ด้วยวัยเพียง 44 ที่ยังหนุ่มแน่นและมือแน่สำหรับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของบริษัทฯ
เอียน พรอสเซอร์เป็น "แม่แบบ" ของทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำเนินอยู่ใน
"บาส" ทุกวันนี้ พออายุครบ 50 เมื่อไรพรอสเซอร์จะเป็นคนหนึ่งที่ทำตามประเพณีของที่นี่คือมีอายุงาน
25 ปีพอดี เพราะผู้บริหารของบาสส่วนใหญ่จะมีอายุงานโดยเฉลี่ย 25 ปีกันทั้งนั้น
พรอสเซอร์เข้าทำงานกับบาสตั้งแต่ปี 2512 ในตำแหน่งนักบัญชีที่เขาต้องฝึกหัดเอาเพราะไม่ได้จบด้านนี้มาโดยตรง
ที่ย้ายมาอยู่กับบาสก็ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่ารู้สึกเบื่อที่จะหมกตัวอยู่แถบมิดแลนด์ทางภาคกลางของอังกฤษและมองเห็นช่องทางจะได้ย้ายไปอยู่ลอนดอน
แม้ว่าบาสจะได้ชื่อว่าเป็นกิจการเก่าแก่ที่เชี่ยวชาญธุรกิจโรงกลั่นโดยเฉพาะแต่ศิษย์เก่าจากวัทเฟิร์ด
แกรมมาร์ สคูลอย่างพรอสเซอร์กลับไม่ได้เติบโตจากสายงานโรงกลั่นอย่างที่คิดกัน
เพราะเริ่มต้นงานอาชีพในฐานะนักบัญชีที่วิญญาณของเขายังคงฝังรากลึกอยู่กับมันจวบจนทุกวันนี้
พรอสเซอร์เป็นผู้อำนวยการฝ่ายการเงินจนถึงปี 2527 จึงก้าวสู่ตำแหน่งรองประธานกรรมการและเป็นที่รู้กันทั่วว่าเขาคือทายาทผู้จะขึ้นนั่งเก้าอี้ผู้บริหารสูงสุดของบริษัทต่อจากเซอร์ดีเร็ค
พัลมาร์ ซึ่งทุกอย่างเป็นจริงเมื่อเซอร์พัลมาร์ปลดเกษียณในเดือนตุลาคม 2530
ประธานกรรมการคนใหม่ริเริ่มแผนกควบคุมการเงินและให้มีระบบรายงานผลการดำเนินงานที่ส่งผลดีให้บาสในช่วงทศวรรษ
1980 พรอสเซอร์บริหารกิจการตามประสาผู้คร่ำหวอดเรื่องเงินมาก่อน ที่ต้องการรู้รายละเอียดของต้นทุนและกำไรในทุกสิ่งทุกอย่างของบริษัท
ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องปลีกย่อยว่าผู้บริหารอาวุโสใช้เวลาขลุกอยู่กับนักข่าวนานแค่ไหน
เมื่อคุยเรื่องธุรกิจ ประธานกรรมการวัย 44 จะแสดงออกถึงความเป็นคนหัวเก่าและสุขุมรอบคอบยิ่ง
ผิดกับเจ้าของกิจการผู้ผลิตเบียร์คู่แข่งชาวเมืองจิงโจ้จากออสเตรเลียทั้งหลายที่มักชอบคุยโวไม่ว่าจะเป็นจอห์น
เอลเลียตต์ผู้ซื้อกิจการบริษัทเคอเรจ หรืออลัน บอนด์ที่เข้าตลาดอังกฤษผ่านทางบริษัท
อัลลายด์
พรอสเซอร์ยึดปรัชญาดำเนินธุรกิจตามแบบอย่างพัลมาร์ประธานกรรมการคนก่อนว่า
"ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก ผลกำไรจะฟ้องตัวมันเอง"