ยังมีความ "อึด" ค่อนข้างสูง อึดในความหมายที่รักความเป็นคนเดียวโชว์อย่างยึดมั่น

ความจำเป็นของผู้บริหารอาชีพกับการขยายตัวของธุรกิจเป็นเรื่องที่ไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจระดับไหน เมืองกรุงหรือบ้านนอก การจัดระบบที่ขจัดความลักลั่นให้สมดุลกับการเติบโตของธุรกิจ ภาระเหล่านี้การทำธุรกิจแบบครอบครัว อาจ "ตัน" เกินไปเสียแล้ว

"เชิดชัยอุตสาหกรรม" ในทศวรรษที่กำลังจะมาถึงคงเป็นบทพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี !!??

พัฒนาการอย่างหนึ่งของธุรกิจภูมิภาคที่กำลังเป็นประเพณีนิยมนั่นก็คือ การสร้างความเข้มแข็งโดยผูกมัดกับหนทางทางการเมือง ทุกคนเกิดสำนึกที่ว่าการเมืองเป็นเรื่องของนกมีหู หนูมีปีก ที่จะทำให้ความฝันทางการค้าเป็นจริงหรือเติบใหญ่ขึ้นมาได้

พ่อค้าภูธรหากไม่เล่นการเมืองด้วยตนเอง ก็มักส่งเสริมให้ลูกหลานเข้าไปมีวิถีชีวิตผูกพัน หรือไม่ก็ต้องเป็น "นักการเมือง" ที่สามารถสั่งกันได้ด้วย "อำนาจเงิน" และ "อิทธิพลบารมี"

"เชิดชัยอุตสาหกรรม" ก็อยู่ในข่ายนี้แม้ว่าตัวของวิชัยจะไม่ใช่นักการเมืองสมบูรณ์แบบ แต่ไม่อาจจะบิดเบือนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ไปได้ว่า ทุกยุคสมัครการเลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นสนามเล็กหรือใหญ่ เขาได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากมาย โดยเฉพาะกับพรรคการเมืองอย่างพรรคชาติไทยที่วิชัยเป็นแม่เหล็กทางการเงินให้ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ธุรกิจของ "เชิดชัยอุตสาหกรรม" เติบโตมาได้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความอนุเคราะห์ทางการเมืองที่มีให้เขาตลอดมาหลายสิบปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่พรรคชาติไทยเป็นรัฐบาล !!!

วิชัยมีความสนิทสนมเป็นพิเศษกับ พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ หัวหน้าพรรคชาติไทยและรองนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ความรักใคร่กลมเกลียวของคนทั้งคู่เชื่อมโยงโดยผ่าน ชุล ชัยฤทธิชัย ทนายความชื่อดัง กล่าวกันว่า แท้จริงที่ พล.ต.ชาติชัย ได้รับเลือกตั้งนั้น หากไม่ได้วิชัยแล้วชาติชายก็มีสิทธิ "ปิ๋ว" ได้ไม่ยากนัก !?

"เครดิตส่วนตัวของท่านรองนายกฯ กับคนโคราชเสื่อมถอยไปมากในระยะหลังดีที่ว่า ยังมีเฮียไซเป็นฐานคะแนนใหญ่ที่เงินถึงจึงลอยตัวผ่านการทดสอบไปได้" นักการเมืองของจังหวัดคนหนึ่งบอกเล่ากับ "ผู้จัดการ"

ถึงกระนั้นในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา สายสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เกือบมีอันขาดสะบั้นเสียแล้ว เมื่อชาติไทยประกาศจะกวาดพื้นที่เมืองโคราชให้ได้มากที่สุด ความหวังนี้วิชัยยอมรับและพร้อมช่วยเหลือทุกด้านโดยเฉพาะเรื่องการเงิน แต่พอหาเสียงไปได้ระยะหนึ่ง ปรากฏเงินจากพรรคขาดหายไปดื้อ ๆ เล่นเอาวิชัย "ยัวะมาก"

"จะเอายังไงกันขืนให้จ่ายคนเดียวก็ฉิบหาย" คนอารมณ์เยือกเย็นอย่างเขาอดไม่ได้ที่จะคายความเคืองโกรธออกมากับคนสนิทเป็นอาการโกรธที่ไม่ค่อยพบบ่อยนักในตัวนักธุรกิจผู้นี้ การช็อตอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ ถึงกับทำให้วิชัยประกาศที่จะหันไปสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์แทน

ทั้งนี้ พร้อมให้ความช่วยเหลือทุกรูปแบบ หนุนส่งให้พรรคการเมืองพรรคนี้ได้เป็นพรรครัฐบาล

