ปรีชา ทิวะหุต NEW BREED ของแบงก์มหานคร


นิตยสารผู้จัดการ( พฤศจิกายน 2531)



กลับสู่หน้าหลัก

ปรีชา ทิวะหุต นอกจากจะเป็นผู้บริหารระดับกลาง ยังเป็นนักเขียนอีกด้วย มีงานเขียนมากมายหลายชิ้นตั้งแต่เรื่องเศรษฐกิจระดับโลกจนถึงแง่มุมทางจิตวิทยา

ความเป็นคนช่างคิดช่างเขียน มาจากพื้นฐานความเป็นคนชอบเรียนรู้และสะสมประสบการณ์ จบเศรษฐศาสตร์บัณฑิต (หลักสูตรภาษาอังกฤษ) จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขณะเดียวกันก็ทำกิจกรรมกลุ่มเศรษฐ-ธรรมรุ่นปี 2512

พอจบออกมาทำงานได้สองแห่ง ก็ไปเรียนต่อปริญญาโททางสังคมศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยชิคาโก แล้วก็ลงเรียนวิชาสถิติภาคฤดูร้อนที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน

กลับมาทำงานที่เมืองไทยได้อีกสองแห่งก็ยังฟิตไปเรียนปริญญาเอกสาขาบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยบอร์โดส์ ฝรั่งเศส แถมลงเรียนวิชาในสาขาเดิมเพิ่มเติมที่มหาวิทยาลัยเกรอในโนบเบลอะจบ COURCE WORK ก็กลับมาทำงานที่เมืองไทย

"ผมอยากมีงานทำเลยไม่อยากเป็นดอกเตอร์ เพราะปริญญาตัวนี้ทำให้หางานยาก คนเขาจะมองเราสูงเกินจริง" ปรีชาให้ทัศนะ

หากดูสายงานส่วนใหญ่ ปรีชาผ่านงานแบงก์ คือ เคยเป็นเศรษฐกรที่ธนาคารกรุงเทพ เป็นผู้จัดการส่วนวางแผนการตลาดของธนาคารทหารไทย และเป็น ASSISTANT VICE PRESIDENT ด้านสินเชื่อของธนาคารกรุงศรีอยุธยา

ความถนัดจึงน่าจะเป็นงานแบงก์ แต่ทว่าล่าสุดก่อนไปอยู่แบงก์มหานคร เขาอยู่ที่ซีพีระยะหนึ่งโดยเริ่มจากตำแหน่ง FINASCIAL CONTROLLER ของซีพีที่เบลเยียม ต่อมาก็มาเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจในสต๊าฟงานของ ดร. อาชว์ เตาลานนท์

ความจริงการได้ทำงานกับบริษัทยิ่งใหญ่อย่างซีพีเป็นสิ่งที่มืออาชีพใดก็ปรารถนา แต่การตัดสินใจออกจากซีพีมาแบงก์มหานครของปรีชา น่าจะเป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนข้อสรุปที่ว่า "สำหรับมืออาชีพ งานท้าทายคือสิ่งที่พวกเขาแสวงหา"

ซีพีเป็นธุรกิจที่มาถึงทุกวันนี้เรียกได้ว่า ลงตัวแล้วในด้านกลยุทธ์ธุรกิจและการทำธุรกิจ เพราะระบบมันเดินไปได้ดีอยู่แล้ว แต่ความที่ระบบมันใหญ่โต มีคนทำงานมากมาย ทำให้โอกาสที่จะสร้างงานให้ปรากฏและก้าวไปข้างหน้ามีน้อยลง

แต่กับแบงก์มหานคร ที่นี่เปรียบเสมือนป้อมค่ายที่เพิ่งถูกตีแตกไปถึงสองครั้งสองคราในช่วง 2-3 ปีมานี้ ครั้งแรกประสบวิกฤติขาดทุนถึง 4,400 ล้านบาทในยุคที่ คำรณ เตชะไพบูลย์ คุมบังเหียนจนแบงก์ชาติต้องเข้ามาควบคุม

ภายหลังที่ สุนทร อรุณานนท์ชัย และทีมงานเข้ามาบริหารได้เพียง 10 เดือน วิกฤติการณ์ครั้งที่สองก็เกิดขึ้นจากการขายหุ้นของแบงก์ 100 ล้านหุ้นโดยให้พนักงานแบงก์และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ช่วยกันขายและแบ่งค่าคอมมิชชั่นกัน แต่หลังจากขายหมดสุนทรถูกพนักงานโวยวายหาว่าเอาเปรียบที่มีการหักภาษีในอัตราที่มากกว่าค่าคอมมิชชั่นที่ได้รับ และยังถูกกล่าวหาว่ามีส่วนได้รับผลประโยชน์จากค่าคอมมิชชั่นด้วย

