ติดชิปบนบัตรเดบิต


นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา( มิถุนายน 2552)



กลับสู่หน้าหลัก

บัตรเดบิตที่ใช้เทคโนโลยีแถบแม่เหล็กเริ่มถูกขโมยข้อมูลเพิ่มมากขึ้นทำให้ธนาคารกรุงเทพหันมาติดเทคโนโลยีไมโครชิปเพื่อป้องกันปัญหา

ธนาคารกรุงเทพตัดสินใจนำเทคโนโลยีไมโครชิป EMV ติดลงบนตัวบัตรเดบิตหรือบัตรชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ภายใต้ชื่อบัตรใหม่ "บัตรบีเฟิสต์ สมาร์ท" หรือบัตรเดบิตเทคโนโลยีชิปเมื่อ ต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ธนาคารอ้างว่าเป็นสถาบันการเงินรายแรกที่ติดชิปบนบัตรเดบิต

บัตรเดบิตที่ใช้เทคโนโลยีไมโครชิป EMV (Euro Master Card Visa) เป็นของค่ายวีซ่าที่รวมคุณลักษณะของบัตรวีซ่าและบัตรเอทีเอ็มไว้ในบัตรเดียวกันเพื่อป้องกันการลักลอบบันทึกข้อมูล และการปลอมแปลงบัตร

ธนาคารกรุงเทพจึงต้องลงทุน 2 ส่วน บัตรเดบิตติดชิปและเครื่องอ่านชิปที่ตู้เอทีเอ็มสามารถครอบคลุมการอ่านข้อมูลชิป ที่ติดอยู่บนตัวบัตรเพื่อใช้บริการเบิกถอนเงินสด ชำระค่าสินค้าและบริการ

ตามแผนการตลาดของธนาคารกรุงเทพกำหนดไว้ว่าบัตรเดบิตเทคโนโลยีชิปจะเริ่มให้บริการในวันที่ 1 มิถุนายนในเขตกรุงเทพมหานคร ต่างจังหวัดเริ่มให้บริการในวันที่ 1 กรกฎาคม 2552 นี้

ส่วนตู้เอทีเอ็มที่ต้องนำเครื่องอ่านชิปไปติดตั้ง ธนาคารคาดว่าในเดือนพฤษภาคมติดตั้งจำนวน 600 ตู้ มิถุนายนติดตั้งเป็น 4,000 ตู้ และภายในสิ้นปีนี้จะติดตั้งได้ทั้งหมด 6,000 ตู้

เมื่อปี 2540 ธนาคารกรุงเทพออกบัตรเดบิตเป็นครั้งแรกในช่วงเวลานั้นเรียกว่า บัตรบีเฟิสต์โดยใช้เทคโนโลยีแถบแม่เหล็ก แต่หลังจากนักโจรกรรมข้อมูลใช้เครื่องสกิมเมอร์ (skimmer) สามารถขโมยข้อมูลจากบัตรอิเล็กทรอนิกส์เทคโนโลยีแถบแม่เหล็กได้อย่างง่ายดาย

จึงทำให้ธนาคารหันมาลงทุนใช้เทคโนโลยีชิปที่มีต้นทุนสูงกว่าบัตรแถบแม่เหล็ก ต้นทุนสำหรับบัตรเดบิตติดชิป 10 บาทต่อบัตร จากเดิมที่บัตรแถบแม่เหล็กมีต้นทุน 4-5 บาทแต่ข้อดีของเทคโนโลยีชิปสามารถบรรจุความจำได้มากกว่าหลายเท่าหรือบรรจุความจำได้ 2 M ขณะที่แถบแม่เหล็กบรรจุความจำ 512 K

การลงทุนของธนาคารกรุงเทพถือว่าเป็นการหวังผลระยะยาวเพราะปริมาณการใช้บริการชำระเงินผ่านบัตรเดบิตเริ่มสูงขึ้นหรือมีมูลค่า 1,000 ล้านบาทต่อเดือน จากร้านค้าทั้งในและต่างประเทศที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบัน 100,000 ร้าน

ธีระ อภัยวงศ์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ยอมรับว่าในปีนี้มูลค่าการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตลดลงบ้าง เพราะเกิดจากสภาพเศรษฐกิจ

ที่ผ่านมาธนาคารได้พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งด้านอุปกรณ์และโปรแกรมเพื่อรองรับนวัตกรรมการเงินรูปแบบใหม่ๆ รวมถึงบริการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิต เริ่ม ตั้งแต่ปี 2548 ธนาคารนำเทคโนโลยีชิป EMV มาติดในบัตรเครดิต แทนบัตรแม่เหล็กและปรับปรุงระบบการรับบัตรเครดิตของร้านค้า ให้สามารถรับบัตรชิปในปี 2550 เปิดตัวบัตรบีเฟิสต์ บีทีเอสบัตรเดบิตที่ใช้เทคโนโลยีไร้การสัมผัสเพื่อใช้บริการโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสและในปี 2551 ได้เปิดตัวบัตรวีซ่า บลูเวฟ บัตรเครดิตที่ใช้เทคโนโลยีที่ไร้การสัมผัส

การพึ่งพิงเทคโนโลยีของสถาบันการเงินมีเป้าหมายให้บริการเข้าถึงผู้ใช้บริการได้ง่ายและรวดเร็ว แต่ก็ต้องมีการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันมิจฉาชีพที่หาวิธีขโมย ข้อมูลของลูกค้าจึงทำให้การลงทุนของธนาคารไม่มีที่สิ้นสุด


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.