ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ โดยให้บริษัทแม่ซื้อหุ้นบริษัทในเครือจากศรีไทยรุ่งเรืองทรัพย์
รวมทั้งโอนทรัพย์สินทั้งหมดของบ.ไฮเทคโมลด์สให้บ.ศรีไทยโมลด์ส หวังลดความซ้ำซ้อน-ค่าใช้จ่าย
แต่เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจมากขึ้น พร้อมทั้งรุกธุรกิจในต่างประเทศทั้งจีนและเวียดนามให้เติบโต
เพิ่มสูงขึ้น เผยงบการลงทุนปีหน้าทุ่มเงิน 150 ล้านทำแม่พิมพ์และ ออกสินค้าตัวใหม่
นายสนั่น อังอุบลกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน)
(SITHAI) เปิดเผยว่าบริษัทฯเตรียมปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ โดยให้SITHAI ซื้อหุ้น
บริษัทในเครือจาก ศรีไทยรุ่งเรืองทรัพย์ (1999) เพื่อลดความซ้ำซ้อน ทำให้เกิดความชัดเจนในการ
ดำเนินธุรกิจ และลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพ ในการดำเนินธุรกิจ
ซึ่งขณะนี้มีบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินหลาย รายยื่นประมูลทั้งธนาคารและบริษัทไฟแนนซ์
คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้ โดยที่ปรึกษาทางการเงินจะเข้าศึกษาความเหมาะสมในการซื้อหุ้นสามัญของ
9 บริษัทในเครือฯ" ซึ่งโครงสร้างการถือหุ้นค่อนข้างสับสนในสายตานักลงทุน เพราะมีการถือหุ้นโดย
SITHAI และศรีไทยรุ่งเรืองทรัพย์ฯไปพร้อมกัน รวมทั้งมีภาระภาษีจากเงินปันผลด้วย
ดังนั้นการโอนหุ้นให้ SITHAI น่าจะส่งผลดีมากกว่า
"เราจัดตั้งศรีไทยรุ่งเรืองทรัพย์ฯขึ้นมาเพื่อถือครองที่ดินและเงินลงทุนในบริษัทร่วมทุน
ในช่วงที่บริษัทฯอยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการถือครองหุ้นและที่ดิน
เนื่องจาก SITHAI มีการแปลงหนี้เป็นทุนจนกลายเป็นบริษัทต่างด้าว แต่ขณะนี้บริษัทฯ ได้ออกจากการ
ฟื้นฟูกิจการและมีสัดส่วนการถือหุ้นจากคนไทย เกินกว่า 50% แล้ว จึงไม่เห็นความจำเป็นอีกต่อไป
โดยมูลค่าการซื้อหุ้นบริษัทในเครือฯประมาณ 120 ล้านบาท โดยเป็นการออฟเซตหนี้ เพราะ
ศรีไทยรุ่งเรืองทรัพย์ฯออกตั๋ว P/N ระยะยาวให้ SITHAI จำนวน 950 ล้านบาทตามทรัพย์สินที่ได้
โอนไป"
ปัจจุบันบริษัท ศรีไทยรุ่งเรืองทรัพย์ (1999) จำกัด ถือหุ้นอยู่ในบริษัท ศรีไทยโมลด์ส
จำกัด จำนวน 219820 หุ้น หรือ 22% ของหุ้นทั้งหมด บริษัท ศรีไทย มิยากาวา จำกัด
จำนวน 611994 หุ้น หรือ 51% บริษัท ศรีไทย ชิน-โอซาก้า จำกัด 216,000 หุ้น หรือ
36% บริษัท ศรีไทย-อ๊อตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด 91,995 หุ้น หรือ 46%
บริษัท ศรีไทย พลาสเคม (ประเทศไทย) จำกัด 26,999 หุ้น หรือ 36 % บริษัท ไทย เอ็มเอฟซี
จำกัด 120,000 หุ้น คิดเป็น 6% บริษัท ทาคาฮาชิ พลาสติก จำกัด จำนวน 35,997 หุ้น
คิดเป็น 18% บริษัท ไทยทาคาฮาชิ พลาสติก จำกัด จำนวน 12,000 หุ้นคิดเป็น 6% และบริษัท
ทาคาฮาชิ โคราช (1995) จำกัด จำนวน 15 % หรือ 89,992 หุ้น
