|
5 ธุรกิจค้าทองส่งบริษัทลูกชิงชัย เปิดสมรภูมิใหม่เทรดโกลด์ฟิวเจอร์ส
ASTVผู้จัดการรายสัปดาห์(25 พฤษภาคม 2552)
กลับสู่หน้าหลัก
เศรษฐกิจโลกผันผวน ส่งผลราคาทองคำแกว่ง ดันโกลด์ฟิวเจอร์สฮอต หลังเปิดให้เทรด 4 เดือนสัดส่วนเพิ่มเป็น 20% ของตลาดอนุพันธ์ 5บริษัทที่อยู่ในวงการค้าทองสบช่องพร้อมกันเปิดโบกเกอร์ใหม่ยึดหัวหาดแนวรบทองกระดาษ คาดมาแรงไม่แพ้ทองแท่ง หวังใช้ลูกค้าเดิมเป็นฐานต่อยอดธุรกิจใหม่ แต่ละรายวาดฝันมาร์เก็ตแชร์กันสนุกสนาน 10-20%
น.พ.กฤชรัตน์ หิรัญยศิริ ประธานบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ฟิวเจอร์ส กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีตัวแทนส่งคำสั่งซื้อขายจำนวน 12 ราย เป็นผู้ถือหุ้นตั้งแต่เริ่มเปิดบริษัททั้งหมด ซึ่งเป็นการวางกลยุทธ์ไว้ตั้งแต่เปิดบริษัทแล้วว่าตัวแทนส่งคำสั่งซื้อขายจะเป็นผู้ที่เข้ามาถือหุ้นในบริษัททั้งหมดไม่ใช่เป็นแค่ตัวแทนส่งคำสั่งซื้อขายเพียงอย่างเดียว
“การเจาะลูกค้าต่างจังหวัดเราวางกลยุทธ์ไว้ตั้งแต่เปิดบริษัทแล้ว ว่าคนที่มาเป็นตัวแทนส่งคำสั่งซื้อขายจะเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทแม่ด้วย ทุกคนมีหุ้นส่วนในบริษัทนี้หมด และวางแผนกันเองว่าจะไม่แย่งลูกค้ากัน ซึ่งกลุ่มต่างจังหวัดนั้นก็มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว”
ในจำนวนของตัวแทนส่งคำสั่งซื้อขายทั้ง 12 รายนี้จะมีฐานลูกค้าขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 50 ราย ซึ่งแต่ละรายเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่ลงทุนอยู่ในระดับ 5 ล้านบาทขึ้นไป สามารถซื้อขายได้ในปริมาณที่สูงได้ ซึ่งหลังจากที่มีสัญญาซื้อขายสัญญาทองคำล่วงหน้า (โกลด์ฟิวเจอร์ส) จะทำให้สามารถผสมผสานกันได้ โดยจะให้การศึกษาและทำความเข้าใจในการใช้โกลด์ ฟิวเจอร์ส เป็นเครื่องมือในการลงทุน ตลอดจนการบริหารความเสี่ยงของธุรกิจที่มีการลงทุนในตลาดทองคำแท่งด้วย
คาดว่าภายใน 3 เดือน บริษัทจะมีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 20% ของการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ส อีกทั้งเชื่อว่าภายใน 1 ปี จะสามารถถึงจุดคุ้มทุนและมีกำไรจากการทำธุรกิจนี้
ด้าน ธนรัชต์ พสวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ฟิวเจอร์ส กล่าวว่า จุดแข็งของบริษัทคือ ความเชี่ยวชาญในการประเมินทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก เพราะจากการที่เป็นผู้ค้าทองคำมายาวนานทำให้รู้ถึงดีมานด์ของทองคำในแต่ละวัน ซึ่งสามารถนำมาคาดการณ์การลงทุนให้กับลูกค้าในตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สได้รวดเร็วกว่าโบรกเกอร์ นอกจากนี้ในแง่ของผู้ประกอบการยังสามารถทำกำไรโดยไม่มีความเสี่ยง (Arbitrage) ระหว่างตลาดค้าทองคำแท่งและตลาดโกลด์ฟิวเจอร์ส ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการบริหารความเสี่ยงได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาผันผวน น่าจะเป็นโอกาสทำกำไรเป็นอย่างดี
สำหรับฐานลูกค้าในช่วงแรกจะไม่เน้นลูกค้ารายย่อย เพราะตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สถือเป็นของใหม่ ทั้งในแง่ผู้ประกอบการและนักลงทุน ดังนั้นกลุ่มที่จะเข้ามาลงทุนช่วงแรกน่าจะเป็นกลุ่มที่มีพื้นฐานและเข้าใจตลาดนี้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงมุ่งไปที่กลุ่มร้านทองลูกค้าของฮั่วเซ่งเฮง ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าทั่วประเทศประมาณกว่า 100 แห่งเป็นหลัก
“การที่เราเน้นไปที่กลุ่มรายใหญ่ก่อนเพราะต้องการเจาะกลุ่มที่มีความรู้เรื่องอนุพันธ์และสามารถรองรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีลูกค้ามากมายและเข้าไปแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่น เราต้องการใช้เป็นฐานในการต่อยอดธุรกิจเดิมมากกว่า”
คาดว่าในปีนี้บริษัทจะมีปริมาณสัญญาซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สเฉลี่ยต่อวันประมาณ 200 สัญญา ซึ่งหากทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมาย ภายใน 2 ปีครึ่งก็น่าจะถึงจุดคุ้มทุนได้
