|
นักวิเคราะห์พ้องเสียงปรับเป้าดัชนีใหม่เชื่อหุ้นไทยได้อานิสงส์แผนกระตุ้นศก.ทั่วโลก
ASTVผู้จัดการรายสัปดาห์(25 พฤษภาคม 2552)
กลับสู่หน้าหลัก
นักวิเคราะห์เห็นแนวโน้มตลาดหุ้นสดใสกว่าเก่า แม้มองจีดีพีติดลบหนักขึ้นแถมมีการเมืองฉุด ผลสำรวจสมาคมขยับเป้าดัชนีสิ้นปีเป็น 535 จุด เหตุทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศมีสัญญาณดีขึ้นจนเงินบาทแข็งค่าต่างชาติเริ่มกลับมาเป็นสถานะเป็นซื้อสุทธิแล้ว
สมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า จากผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ครั้งที่ 2/2552 นักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนีหุ้นปลายปีเป็น 535 จุด เพิ่มขึ้น 40 จุด จากการคาดการณ์เดิมในเดือนมีนาคม ที่มองไว้ที่ 495 จุด เนื่องจากเห็นว่าความเชื่อมั่นใจในเศรษฐกิจไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจโลก หลังจากที่รัฐบาลต่างๆได้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาต่อเนื่อง ทั้งนี้ การปรับเพิ่มคาดการณ์ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีที่มีแต่การปรับคาดการณ์ลดลงตามทิศทางเศรษฐกิจมาโดยตลอด
ผลสำรวจเป้าหมายดัชนีรอบนี้ นักวิเคราะห์เชื่อว่าจุดสูงสุดของดัชนีอยู่ที่ 582 จุด จากครั้งที่แล้วมองไว้ที่ 527 จุด ส่วนจุดต่ำสุดครั้งนี้มองอยู่ที่ 391 จุด จากครั้งที่แล้วมอง 348 จุด
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ได้ปรับลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยปี 2552 เป็น ติดลบ 3.6% จากผลสำรวจครั้งที่แล้ว (เดือนมีนาคม) ที่ประเมินเศรษฐกิจติดลบ 1.8% เนื่องจากมองว่า เหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองในเดือนเมษายนส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม รวมถึงกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจด้วย
ด้านความคิดเห็นต่อเศรษฐกิจโลก 48% ของนักวิเคราะห์ที่ทำการสำรวจคาดว่าจะถึงจุดต่ำสุดภายในครึ่งแรกปี 2552 แต่อีก 35% คาดว่าจะฟื้นตัวในครึ่งหลังของปีนี้ ส่วนอีก 4% คาดว่าจะต่ำสุดในระหว่างไตรมาสที่ 2 และ 3 ขณะที่อีก 13% คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะต่ำสุดในปี 2553 ในส่วนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกนั้น 30% คาดว่าจะฟื้นตัวในครึ่งหลังปี 2552 แต่มี 26% มองว่าจะฟื้นตัวในครึ่งแรกปี 2553
ส่วนทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศมีสัญญาณดีขึ้น และน่าจะเริ่มมีการเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่องเพราะสถานการณ์เศรษฐกิจในต่างประเทศเริ่มดีขึ้น หลังจากที่มีการตรวจสอบคุณภาพธนาคารของอเมริกาและพบว่า ส่วนมากยังแข็งแกร่งอยู่ นอกจากนี้กลุ่มประเทศจี 20 ยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกมาก
สำหรับตลาดหุ้นไทยตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม นักลงทุนต่างประเทศมียอดซื้อสุทธิ 12,000 ล้านบาท และหากประมวลตั้งแต่ต้นปี พบว่า การลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศเริ่มมีการซื้อสุทธิแล้ว 2,000 ล้านบาท เทียบกับตัวเลขในปีที่แล้วที่มีการขายสุทธิ 160,000 ล้านบาท
ขณะที่การแข็งค่าของเงินบาทสะท้อนถึงการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ และสะท้อนว่า ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจโลกเริ่มดีขึ้น แต่ก็กระทบต่อการส่งออกของไทยด้วยเช่นกัน
สำหรับระดับความเชื่อมั่นทางการ เมืองนักวิเคราะห์ 52% มีความมั่นต่อเสถียรภาพทางการเมืองน้อย เพราะเห็นว่ายังมีความขัดแย้งกันอยู่ รวมถึงการชุมนุมต่างๆและมีแรงกดดันจากนอกสภา แต่ยังไม่เห็นแนวทางที่ชัดเจนในการแก้ปัญหา ส่วนอีก 39% ของนักวิเคราะห์มีความมั่นใจในการเมืองระดับปานกลาง เพราะเชื่อว่าสถานการณ์ที่ตึงเครียดจะผ่อนคลายลงได้ระดับหนึ่ง ส่วนที่รู้สึกไม่มั่นใจ มีจำนวน 9% เนื่องจากเห็นว่ายังไม่มีการเจรจาประสานข้อเรียกร้องของกลุ่มต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้นโยบายรัฐบาลที่นักวิเคราะห์เห็นด้วยมากที่สุดคือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน นโยบายด้านการศึกษาและนโยบายกระตุ้นการบริโภคของประชาชน แต่ที่ไม่เห็นด้วยมากที่สุดคือ นโยบายแจกเงินคนละสองพันบาท
สำหรับกลยุทธ์ในการลงทุนหุ้น แนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง จ่ายปันผลสม่ำเสมอ ได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยพิจารณาจังหวะราคาในการเข้าซื้อหุ้นให้เหมาะสม ซึ่ง
หุ้นเด่นที่แนะนำคือ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส(ADVANC), บมจ.บ้านปู(BANPU), บมจ.บีอีซีเวิลด์(BEC), บมจ.กสิกรไทย(KBANK), บมจ.ปตท(PTT) และ บมจ.ไทยพาณิชย์(SCB)
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|