Eyewitness: American Economy in Collapse (no.5)

โดย มานิตา เค.เบนท์ลี่ย์
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา( เมษายน 2552)



กลับสู่หน้าหลัก

ผลกระทบวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐฯ บรมครูแห่งการลงทุนอย่าง Warren Buffett ยังเจ็บตัว เขาเปรียบนักลงทุนในภาวะเช่นนี้เหมือนนกน้อยที่หลงเข้าไปกลางสนามแบดมินตัน ทั้งสับสนและถูกตบถูกตีจนเลือดอาบกันถ้วนหน้า

Warren Buffett เปิดใจในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นบริษัท Berkshire Hathaway (Berkshire) ต่อวิกฤติการณ์เศรษฐกิจที่ทั้งโลกกำลังเผชิญ พร้อมยอมรับว่าผลการดำเนินงานของปี 2008 แย่ที่สุดในรอบ 44 ปีของชีวิตการทำงานและทีมบริหารหลายคน โดยรายได้สุทธิอยู่ที่ 4.99 พันล้านเหรียญหรือ 3,224 เหรียญต่อหุ้น (Class A) ซึ่งลดลงถึง 62% จากปี 2007 ที่มีรายได้สุทธิที่ 13.21 พันล้านเหรียญ หรือ 8,548 เหรียญต่อหุ้น

โดยเฉพาะผลการดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายที่ฉุดทั้งปีให้ร่วงตามไปด้วย ที่มีกำไรสุทธิเพียงแค่ 117 ล้านเหรียญ หรือ 76 เหรียญต่อหุ้น ซึ่งลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2007 ที่มีกำไรสุทธิ 2.95 พันล้านเหรียญ หรือ 1,904 เหรียญต่อหุ้น นับตั้งแต่ข่าววิกฤติสถาบันการเงินรายใหญ่ ระดับโลก ส่งผลให้เกิดความสับสนในตลาดสินเชื่อจนในที่สุดถึงขั้นหยุดทำงาน บรรดาสถาบันการเงินทั้งใหญ่เล็กหยุดให้สินเชื่อ ร่วมด้วยตลาดบ้านและตลาดหุ้นที่หกคะเมน ตีลังกา ทั้งประเทศตกอยู่ในภาวะเป็นอัมพาตจากความกลัว ธุรกรรมและการลงทุนต่างๆ หดหายไปอย่างรวดเร็ว ชนิดที่ Warren Buffett ไม่เคยประสบมาก่อน

ความกลัวสามารถแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เมื่อผู้คนเกิดความกลัว ความสับสนก็เกิดความเชื่อมั่นก็หดหายตาม ซึ่งการขาดความเชื่อมั่นถือเป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากความกลัวหายได้ในเวลาสั้นๆ แต่ความเชื่อมั่นต้องสั่งสมและสร้างเป็นเวลานาน รัฐบาลเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้กลับมาได้รวดเร็วเพียงใดซึ่งเขาคิดว่ารัฐบาลยังไม่มีความชัดเจนในการแก้ปัญหาอย่างแท้จริง อันเป็นธรรมชาติของการเมือง

กระนั้นก็ตาม ทั้งกระทรวงการคลัง และธนาคารกลางชุดก่อนได้ "เทหน้าตัก" ไปแล้วในการอุ้มสถาบันการเงิน เรียกว่ายาที่ให้จากเต็มถ้วยเป็นเต็มถังไปแล้ว และการให้ยาหรือการช่วยแบบไม่คิดแบบนั้น ได้นำมาซึ่งปัญหาที่ไม่พึงประสงค์ คือสถาบันการเงินเหล่านั้นเกิดการได้ใจ ร้องขอความช่วยเหลืออย่างไม่หยุดหย่อนจากรัฐบาล ที่ใช้เงินภาษีของประชาชนมารักษา ชีวิตของสถาบันการเงินที่พลาดเพราะความโลภ พร้อมตอบแทนประชาชนด้วยการจ่ายโบนัสให้แก่บรรดาพนักงานของบริษัทที่เป็นผู้ก่อให้เกิดวิกฤติการณ์ครั้งนี้อย่างไรก็ตาม แม้ Warren Buffett จะวิจารณ์การช่วยเหลือแบบไม่มีข้อแม้ของรัฐบาล แต่เขาคิดว่า "เป็นสิ่งถูกต้องที่รัฐบาลได้ทำลงไป เพื่อป้องกันหายนะใหญ่ หลวงที่จะตามมาในขณะนั้น จะชอบหรือไม่ชอบทุกชีวิตใน "Wall Streets" "Main Streets" และ "Side Streets" เราอยู่บนเรือลำเดียวกันแล้ว"