"ท่าทีของเฮียไซที่แสดงออกมา ทำให้คุณชุบต้องวิ่งประสานรับรองชาติชายเป็นการด่วน ในที่สุดก็ตกลงกันได้ เฮียไซและกลุ่มการเมืองท้องถิ่นของเขาจึงกลับมาสนับสนุนพรรคชาติไทยตามเดิม" แหล่งข่าวกล่าว

การหวนกลับมาช่วยเหลือไม่ผิดหวังเสียด้วย เมื่อบรรหาร ศิลปอาชา คนที่วิชัยและภรรยาเคารพนับถือได้เป็น รมว.คมนาคม สัมปทานการเดินรถไฟปรับอากาศทั่วประเทศ 6 สาย ก็มีอันตกเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทเชิดชัยดีเซลราง จำกัด ที่มีวิชัย เชิดชัย เป็นหัวเรือใหญ่อย่างเหมาะเจาะ !!??

เรียกว่าดำเนินงานกันไปเลยเจ้าเดียว ซึ่งกิจการเดินรถไฟปรับอากาศนี้ นับวันจะเป็นดาวรุ่ง และเป็นตัวทำเงินให้กับเชิดชัยอุตสาหกรรมอย่างที่ไม่คาดคิด… คนที่เคยเข้าร่วมประมูลสัมปทานในครั้งนั้นบอกกับ "ผู้จัดการ" ว่าต้องยอมรับความฉลาดของวิชัยที่เข้าใจปัญหาธุรกิจการเมืองได้อย่างดีไม่มีที่ติ !!!

อาการลักลั่นของเขา ยังเห็นได้แจ่มแจ้งอีกกับงานการเมือง นอกจากจะมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนของพรรคชาติไทยหลายคนแล้ว ครั้งหนึ่งวิชัยยังสนิทชิดชอบกับนักการเมืองที่เคยเป็นเจ้าของคดีอื้อฉาวรถทัวร์เถื่อน 19 คัน "ทั้ง 19 คันออกไปจากอู่เชิดชัยทั้งสิ้น" นั่นเป็นบทสรุปสั้น ๆ ของเรื่องนี้

ดีที่คดีเงียบไปพร้อมกับอำนาจวาสนาที่หลุดลอยของนักการเมืองผู้นั้น ไม่เช่นนั้นแล้ว คงไม่สืบสาวราวเรื่องที่อาจพ่วงเอาอู่เชิดชัยติดร่างแหไปด้วย

วิชัยเป็นคนโชคดีจริง ๆ ในเรื่องนี้ยามดังเขาดังคู่ ยามดับเขาอยู่นักการเมืองไป !! นี่แหละคนเก่งจริง !!

ดูเหมือนว่าวิชัยจะหลงเสน่ห์การเมืองว่า มีส่วนเกื้อกูลให้การค้ารุ่งโรจน์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น นอกจากจะเป็นฐานคะแนนให้พรรคชาติไทย ยังหันมาสร้างกลุ่มการเมืองระดับท้องถิ่น "กลุ่มประสานมิตร" โดยยอมรับภาระเป็นท้องพระคลังส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งทั้งสมาชิกสภาเทศบาลและสมาชิกสภาจังหวัด

แต่การลงเล่นการเมืองสังกัด "กลุ่มประสานมิตร" นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ คนอย่างวิชัยมีความเข้มงวดพอตัว ดังนั้นทุกคนที่มาลงจะต้องลงขันของตัวเองส่วนหนึ่ง และถ้าใครไม่มีจริง ๆ สามารถนำหลักทรัพย์มาจำนองไว้กับวิชัยได้ ซึ่งปัจจุบันทำให้เกิดคดีฟ้องร้องกันขึ้นระหว่างอดีตผู้จัดการแบงก์กสิกรไทยกับผู้บริหารของกลุ่ม

ทุกอย่างเป็นไปอย่างสมใจนึก "กลุ่มประสานมิตร" ชนะเลือกตั้งทั้งสองสนามอย่างขาดลอย สามารถเข้าไปเป็นฝ่ายบริหารทั้งสภาเทศบาลและสภาจังหวัดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนของเมืองโคราช และนับจากวันนั้นเป็นต้นมาไปจนกว่าจะครบกำหนด 4 ปี

ความเป็นไปของเมืองโคราชถูกกำหนดเอาไว้แล้วด้วยความคิดของเขา-วิชัย เชิดชัย

อดีตคนขายขนมไข่ที่ใฝ่ฝันจะเป็นนักธุรกิจที่ครบถ้วนกระบวนยุทธ์คนหนึ่งของประเทศ !!!



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.