|
“เอสเอฟ”หวังQ2-3ตลาดรวมฟื้น ผุดเอาท์ดอร์ซีนีม่าดูหนังเห็นทะเล
ASTVผู้จัดการรายวัน(18 พฤษภาคม 2552)
กลับสู่หน้าหลัก
เครือเอสเอฟ เล็งผุดโรงหนังใหม่ในกรุงเทพฯอีกอย่างต่ำ 3-5 สาขา มั่นใจตลาดยังมีรองรับอีกมาก พร้อมเกาะติดไปกับศูนย์การค้าเซ็นทรัลเป็นหลัก เผยปีนี้วางแผนเปิดใหม่ 5 สาขา เปิดตัวไปแล้ว 3 แห่ง ล่าสุดเตรียมเปิดสาขาที่เซ็นทรัลพลาซ่าชลบุรีปลายเดือนนี้ ส่วนที่พัทยาเตรียมเปิดโฉมเอาท์ดอร์ซีนีม่า มั่นใจปีนี้แชร์เพิ่มเป็น 35%
นายสุวิทย์ ทองร่มโพธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส เอฟ ซิเนม่า ซิตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนของกลุ่มเอสเอฟว่า เอสเอฟวางเป้าหมายระยะยาวโดยไม่ได้กำหนดช่วงเวลาที่แน่นอนว่าจะต้องมีสาขาโรงหนังในทุกรูปแบบรวมกันของกลุ่มเอสเอฟในกรุงเทพฯได้อีกประมาณ 3-6 สาขา เนื่องจากยังมีทำเลที่เอสเอฟเองยังไม่มีสาขาเปิดบริการแต่เป็นทำเลที่มีศักยภาพของตลาดอย่างมาก
“เราเองไม่ได้จำกัดเวลาว่าจะต้องมีเท่านี้ภายในกี่ปี แต่เป็นเพียงเป้าหมายที่ทำให้เราต้องตื่นตัว ซึ่งเราเองให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพโรงหนังและบริการเป็นหลักมากกว่า รวมทั้งจะยังคงมุ่งเน้นการเปิดสาขาภายในศูนย์การค้าเป็นหลัก ไม่เน้นการเปิดแบบสแตนด์อโลน แต่ถ้าอนาคตมีที่ดินเหมาะสมก็อาจจะลงทุนก็ได้”
ปัจจุบันเอสเอฟมีโรงหนังในเครือทั้งหมดทุกแบรนด์รวมกัน 19 สาขา รวมทั้งหมด 160 โรง แบ่งเป็นสาขาในกรุงเทพฯจำนวน 11 สาขา
อย่างไรก็ตาม นายสุวิทย์ ยอมรับว่า ในช่วงหลังนี้จะพยายามลงทุนไปกับทางกลุ่มศูนย์การค้าเซ็นทรัลเป็นหลัก ซึ่งก็ได้มีการเจรจากันอย่างต่อเนื่องกับโครงการใหม่ๆที่จะเปิดขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้สรุปโดยนโยบายการลงทุนยังคงเหมือนเดิมคือ การแบ่งรายได้เป็นลักษณะจีพีให้กับเซ็นทรัล
ขณะที่แผนการลงทุนในปีนี้ของเอสเอฟ วางไว้ว่าจะเปิดใหม่อีก 5 สาขา ซึ่ง เปิดไปแล้ว 2 สาขาคือ ที่เซ็นทรัลเฟสติวัลบีชพัทยาเมื่อต้นปีจำนวน 10 โรงและโบว์ลิ่ง 16 เลน, ที่ฮาร์เบอร์มอลล์ แหลมฉบัง จำนวน 4 โรง เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว และล่าสุดในวันที่ 29 พฤษภาคมนี้ เตรียมเปิดสาขาที่เซ็นทรัลพลาซ่าชลบุรี จำนวน 7 โรง ส่วนอีก 2 สาขานั้น จะเปิดที่เซ็นทรัลขอนแก่น จำนวน 8 โรง โบว์ลิ่ง 14 เลน และคาราโอเกะด้วย เปิดปลายปีนี้ อีกที่คือ ในโครงการแหลมทองบางแสน ซึ่งเท่ากับว่าปีนี้เปิดในศูนย์การค้าเซ็นทรัลถึง 3 แห่ง
นอกจากนั้นในเร็วๆนี้จะเปิดบริการโรงหนังประเภทใหม่เพิ่มเติมที่เรียกว่า เอาท์ดอร์ซีนีม่า ที่โครงการเดิมคือ เซ็นทรัลเฟสติวัลบีชพัทยา จำนวน 30 ที่นั่ง ซึ่งจุดเด่นหลักๆคือ เป็นโรงหนังในศูนย์การค้าที่สามารถมองเห็นวิวทะเลได้ด้วย ลงทุนเฉพาะโรงนี้ประมาณ 20 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการของเอสเอฟปีนี้คาดว่า จะสามารถจำหน่ายตั๋วได้ประมาณ 13 ล้านใบ และจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 35% และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 20% เพิ่มจากปีที่แล้วที่จำหน่ายได้ 10 ล้านใบ มีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 32% และมีรายได้รวมประมาณ 1,200 ล้านบาท
นายสุวิทย์กล่าวถึงภาพรวมของตลาดอุตสาหกรรมหนังว่า ในไตรมาสแรกปีนี้ที่ผ่านไป ตลาดรวมและของบริษัทฯเองไม่ได้มีการเติบโตมากนัก เพราะยังอยู่ในภาวะที่ยังมีปัญหาทางด้านการเมืองอยู่ แต่ทั้งปีนี้แล้วคาดว่าตลาดรวมจะมีการเติบโตที่ดีกว่าปีก่อนๆ เนื่องจากว่า ในช่วงไตรมาสที่ 2-3 หนังที่จะเข้าฉายล้วนแต่เป็นหนังฟอร์มใหญ่และคาดว่าจะสามารถทำรายได้ได้ดีทั้งสิ้น ซึ่งคาดว่าไตรมาสที่ 2-3 นั้นจะสามารถดึงเงินในตลาดกลับคืนมาได้มากกว่า 30%
นอกจากนั้นยังเป็นผลมาจากการที่มีการเปิดโรงหนังสาขาใหม่จากผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นในภาพรวมส่งผลให้ผู้บริโภคมีทางเลือกและกระตุ้นการเข้าดูหนังได้มากขึ้นด้วย โดยขณะนี้เฉลี่ยแล้วคนไทยดูหนังในโรงหนังประมาณ 2.25 เรื่องต่อคนต่อปี จากเดิมที่ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยไม่ถึง 2 เรื่อง ต่อคนต่อปี
โดยปีนี้คาดว่ามูลค่าตลาดรวมอุตสาหกรรมหนังจะมีประมาณ 3,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่กลับมาเท่าเดิมจากก่อนหน้านี้ 2 ปีที่มีมูลค่าตลาดเท่านี้ ส่วนปีที่แล้วภาพรวมตลาดมีประมาณ 3,000 ล้านบาทเท่านั้นเอง
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|