ผลก็คือสุนทรและทีมงานยกขบวนออกทั้งชุด เล่นเอาแบงก์ชาติต้องดันให้ มาโนช กาญจนฉายา ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย มาสะสางมลทินเหล่านี้ในฐานะประธานกรรมการ ประธานกรรมการบริหารและรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ สามเก้าอี้เลยทีเดียว

"แบงก์นี้กำลังอยู่ในระหว่างที่ต้องเร่งสร้างรายได้ เราต้องระดมทุกทาง…ตอนที่ผมเดินเข้ามามีหนี้เสียเยอะ…เพราะฉะนั้นต้องทำให้มันหายเร็วๆ …ต้องขยายสินเชื่อ" มาโนชกล่าวกับนิตยสารฉบับหนึ่ง

สภาพเช่นนี้แบงก์มหานครจึงต้องการกำลังคน ชนิดที่ว่ามีความสามารถอะไรก็งัดออกมาให้หมดไส้หมดพุง

นี่จึงเป็นแรงดึงดูดอันแรงกล้า ดึงเอามืออาชีพอย่างปรีชามาจนได้…

การมาของปรีชามีลักษณะเด่นตรงที่ หนึ่ง-เขามารับตำแหน่งผู้จัดการสำนักบริหารในอัตราเงินเดือนเท่ากับที่ได้ที่ซีพี สอง-เขาไม่ใช่คนใหม่ที่แปลกหน้าของที่นี่ แต่เป็นคนใหม่ที่มีเพื่อนเก่าอยู่ที่นี่ "เป็นแผง"

ลักษณะเด่นเหล่านี้ทำให้เกิดข้อดีต่อการทำงานก็คือ ลดทอน "ความแปลกแยก" ที่เขาต้องประสบกับคนมหานครไปได้มาก เพราะปรีชามาในฐานะคนทำงานธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ใช่มืออาชีพที่พอเข้ามาก็กระโดดข้ามหัวคนอื่นไปอย่างน่าเกลียด เรื่องแบบนี้ทำเอาผู้บริหารระดับสูงตกม้าตายมาหลายรายแล้ว เพราะ "ไม่ได้รับความร่วมมือ"

ยิ่งไปกว่านั้นการได้ปรีชามาเสริม "ความเป็นแผง" กับเพื่อนเก่าของเขาที่นี่ ทำให้เขามีความมั่นใจกับบรรยากาศการทำงานที่เข้าขา และสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะเพื่อนเก่าของเขาคือลูกหม้อของแบงก์ที่อยู่กับระบบงานมานาน รู้ตื้นลึกหนาบางของกลไกการขับเคลื่อนแบงก์นี้กระจ่างดุจดูเส้นสายลายมือของตน คนที่เข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้คือมาโนช ซึ่งชาญฉลาดอ้าแขนรับปรีชาเข้ามา

"ผมเห็นว่าทีมงานก็ดีอยู่แล้ว พวกนี้เป็นคนเก่ามานานและงานที่อยู่ในมือของเขาก็คล่องตัวดีอยู่แล้ว ถ้าหากผมเข้าไปแล้วต้องไปทะเลาะกับคนข้างใน ทำอย่างไรมันก็ไม่สำเร็จ เรื่องความสามัคคีเป็นเรื่องสำคัญที่สุด" มาโนชประเมิน "แผง" นี้กับนิตยสารฉบับหนึ่ง

ปรีชาเป็นโลหิตเม็ดใหม่ที่เพิ่มพูนความเข้มข้นขึ้นตลอดเวลา ทุกวันนี้เขายังต้องฝึกปรือวิทยายุทธ์กับเจ้านายเก่าๆ ที่เขานับถือเป็นอาจารย์ใหญ่ ได้อาศัยประสบการณ์และบทเรียนมาศึกษาเพื่อปิดจุดอ่อนช่องโหว่ที่อาจพลั้งเผลอ

เรียกได้ว่าปรีชามีคุณสมบัติของความเป็น "ผู้นำ" ที่ดีเด่นประการหนึ่งซึ่ง JOHN KOTTER เจ้าทฤษฎีบริหารแห่งฮาร์วาร์ดบิสสิเนสสคูลเขียนไว้ในงานชิ้นลือลั่นที่ชื่อ THE LEADERSHIP FACTOR นั่นคือ ผู้นำควรมีข่ายความสัมพันธ์ที่กว้างขวางกับผู้คนในวงการธุรกิจ และสามารถนำมาช่วยให้กลยุทธ์ธุรกิจของตนก้าวไปข้างหน้า

เมื่อพิจารณามาถึงจุดนี้ จึงกล่าวได้ว่าปรีชาเลือกมาถูกทางแล้ว วัย 40 ปีของเขาในตอนนี้ตรงกับคำกล่าวที่ว่า เป็นวัยที่เพิ่งจะเริ่มต้น

แต่เป็นการเริ่มต้นที่มั่นคง ฉากต่อๆ ไปของแบงก์มหานครคงไม่มีอุปสรรคใดๆ ที่จะฟันฝ่าไปไม่ได้!



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.