สำหรับผลการดำเนินงานของ Berkshire ในปี 2008 ที่ผ่านมา มีสินทรัพย์สุทธิลดลง 11.5 พันล้านเหรียญ ส่งผลให้มูลค่าต่อหุ้นลดลง 9.6% เท่ากับ 70,530 เหรียญต่อหุ้น ธุรกิจกลุ่ม Manufacturing กลุ่ม Service และกลุ่ม Retailing เป็นกลุ่มที่ขาดทุนมากที่สุด เนื่องจากเป็นกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับการก่อสร้าง งานบริการ การบริโภค การผลิตและจำหน่ายสินค้าปลีก ซึ่ง Warren Buffett คาดว่าหุ้นในกลุ่มเหล่านี้จะขาดทุนต่อเนื่องถึงปี 2009 ส่วนกลุ่มธุรกิจประกันและกลุ่มสาธารณูปโภคให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นที่สุดในปี 2008 และมีโอกาสในการลงทุนที่ดีเยี่ยมต่อไป

เมื่อปีที่ผ่านมา Berkshire ลงทุนเป็นมูลค่า 14.5 พันล้านเหรียญในการเข้าซื้อหุ้นบุริมสิทธิของ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่คือ บริษัทหมากฝรั่งและลูกกวาด Wrigley สถาบันการเงิน Goldman Sachs และบริษัท General Electric และในการลงทุน ครั้งนี้ Berkshire ต้องตัดใจขายหุ้นบางส่วน ของบริษัท Johnson & Johnson บริษัท Procter & Gamble และบริษัท Conoco Phillips ซึ่ง Warren Buffett รับประกันว่า การลงทุนของ Berkshire เป็นการลงทุนที่มาจากเงินทุนของบริษัทที่มีอย่างเกินพอ ไม่ได้มีการกู้มาลงทุน และเขาจะไม่ยอมอดนอนเพื่อกำไรพิเศษจากการลงทุนในหุ้นของธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง

อย่างไรก็ตาม Warren Buffet ยอมรับว่าเขาได้ตัดสินใจลงทุนพลาดไปใน ช่วงปี 2008 ที่ผ่านมา คือการซื้อหุ้น Conoco Phillips เพิ่มเป็น 84.9% ในช่วงที่ราคาน้ำมันและแก๊สเกือบถึงจุดสูงสุด เขาคิดว่าราคาจะขึ้นสูงกว่า 40-50 เหรียญ จนถึงวันนี้เขารู้ดีว่าเขาคาดการณ์ผิดทำให้ Berkshire ต้องลงทุนไปหลายพันล้านเหรียญ นอกนั้นเขายังทุ่มทุนมูลค่า 244 ล้านเหรียญ ซื้อหุ้นของธนาคารสัญชาติไอริชจำนวนสองแห่ง จนถึงวันนี้หุ้นของทั้ง 2 ธนาคารยังร่วงกราวรูด เหลือมูลค่าล่าสุดเพียงแค่ 27 ล้านเหรียญ เขาเขียนไว้ในจดหมายผู้ถือหุ้น อย่างมีอารมณ์ขันว่า "ความผิดพลาดเช่นนี้ ในวงการเทนนิสเรียกว่า 'ตีลูกเสียเองโดยไม่สมควร (unforced errors)'" แต่การลงทุนนี้เป็นการลงทุนระยะยาว...เมื่อมีลงก็มีขึ้น เมื่อมีขึ้นก็มีลง...