ส่วน อภิชาติ ลักษณะสิริศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.ซี.ออสสิริส ฟิวเจอร์ส กล่าวว่า ขณะนี้มีลูกค้าเปิดบัญชีซื้อขายในตลาดโกลด์ฟิวเจอร์ส แล้วประมาณ 100 บัญชี และตั้งเป้าสิ้นปีนี้ที่ 1,000 บัญชี คาดว่ามาจากลูกค้าของบริษัทแม่ คือ บริษัทออสสิริส (ถือหุ้น 45 %) ประมาณ 500 บัญชีและบัญชีลูกค้าทั่วไปอีก 500 บัญชี เนื่องจากปัจจุบันบริษัทแม่มีลูกค้าซื้อขายทองคำแท่งอยู่แล้วประมาณ 5,000-6,000 บัญชี
สำหรับบัญชีลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นประเภทบุคคลธรรมดา 95 % และอีก 5 % เป็นนิติบุคคล เนื่องจากบริษัทแนะนำให้ลูกค้าส่วนใหญ่หันมาเปิดบัญชีเป็นประเภทบุคคลธรรมดา มากกว่า เพราะไม่ต้องเสียภาษีกำไรจากการซื้อขาย (Capital gain tax) ส่วนการเปิดเป็นบัญชีนิติบุคคล เมื่อมีกำไรจากการลงทุนจะต้องนำไปบันทึกเป็นกำไรของบริษัทและเสียภาษีด้วย
ทั้งนี้ได้ตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์สิ้นปีนี้ไว้ที่ประมาณ 10 % ของมูลค่าการซื้อขายรวม และในปีหน้าก็จะมีฐานลูกค้าจากผู้ค้าส่งและร้านค้าปลีกทองคำมาเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ เพราะแต่ละร้านจะต้องมีน้ำหนักทองคำสำรองไว้ไม่ต่ำกว่า 1,000 บาทต่อร้าน นอกจากนี้ยังโอกาสได้ลูกค้าจาดชมรมผู้ค้าปลีกทองคำ ซึ่งมีสมาชิกทั่วประเทศกว่า 3,000 รายเข้ามาด้วย
ขณะที่ สาธิต วรรณศิลปิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีที เวลธ์ แนจเมนท์ กล่าวว่า บริษัทมีทุนจดทะเบียน 120 ล้านบาท และมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นสมาคมค้าทองคำที่ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นร้านค้าทองที่มีพ่อค้าทองเป็นเจ้าของ ส่วนการหาลูกค้าหลักๆจะมาจากฐานลูกค้าของกลุ่มผู้ถือใหญ่ซึ่งมีสมาชิกเป็นผู้ค้าส่งทองรายใหญ่ 12 ราย และมีร้านทองตู้แดง 7,000 รายทั่วประเทศเป็นเครือข่าย โดยในเบื้องต้นมีลูกค้าแล้ว 5-10 ราย และหากมีความพร้อมด้านการบริหารความเสี่ยงก็จะเพิ่มลูกค้าเป็น 30 รายภายในสิ้นปีนี้
ปีนี้คาดว่าจะมีนักลงทุนเปิดบัญชี 400 บัญชี ตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 10% โดยลูกค้ากลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ น่าจะสร้างมูลค่าการซื้อขายได้สัดส่วน 70-80% ของมูลค่าซื้อขายทั้งหมดของบริษัท โดยเป้าหมายรายได้ในปีนี้อยู่ที่ 6-10 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านบาทในปีถัดไป
สำหรับ พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานกรรมการ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ กล่าวว่า บริษัทมีตัวแทนส่งคำสั่งซื้อขาย 12 ราย และกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการอีกอย่างน้อยเกือบยี่สิบราย นอกจากนี้ก็ยังมีนักลงทุนที่เป็นกลุ่มลูกค้าเก่าระดับวีไอพี รวมถึงกลุ่มผู้ลงทุนใหม่ สนใจสมัครเป็นสมาชิกในการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สกับบริษัทจำนวนมาก
สำหรับแผนงานปีนี้บริษัทตั้งเป้ารักษามาร์เก็ตแชร์อันดับหนึ่ง ด้วยส่วนแบ่งตลาด 20% จากปัจจุบันที่อยู่อันดับหนึ่ง โดยมีมาร์เก็ตแชร์ 10% โดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแม่ คือ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาด 40-50% เป็นอันดับหนึ่งในตลาดค้าทองแท่ง ที่ปัจจุบันมีลูกค้าประมาณ 500บัญชี และเป็นกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียม คือ มีการซื้อขายทองแท่งน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 1 กิโลกรัมขึ้นไป ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ได้เปิดบัญชีซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สแล้วประมาณ 100 บัญชี แบ่งเป็นประเภทบุคคล 50% และสถาบัน 50% โดยสิ้นปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 500 ราย
วอลุ่มการเทรดโกลด์ฟิวเจอร์สจะเป็นตัวชี้วัดการอยู่รอดของผู้ประกอบการเหล่านี้ ยิ่งถ้าราคาทองผันผวนการเทรดก็จะยิ่งมาก แต่หากราคาเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆบางทีการป้องกันความเสี่ยงหรือเก็งกำไรในตลาดนี้ก็อาจจะได้รับความสนใจและมีวอลุ่มเทรดลดลง ทั้งนี้หากคิดย้อนกลับก็จะพบว่าในอดีตแม้จะไม่มีโกลด์ฟิวเจอร์สให้เทรด แต่เหตุใดเจ้าของร้านทองต่างๆจึงสามารถทำกำไรสร้างเนื้อสร้างตัวจนสามารถร่ำรวยขึ้นมาได้อย่างที่เห็นในทุกวันนี้
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|