ผมจะทำงานที่นี่จนเกษียณ

โดย นภาพร ไชยขันแก้ว
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา( พฤษภาคม 2552)



กลับสู่หน้าหลัก

"สิ่งท้าทายจริงๆ ธุรกิจเราจะบริหารพนักงานงาน 500 กว่าคนอย่างไร ให้มีมาตรฐานและยุติธรรม งานหลักๆ ที่ต้องทำ คือบริหารคน แก้ปัญหา ดูแลลูกค้า" เป็นคำกล่าวของสุภศักดิ์ ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนบริษัทดีลอยท์ที่มีอายุ 70 ปี

สุภศักดิ์ กฤษณามระ วัย 44 ปีบุตรชายของเติมศักดิ์ กฤษณามระ มีความรู้และประสบการณ์แตกต่างจากผู้เป็นพ่อและปู่ของเขา พระยาไชยยศสมบัติ

เติมศักดิ์และพระยาไชยยศสมบัติ มีความชำนาญทางด้านการตรวจสอบบัญชี ในขณะที่สุภศักดิ์มีความถนัดทางด้านที่ปรึกษา ซึ่งเขาเลือกเรียนในสิ่งที่ชอบ และบิดาก็เปิดกว้างให้เขาได้เรียนในสิ่งที่รัก จึงตัดสินใจเลือกเรียนด้านวิศวกรรมเคมีในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัย Manchester Institute of Science and Technology ประเทศอังกฤษ

เลือกศึกษาปริญญาโท เพื่อเรียนทางด้านบริหารธุรกิจ ซึ่งได้เลือกไว้ 3 แห่ง คือ Kellogg Graduate School of Management มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีชื่อเสียงทางด้านการตลาด Wharton School มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย เน้นสอนหลักสูตรด้านการเงิน และโรงเรียนคาร์เนกี้ เมลลอน ตอนนั้นเขามองว่าคาร์เนกี้ เหมาะสมกับความรู้พื้นฐานที่เรียนมาทางด้านวิศวกร แต่บิดาได้แนะนำให้เรียนที่แคลล็อก เกี่ยวกับทางด้านที่ปรึกษา เพราะพื้นฐานการเรียนไม่ได้มาทางด้านบัญชี

ส่วนหนึ่งที่เขาเลือกแคลล็อก นอกจากบิดาจะช่วยแนะนำแล้ว เขาเองก็ชอบสถานที่เรียน แต่นัยหนึ่งที่เติมศักดิ์แนะให้สุภศักดิ์เรียนโรงเรียนธุรกิจแห่งนี้ เป็นเพราะว่า แคลล็อกมีสายสัมพันธ์ค่อนข้างดีกับศศินทร์ ที่นำหลักสูตรและอาจารย์เข้ามาถ่ายทอดความรู้ในเมืองไทย

หลังจากที่เรียนจบ เขาเริ่มทำงานที่ดีลอยท์ในต่างประเทศ เช่น แคนาดา สวีเดน อเมริกา ทำให้เรียนรู้การทำงานตั้งแต่พื้นฐาน เริ่มจากระบบที่ปรึกษา ระบบการจัดการ และเข้าร่วมงานกับดีลอยท์ในระดับภูมิภาค ทำให้มีโอกาสปรับเปลี่ยนงานตลอดเวลา แม้ว่าจะอยู่บริษัทดีลอยท์เพียงแห่งเดียว แต่เขาก็ได้ใช้ชีวิตทั้งการเรียนและทำงานในต่างประเทศเป็นเวลา 18 ปีเต็ม

เขาย้ายกลับมาเมืองไทยเมื่อปี 2536 รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการ แต่ชีวิตการทำงานส่วนใหญ่จะอยู่นอกบริษัท เพราะต้องดูแลลูกค้าภายนอก ขายงาน รวมไปถึงพัฒนางาน โครงการที่เข้าไปเป็นที่ปรึกษา เช่น โครงการปรับระบบการทำงานของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และกรมทะเบียนการค้า เพื่อจัดอบรมและพัฒนาเทคโนโลยีในบริการรับจดทะเบียนบริษัทจากในอดีตที่ใช้เวลา 2 วัน ลดเหลือ 40 นาที

จากนั้น 5 ปี เขาได้รับการสนับสนุนให้เป็นรองกรรมการผู้จัดการ จนกระทั่งเข้ารับตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการ

การเปลี่ยนผ่านธุรกิจ จากที่เน้นหนักให้บริการตรวจสอบบัญชีและภาษี บริหารงานในรูปแบบบริษัทท้องถิ่นไปสู่สากลมากขึ้น ทำให้สุภศักดิ์เข้ามาถูกจังหวะ ถูกเวลา เพราะความรู้ในฐานะที่ปรึกษากว่า 16 ปี สอดคล้องกับระยะเวลาที่คาบเกี่ยวกับสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 เป็นสิ่งที่เขาได้มีโอกาส เรียนรู้ และนำมาปรับใช้กับธุรกิจในปัจจุบัน ที่กำลังประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่ง

ชวาลา เทียนประเสริฐกิจ หุ้นส่วนด้านการสอบบัญชี บอกว่าสุภศักดิ์เป็นคนหนุ่มไฟแรง มีวิธีการบริหารจัดการสมัยใหม่ ผสมผสานแบบดั้งเดิมที่เป็นแบบไทย รวมทั้งมีการศึกษาค่อนข้างดีมากจากต่างประเทศ ทำให้ระบบการบริหารจัดการเป็นระบบมืออาชีพ มีการทำงานอยู่บนพื้นฐานทฤษฎี หลักการและเหตุผล ทำให้การบริหารเป็นไปในเชิงรุกมากขึ้น สอดคล้องกับการแข่งขันในโลกปัจจุบัน

เชื่อว่างานที่เขาจะต้องทำยังมีอีกมาก และไม่ต้องกังวลเรื่องเปลี่ยนงาน เพราะสุภศักดิ์บอกว่าเป้าหมายชีวิต คือทำงานที่ดีลอยท์จนกว่าจะเกษียณ


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.