นอกนี้ SITHAI มีแผนให้บริษัท ศรีไทยโมลด์ส ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ซื้อทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัทในเครืออีกแห่ง
คือ บริษัท ไฮเทคโมลด์ส เนื่องจากทั้ง 2 บริษัทดำเนินธุรกิจ ประเภทเดียวกัน อีกทั้งศรีไทยโมลด์ส
ถือหุ้นไฮเทคโมลด์ส จำนวน 97.9% หลังจากนั้นจะดำเนินการยกเลิกบริษัท ไฮเทคโมลด์ส
ปัจจุบัน SITHAI มีบริษัทในเครือ 19 บริษัท ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้ยกเลิกกิจการบางบริษัทไปแล้ว
เนื่องจากประสบปัญหาการขาดทุน คือ บริษัท ศรีไทย โซโก้ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
รุกธุรกิจในเวียดนาม-จีน
ส่วนธุรกิจในต่างประเทศ SITHAI จะหันมาขยายการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะที่เวียดนามและจีน ซึ่งขณะนี้รัฐบาลเวียดนามอนุมัติให้ศรีไทยฯซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นจากเดิม
40% เป็น 90% โดยจะขอเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก Vietthai Industrial Plastic เป็นบริษัท
ศรีไทย (เวียดนาม)
ล่าสุดบริษัทฯ กำลังเจรจาขอซื้อหุ้นจากผู้ถือ หุ้นเดิมอีก 5% ซึ่งความจริงบริษัทต้องการถือหุ้น
ในศรีไทย (เวียดนาม) ทั้งหมด เพื่อจะได้เข้าไปบริหารงานเบ็ดเสร็จ หลังจากโรงงานดังกล่าวประสบปัญหาการขาดทุนในปีที่แล้วถึง
50 ล้านบาท เพราะการบริหารงานไม่รัดกุมและมีการทุจริต
นายสนั่น กล่าวว่า ในปีนี้ บริษัทจะใส่เงินเพิ่มทุนใน Vietthai 4 แสนกว่าเหรียญสหรัฐ
เพื่อแก้ปัญหาการขาดทุน และในปีหน้าจะใส่เงิน อีก 7 แสนเหรียญสหรัฐ เพื่อซื้อเครื่องจักร
ทำให้ กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 2,400 ตัน/ปี เป็น 3,200 ตัน/ปี รวมทั้งกู้เงินจากสถาบันการเงินอีก
4 ล้าน บาท มาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
ดังนั้น บริษัทฯมั่นใจว่าโรงงานพลาสติกใน เวียดนามจะพลิกฟื้นมีกำไรได้ในปี 2547
เพราะมูลค่าตลาดพลาสติกในเวียดนามสูงถึงหมื่นล้านบาท และยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก
โดยตั้งเป้าหมายปีหน้าเป็นแชมป์ครองส่วนแบ่งตลาดถังสี
ปี 48 ตั้งรง.เมลามีนในเวียดนาม
หลังจากนั้น บริษัทฯจะขยายธุรกิจเพิ่ม โดยตั้งโรงงานผลิตเมลามีนที่เวียดนามในปี
2548 ใช้เงินลงทุนประมาณ 3 ล้านบาทในช่วงเริ่มแรก โดยวางแผนการตลาดสินค้าเมลามีนของบริษัทฯ
ไว้ที่ระดับกลางและบน ราคาสูงกว่าเมลามีนที่ผลิตในเวียดนาม
ตลาดเมลามีนในเวียดนามมีมูลค่า 500-600 ล้านบาท โดยมีผู้ผลิตรายใหญ่อยู่ 3 ราย
ที่เน้นผลิตเมลามีนราคาถูกเจาะตลาดล่าง
Vietthai เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกทั้งเปลือกแบตเตอรี่
ถังสีที่ประเทศเวียดนาม โดยผลการดำเนินงานในปีนี้ คาดว่ามียอดขายรวม 80 ล้านบาท
และขาดทุนสุทธิ 20 ล้านบาท หลังจากครึ่งปีแรกนี้ ขาดทุนฯ 9.5 ล้านบาท