สำหรับการลงทุนในตลาดตราสารหนี้และพันธบัตร ไม่ว่าจะออกโดยรัฐบาลหรือเอกชน จะเป็นระยะสั้นหรือระยะยาว ยังไม่ดึงดูดมากนัก เนื่องจากผลตอบแทนต่ำมากหรืออาจถึงขั้นขาดทุน เขาตั้งข้อสังเกตว่า การบูมของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ในช่วงปี 2008 เป็นปรากฏการณ์ที่ผิดปกติ เช่นเดียวกัน การบูมของอินเทอร์เน็ต และการบูมของตลาดบ้านที่อยู่อาศัย ในอดีตที่จบด้วยฟองสบู่แตก ส่วนเรื่องของการวิเคราะห์การลงทุน ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงพึ่งพานักวิเคราะห์จากบริษัทต่างๆ เขาเตือนให้ระวังการวิเคราะห์ที่ดูดีเกินจริง ทั้งโมเดลการคาดการณ์ที่อิงข้อมูลในอดีต (history-based models) มีฟอร์มูล่าแปลกๆ ที่วิเคราะห์โดยนักวิเคราะห์ประเภท nerdy-geeky

ขณะเดียวกัน Warren Buffett ได้เตือนผู้ถือหุ้นในช่วงนี้ให้ระมัดระวังการลงทุนในอนุพันธ์การเงิน (Derivatives) ซึ่ง ถือเป็นสินค้าอันตรายที่มีอิทธิพลและความ เสี่ยงสูงต่อระบบการเงินของสหรัฐฯ และทั่วโลก ทำให้นักลงทุนยากที่จะเข้าใจ และ วิเคราะห์ธนาคารพาณิชย์ และวาณิชธนกิจรายใหญ่ๆ ได้

อนุพันธ์การเงินนี่เองที่เป็นตัวการให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์อย่าง Fannie Mae และ Freddie Mac สามารถตกแต่ง บัญชี บิดเบือนผลประกอบการที่แท้จริงนานนับหลายปี แม้กระทั่ง OFHEO (Office of Federal Housing Enterprise Oversight) ที่มีหน้าที่กำกับดูแล 2 องค์กรนี้โดยตรง ยังพลาด ซึ่งเป็นปัญหาไม่รู้จบของการกำกับดูแลสถาบันการเงินของภาครัฐบาลที่ไม่มีประสิทธิภาพ

ส่วนกรณีของ Berkshire ที่เข้าซื้อบริษัทรับประกันภัยใหม่ General Re เมื่อปี 1998 พบว่า General Re มีอนุพันธ์การ เงินมากถึง 23,218 อนุพันธ์ เขาและทีมบริหารต้องใช้เวลาถึง 5 ปีและสูญเงินกว่า 400 ล้านเหรียญ ในการจัดการกับอนุพันธ์ให้หมดสิ้น

ทั้งหมดนี้เป็นข้อความที่เรียบเรียงจากบางส่วนของจดหมายที่ Warren Buffett เขียนถึงผู้ถือหุ้น Berkshire เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สะท้อนผลประกอบการในช่วงวิกฤติและมุมมองของเขาที่มีต่อการลงทุนในอนาคต คงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยต่อนักลงทุนทั่วไป

เขาฝากแง่คิดไว้ว่าท่ามกลางกระแสข่าวร้ายต่างๆ ต้องอย่าลืมว่าอเมริกาเคยผ่านความยากลำบากมากกว่านี้มาแล้วในอดีต ไม่ว่าจะเป็นช่วงศตวรรษที่ 20 ที่ต้องเผชิญสงครามโลกถึง 2 สงคราม ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจภายหลังสงครามหลายครั้ง พิษเงินเฟ้อที่ทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้ ลูกค้าชั้นดีสูงถึง 21.5% ในปี 1980 และ The Great Depression ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 30-40 ส่งผลให้ตัวเลขผู้ว่างงานอยู่ระหว่าง 15-25% หลายปีกว่าจะฟื้นตัว

อเมริกาไม่เคยว่างเว้นจากความท้าทาย สามารถเอาชนะได้ทุกครั้ง ยิ่งกว่านั้นเขามีความเชื่อว่า "แม้ว่าจะไม่ราบรื่น ไปบ้าง แต่ระบบเศรษฐกิจของอเมริกาที่เคยประสบความสำเร็จมาเป็นเวลาช้านาน เปิดโอกาสให้มนุษย์ได้แสดงศักยภาพที่จะพัฒนาขึ้นได้ต่างจากระบบอื่นและยังคงดำเนินต่อไป วันที่ดีที่สุดของอเมริการออยู่ข้างหน้า" ...แต่วันนั้นจะมาถึงเร็วหรือช้า ยังเป็นคำถาม

ที่มา:
www.berkshirehathaway.com
www.nytimes.com
www.CNBC.com


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.