ดัชนีไทยไม่ให้ราคาเสื้อแดง แนะเก็บหุ้นที่โตสวน ศก.ได้


ผู้จัดการรายสัปดาห์(6 เมษายน 2552)



กลับสู่หน้าหลัก

โบรกฯย้ำตลาดหุ้นให้น้ำหนักตามตลาดต่างประเทศมากกว่าม็อบเสื้อแดง แนะลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน-เติบโตได้สวนกระแสเศรษฐกิจโลก-ใกล้ถึงจุดต่ำสุด แถมท้ายกลยุทธ์ปลอดภัยให้เปิดสถานะ LONG TFEX ที่ต่ำกว่า 400 จุด

กวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)กสิกรไทย ประเมินว่า การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)ที่ทำเนียบรัฐบาลที่ยืดเยื้อเชื่อว่าไม่ใช่ปัจจัยสำคัญส่งผลทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง เว้นแต่จะมีเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เนื่องจากขณะนี้ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุดคือการปรับตัวขึ้น-ลงของตลาดหุ้นต่างประเทศเสียมากกว่า

นอกจากนั้นเชื่อว่าทางรัฐบาลก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรง ขณะที่กลุ่มผู้ชุมชนก็ไม่ได้เยอะมาก ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ค่อนข้างวางใจได้มากและคาดหวังว่าคงจะไม่เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงขึ้น

"ม็อบคงไม่มีผลในด้านลบต่อตลาดหุ้นไทยในขณะนี้มากนัก แต่สิ่งที่จะส่งผลต่อตลาดหุ้นในช่วงนี้ให้ปรับตัวขึ้นหรือลงได้มาจากต่างประเทศล้วนๆ”

ส่วนหุ้นที่คาดว่าน่าจะได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลรวมถึงปีนี้จะมีการเติบโตได้สวนกระแสภาวะเศรษฐกิจโลก เตชธร ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซียพลัส แนะนำให้ลงทุนหุ้นธนาคารกสิกรไทย (KBANK) โดยให้เป้าหมายไว้ที่ 59 บาท ส่วนหุ้น บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (BIGC) ให้เป้าหมายที่ 48 บาท และเป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายรัฐ ขณะที่หุ้น บมจ.บ้านปู(BANPU) มีราคาเป้าหมายที่ 261 บาท เนื่องจากจากความต้องการถ่านหินน่าจะฟื้นตัวในไตรมาส 2 ของปีนี้ได้ และหุ้น บมจ.น้ำตาลขอนแก่น(KSL) ราคาเป้าหมายที่ 8.08 บาท โดยมี BACKLOG จากอินเดียที่อาจจะนำเข้า 5 ล้านตันเป็นปัจจัยสนับสนุน

ด้านการลงทุนในกองทุนรวมแนะให้ลงทุนในกองทุนจีน-อินเดีย โดยแนะนำ TISCO CHAINA INDIA FUND หรือ TICID9ON โดยเป็นกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นจีน50% และอีก 50% ลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนครั้งแรกหน่วยละ 10 บาท แต่ปัจจุบันปรับตัวลงมาเหลือ 3.90 บาท และคาดว่าไตรมาส 2 จะเป็นช่วงที่ต่ำที่สุดของกองทุนนี้ เนื่องจากตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นไปแล้ว 18% ขณะที่หุ้นอินเดียยังแกว่งตัวอยู่และคาดว่าไตรมาส 3 ตลาดหุ้นอินเดียจะฟื้นตัว

สำหรับอีกกองทุนที่เตชธรแนะให้ซื้อคือกองทุน UOB SMART ASIA FUND หรือ UOBSA9ON ซึ่งเป็น FIF ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศในแถบเอเชีย ที่คาดว่าจะฟื้นตัวเร็วกว่าตลาดหุ้นในยุโรป โดยมองไว้ราคาทางเทคนิคไว้ 6.50 บาท โดยให้แนวรับตั้งไว้ที่ 5 บาท และแนวต้านในระยะสั้นที่ 5.60 บาท

ด้าน วีระชัย ครองสามสีผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ มองว่า ไตรมาส 2 ดัชนีตลาดหลังทรัพย์จะอยู่ในกรอบ 380-445 จุด และหุ้นที่มีความแข็งแกร่งทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจได้ก็คือ หุ้นของ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 95 บาท หุ้น ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB) ให้ราคาเป้าหมายที่ 57 บาท และหุ้นบมจ.น้ำประปาไทย (TTW) ให้เป้าหมายที่ 5 บาท ส่วนหุ้นที่ราคาลงมามากและคาดว่าน่าจะถึงจุดต่ำสุดแล้วคือบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 30.50 บาท หุ้น บมจ.อสมท (MCOT) ให้ราคาเป้าหมายที่ 14 บาท และหุ้น บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) ให้ราคาเป้าหมายที่ 4 บาท

ขณะที่ รณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน มองว่าหุ้นจะฟื้นตัวก็ต่อเมื่อแนวโน้มดอกเบี้ยพลิกกลับมา และมองว่าผู้ที่ติดหุ้นอยู่จะต้องดำเนินการแก้ไขพอร์ตเดิมด้วยการตัดทิ้งหุ้นพื้นฐานอ่อน รวมถึงตัดทิ้งหุ้นที่ไม่มีปันผล และเพิ่มพอร์ตใหม่ด้วยการ เลือกหุ้นปันผลรวมถึงเพิ่มหุ้นที่มีอัตราการเติบโตสูง (High Growth) นอกจากนี้แล้วยังควรจะเสริมความปลอดภัยให้กับพอร์ตลงทุนด้วยวิธีการใช้ TFEX ป้องกันความเสี่ยง โดยแนะนำให้เปิดสถานะ LONG TFEX ที่ต่ำกว่า 400 จุด


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.