ส่วนโรงงานผลิตเมลามีนในจีน นายสนั่น กล่าวว่า บริษัทฯกำลังเจรจาขอลิขสิทธิ์ในการผลิต
และจำหน่ายสินค้าวอลท์ ดิสนีย์ในประเทศจีน เนื่องจากที่ผ่านมา โรงงานเมลามีนในจีนจะรับจ้างผลิตแบบ
OEM
แต่ในปี 2547 จะปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้ขยายตัวได้เร็วขึ้น โดยหันมา
จำหน่ายเมลามีนในตลาดรีเทล (ห้างสรรพสินค้า) ภายใต้แบรนด์สินค้าซุปเปอร์แวร์ และแวนด้า
รวมทั้งอาศัยลิขสิทธิ์ของวอลท์ดิสนีย์ในการเจาะตลาดด้วย
ผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทในจีน มียอดขาย 43 ล้านบาท กำไร 3 ล้าน
บาท คาดทั้งปี 2546 จะมียอดขายรวม 100 ล้าน บาท กำไรฯ 7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขาย
83 ล้านบาท
ปี 47 ลงทุนเพิ่ม 150 ล้าน
นายสนั่น กล่าวถึงแผนการลงทุนในปี 2547 ว่าจะใช้เงินลงทุนในการทำแม่พิมพ์และออกสินค้าใหม่ประมาณ
150 ล้านบาท โดยจะบุกตลาดแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่เน้นผลิตแบตเตอรี่รถยนต์จนครองส่วนแบ่งตลาดถึง
60%
นอกจากนี้ บริษัทฯจะวางสินค้าเมลามีนรูปแบบใหม่ โดยออกแบบให้มีสีสันใกล้เคียงธรรมชาติตามเทรนด์แฟชั่นในปีหน้าซึ่งจะออกจำหน่ายได้ในปลายปีนี้
แผนการตลาดในส่วนไดเร็กต์เซลที่ครบรอบ 30ปี บริษัทฯจะออกสินค้าใหม่ เป็นชุดเครื่อง
ครัวสเตนเลส โดยจ้างบริษัทอื่นผลิต ภายใต้ยี่ห้อ ซุปเปอร์แวร์ คาดว่าจะออกมาสู่ตลาดได้ปลาย
พฤศจิกายนนี้ นับเป็นการขยายตลาดเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าหมายว่าภายใน 2 ปีข้างหน้าจะรายได้รวม
1,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่ไดเร็กต์เซล สร้างรายได้ประมาณ 600 ล้านบาท คิดเป็น
40% ของยอดขายเมลามีน
นอกจากนี้ บริษัทฯได้ทำความตกลงร่วมกับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัดในการจัดส่งสินค้า
ในกิ่งอำเภอที่การขนส่งทำได้ลำบาก ซึ่งถือเป็น การอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า โดยจะเริ่มทดลองใช้บริการประมาณ
100 กล่องในพื้นที่ 11 จังหวัดทางภาคเหนือ
ตั้งเป้าปีหน้าโต 7%
จากค่าเงินบาทที่ผันผวนในช่วงนี้ บริษัทฯได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากปริมาณการส่งออกคิดเป็น
20% ของยอดขายทั้งหมด รวมทั้งภาระหนี้เป็นเงินบาท โดยเดือนกันยายนนี้ บริษัท จะชำระหนี้คืน
50 ล้านบาท และชำระหนี้ก่อนกำหนดอีก 125 ล้านบาท ทำให้หนี้สินรวมลดเหลือ 1,125
ล้านบาท
ปัจจุบัน SITHAI มียอดขายในช่วง 8 เดือน แรกของปีนี้ เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน
3-4% คาด ว่าทั้งปีจะมียอดขายรวม 3,500 ล้านบาท ขยายตัว 6-7% เมื่อเทียบจากปีก่อนที่มียอดขาย
3,300 ล้านบาท
ส่วนปี 2547 บริษัทฯตั้งเป้ายอดขาย 3,750 ล้านบาท เติบโตขึ้น 7% นับเป็นปีที่มูลค่ายอดขาย
กลับมาอยู่ในอัตราเดียวกับก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540