|
คาดหุ้นเหล็กฉายแววได้ปลายปีหลังมีแผนกระตุ้นศก.ช่วย-ไม่ขาดทุนสต๊อก
ASTVผู้จัดการรายสัปดาห์(18 พฤษภาคม 2552)
กลับสู่หน้าหลัก
ราคาเหล็กไต่ระดับจากที่ทำจุดต่ำสุดไว้ในไตรมาสแรก เหตุจีนใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ-ลงทุนสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ส่วนไทยก็มีลงทุนภาครัฐเช่นกัน แต่คาดว่าหุ้นเหล็กจะได้รับอานิสงส์คงจะเป็นปลายปีเพราะต้นปีอาจขาดทุนจากสต๊อกได้
แม้ราคาเหล็กในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้จะมีความผันผวนตามการเข้าซื้อสินค้าคงคลังในแต่ละช่วงเวลา แต่ความคาดหวังถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทั่วโลกที่จะกระตุ้นอุปสงค์การใช้เหล็กประกอบกับเม็ดเงินบางส่วนสามารถเข้าสู่ภาคการก่อสร้างอย่างแท้จริง ทำให้ราคา Billet และ Slab ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญ ในการผลิตเหล็กของอุตสาหกรรมเหล็กเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งเป็น 405และ 355ดอลลาร์ต่อตัน ตามลำดับ จากจุดต่ำสุดในไตรมาส1ของปีนี้ที่ 375 และ 295ดอลลาร์ต่อตัน ตามลำดับ นอกจากนี้ ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ต่างเริ่มชะลอการขายสินค้าลง และเริ่มกำหนดราคาขายล่วงเพิ่มขึ้น ดอลลาร์สหรัฐ14-22 ต่อตัน โดย Baosteel ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของจีนได้กำหนดราคาขายเหล็กแผ่นรีดร้อนเดือนมิถุนายน 2552 ที่ระดับ 480 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
วิชชุดา ปลั่งมณี นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เกียรตินาคิน ประเมินว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมเหล็กในปีนี้จะเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้น จากกระแสข่าวรัฐบาลจีนพยายามกระตุ้นการลงทุนในโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอย่างจริงจัง ซึ่งจะส่งผลถึงอุปสงค์ของเหล็กที่ใช้ในการก่อสร้างอย่างเหล็กเส้น ขณะที่ผู้ประกอบการเหล็กในจีนได้ประกาศราคาขายเหล็กช่วงเดือนพฤษภาคม ที่อัตราเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจสะท้อนถึงความคาดหวังว่าราคาเหล็กจะไม่ปรับลดลงไปลึกอีกแล้ว
'จีนเริ่มมีการสั่งนำเข้าเหล็กล๊อตใหม่เข้ามาแล้ว เพราะสต็อกเก่าเริ่มหมด ทำให้เป็นผลดีกับผู้ประกอบการเหล็กที่จะได้ระบายสต็อกสินค้าใหม่ได้'
สำหรับในประเทศไทยก็ยังคงเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการเมกกะโปรเจคต์และแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งด้วย อาทิ โครงการรถไฟฟ้า สายสีม่วงสัญญา 1 ที่มีการอนุมัติราคาประมูลของ บมจ.ช.การช่าง(CK) ซึ่งจะต่อเนื่องถึงความคาดหวังถึงสัญญา 2-3 และภาพการก่อสร้างในกลุ่มอสังหา ที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นต่อเนื่องในอนาคต อาทิ ศูนย์การค้า โครงการที่อยู่อาศัย เป็นต้น
อีกทั้งในเร็วๆ นี้กระทรวงคมนาคมเองเตรียมที่จะเสนอแผนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ต่อคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกเพื่อพิจารณาและอนุมัติโครงการใหม่จำนวน 26 โครงการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 40,650 ล้านบาท แต่ประเมินว่ากลุ่มเหล็กจะได้รับประโชยน์จากดีมานด์ใหม่ในช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป
ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงานของกลุ่มเหล็กมองว่าเริ่มปรับตัวดีขึ้นชัดเจนตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/2552 เป็นต้นไป เนื่องจากเชื่อว่าราคาเหล็กโลกจะเริ่มทรงตัว ส่งผลให้ผู้ประกอบการสามารถประมาณการต้นทุนและผลกำไรได้ แต่ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก มองว่ายังเสี่ยงต่อการขาดทุนจากการตั้งสำรองจ่ายหนี้ และสต็อกล็อตบางส่วน
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ 'เก็งกำไร' ในหุ้น บมจ.ทาทา สตีล(TSTH) มีราคาเป้าหมายที่ 1.90 บาท เนื่องจากประกอบธุรกิจเหล็กเส้นที่ใช้ในการก่อสร้างทำให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากข่าวข้างต้น และ บมจ.จี สตีล(GSTEEL) ที่ราคาเป้าหมาย 0.60 บาท ส่วน บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) ที่ราคาเป้าหมาย 0.48 บาท โดยให้เก็งกำไรตามภาพรวมตลาด
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|