ท่าเรือโตเกียว รัฐสร้างเอกชนเช่า


นิตยสารผู้จัดการ( ธันวาคม 2531)



กลับสู่หน้าหลัก

กระบวนการทำมาค้าขายแล้ว ญี่ปุ่นถือว่าเป็นยอดไม่แพ้ใคร ที่รุ่งเรืองอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะเรื่องขายเก่งนี่เป็นส่วนหนึ่ง และของที่ขายก็เป็นของดีอีกส่วนหนึ่งด้วย

เมื่อกลางเดือนที่แล้ว คณะผู้แทนของท่าเรือนครโตเกียวเดินทางมาเปิดการแนะนำท่าเรือของตนที่กรุงเทพฯ จุดมุ่งหมายก็เพื่อชักชวนให้ผู้ส่งออกและสายการเดินเรือที่วิ่งระหว่างไทยกับญี่ปุ่นไปใช้บริการที่ท่าแห่งนี้

กรุงเทพฯ เป็นจุดสุดท้ายของขบวนการขายท่าเรือคณะนี้ หลังจากได้ไปที่กลุ่มประเทศในยุโรปตอนใต้มาแล้วด้วยจุดมุ่งหมายเดียวกัน

"เมืองไทยประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจมาก ปริมาณการค้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นทุกปี เราถือว่าที่นี่เป็นตลาดที่น่าสนใจ" Shunryu Takahashi อธิการบดีท่าเรือโตเกียวซึ่งเป็นหัวหน้าคณะกล่าวสั้น ๆ ถึงเหตุที่มาแวะที่กรุงเทพฯ

ปีที่แล้วสินค้าจากไทยที่ผ่านท่าแห่งนี้ทั้งขาออกขาเข้ามีจำนวน 9,000 กว่าตัน ถึงแม้ว่าจะไม่ถึงครึ่งเปอร์เซนต์ของปริมาณสินค้าต่างประเทศ 22 ล้านตันที่มาขนถ่ายกันที่นี่ แต่ Takahashi เชื่อว่า ในอนาคตปริมาณสินค้าจะมากขึ้น เพราะการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการหลั่งไหลเข้ามาลงทุนอย่างมากมายของญี่ปุ่นในขณะนี้

"ส่วนใหญ่แล้วบ้านเราจะไปใช้ที่ท่าโยโกฮามาและโกเบซึ่งอยู่ใกล้กว่า แต่ปริมาณสินค้าจริง ๆ ของทั้งสามท่านี่ก็ไม่แตกต่างกันมากเท่าไรนัก" เจ้าหน้าที่ของสายการเดินเรือแห่งหนึ่งเปิดเผยกับ "ผู้จัดการ"

ท่าเรือโตเกียวจึงอยู่ในภาวะที่ต้องแข่งขันกับอีกสองท่าดังกล่าวเพื่อช่วงชิงลูกค้าให้มาใช้บริการให้มากที่สุด การปรับปรุงประสิทธิภาพของการบริการจึงถือเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารท่าเรือแห่งนี้ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 530 ปีที่แล้ว และในปัจจุบันได้ชื่อว่า เป็นท่าเรือที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเป็นท่าเรือที่มีอัตราการเพิ่มของตู้คอนเทนเนอร์ขาเข้าที่สูงที่สุดของญี่ปุ่น

เรือสินค้าจากต่างประเทศ 2,177 ลำได้เข้ามาเทียบท่าแห่งนี้ เมื่อปีที่แล้วโดยบรรทุกสินค้าทั้งขาเข้าและขาออกรวมกันเป็นจำนวน 22.72 ล้านตัน เป็นสินค้าส่งออก 8.26 ล้านตันและสินค้านำเข้า 14.46 ล้านตัน ส่วนใหญ่เป็นตู้คอนเทนเนอร์ถึง 73%

ปัจจุบันท่าเรือโตเกียวมีท่าขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์ต่างประเทศอยู่สองท่าคือ ท่า Ohi-Container Terminal ซึ่งมีท่าเทียบเรืออยู่แปดท่า มีความยาวรวมกันเกือบสองกิโลเมตรครึ่ง รับเรือที่มีระวางสูงสุดได้ 40,000 ตัน และท่า Aomi Container Terminal ซึ่งสร้างขึ้นใหม่เมื่อปี 2528 อยู่ตรงข้ามกับท่าแรกบนฝั่งตะวันออกของอ่าวโตเกียว ขณะนี้มีท่าเทียบเรือท่าเดียว แต่ก็มีโครงการที่จะสร้างให้ครบสี่ท่า เพื่อรองรับการขยายตัวของการค้าระหว่างประเทศของญี่ปุ่น

"เราวางแผนล่วงหน้าไปจนถึงปี 2538" แผนที่กล่าวก็คือ แผนการปรับปรุงและขยายการบริการที่ทำกันมาตลอดเวลาจนเข้าแผนที่ห้าแล้วในปัจจุบันแต่ละแผนมองกันไกล ๆ ถึงสิบปี

ระบบขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์นั้นหัวใจสำคัญไม่ได้อยู่ที่ท่าเทียบเรือแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีพื้นที่สำหรับบรรจุและนำเข้าสินค้าออกจากตู้ด้วยที่เรียกกันว่า สถานีบรรจุตู้คอนเทนเนอร์ซึ่งแต่ละท่าจะมีพื้นที่นี้และโรงเก็บสินค้าอยู่อย่างเพียงพอ ทำให้การขนถ่ายเป็นไปอย่างรวดเร็ว

หัวใจสำคัญที่จะทำให้การขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพนอกจากตัวท่าเทียบเรือแล้ว ยังต้องมีเครื่องมือทุ่นแรงอย่างเพียงพอ และมีพื้นที่หลังท่าสำหรับสถานีบรรจุสินค้านำเข้าและสินค้าออกจากตู้คอนเทนเนอร์ รวมทั้งโกดังเก็บสินค้าด้วย

ท่าเรือโตเกียวมีสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้อยู่อย่างพร้อมเพรียง และมีเครือข่ายคมนาคมที่เชื่อมท่าเรือนี้กับตัวเมืองโตเกียวและเมืองอื่น ๆ ทั้งทางบกและทางน้ำ

นโยบายในการให้บริการคือ รวดเร็ว เชื่อถือได้ ประหยัด และมีประสิทธิภาพ จึงเป็นจริงได้

ความสำเร็จนั้นอยู่ที่ระบบการบริหารงานที่มีการแบ่งงานกันทำระหว่างรัฐและเอกชน

เทศบาลนครโตเกียวเป็นเจ้าของท่าเรือนี้ มีอธิการบดีท่าเรือเป็นผู้บริหารท่าเรือ โดยตั้งองค์กรขึ้นมาบริหารในรูปบริษัทชื่อ Tokyo Port Service Corporation

บริษัทนี้มีหน้าที่ในการวางแผนปรับปรุงและขยายท่าเรือ ก่อสร้างท่าเรือ และสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานอื่น ๆ และจัดเตรียมพื้นฐานอื่น ๆ และจัดเตรียมพื้นที่สำหรับสร้างสถานีคอนเทนเนอร์และโกดังสินค้า

การปฏิบัติงานในท่าเรือเป็นหน้าที่ของฝ่ายเอกชน ซึ่งเข้ามาดำเนินการโดยจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้กับเทศบาลโตเกียวเป็นค่าเช่าและค่าธรรมเนียม และใช้วิธีแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ ตามลักษณะงานให้เอกชนหลาย ๆ รายเข้ามารับผิดชอบภายในท่าเทียบเรือแต่ละท่า เช่น งานที่เกี่ยวกับการขนถ่ายตู้ลงและขึ้นเรือ การบรรจุและนำสินค้าออกจากตู้ โกดังเก็บสินค้า การสร้างและบริหารสถานีคอนเทนเนอร์

ค่าภาระและค่าธรรมเนียมสำหรับการบริการต่าง ๆ นั้นกำหนดขึ้นโดย Tokyo Port Service Corporation และเอกชนที่เข้ามาให้บริการจะรวมตัวกันในรูปของสมาคมเพื่อประสานงานและแก้ไขปัญหาระหว่างกันเอง

"นโยบายของเราคือ เรามีหน้าที่สร้าง ปรับปรุงท่าเรือและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ส่วนการปฏิบัติงานจริง ๆ นั้น เราไม่มีกำลังคนและไม่มีความชำนาญพอ จึงให้เอกชนเข้ามา พวกเขาจะแข่งขันและควบคุมกันเอง" เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งในคณะผู้แทนกล่าว

ดู ๆ ไปแล้วก็เป็นเรื่องง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน แต่ทำไมบ้านเราถึงทำอย่างนี้ไม่ได้ก็ไม่รู้?



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.