เพียงใจหาญพาณิชย์ พญาหงส์ เสียบปีก

โดย ธนธรณ จันทรนิมิ
นิตยสารผู้จัดการ( กุมภาพันธ์ 2531)



กลับสู่หน้าหลัก

ผู้หญิงคนนี้แต่งงานแล้วมีลูกแล้ว 4 คน สามียังไม่ตายและยังไม่ต้องรบกวนเจ้าหน้าที่เป็นสักขีพยายในใบหย่า ปีนี้เธอมีอายุครอบ 63 ปี และไม่ว่าตัวเลขอายุจะเพิ่มมากขึ้นไปอีกสักเท่าใด เธอก็ยังคงรักษาสถานภาพความเป็น "นางสาว" ที่มีสามีแล้วไปได้อีกตลอดกาลยิ่งกว่าเกลือรักษาความเค็ม!!!

พ่อค้าคนจีนบอกว่าเหตุที่เพียงใจไม่ยอมใช้นามสกุล "อัศวโภคิน" ของสามีเป็นเพราะ เธอไม่ต้องการให้เกิดความยุ่งยากในการทำการค้าที่อาจจับพลัดจับพลูมีปัญหาทางกฎหมายขึ้นมาในวันใดวันหนึ่ง คิดเช่นนี้แล้วเจ๊เลยบอกเฮียว่า "ลื้อกับอั๊วเป็นผัวเมียกันก็ดีแล้ว รักกันมีลูกกันก็ดีอีก แต่เราแยกนามสกุลกันใช้ยิ่งดีกว่ากันเยอะเลย"

ผู้หญิงราศีเมถุนคนนี้เป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิดเตียชื่อจันทร์ แม่ชื่อทองดี เป็นเจ้าของโรงสีอยู่แถวๆ หัวตะเข้ ลาดกระบัง ถึงแม้ว่าจะได้รับการศึกษาเพียงแค่ประโยคประถมศึกษาทว่าชั้นเชิงทางการค้าแปดเหลี่ยมสิบสองคมมาตั้งแต่เด็กๆ จึงได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากเตี่ย-แม่ ให้คุมโรงสีตั้งแต่ยามที่ยังเป็นสาวแรกรุ่น

หลังจากที่ช่วยงานทางบ้านไม่ทันไรก็แต่งงานกับ บุญทรง อัศวโภคิน ลูกชายเจ้าของห้างขายผ้าและเจ้าของโรงรับจำนำมั่งเชียง มั่งเฮง ที่มีชื่อเสียงมาก ผัวเมียตัวอย่างคู่นี้มีลูกด้วยกัน 4 คนคือ

ทรงพล อัศวโภคิน ปัจจุบันเป็นผู้จัดการทั่วไปโรงแรมแมนดาริน

อนันต์ อัศวโภคิน ปัจจุบันเป็นกรรมการผู้จัดการ บ.เครดิตฟองซิเอร์ แลนด์ แอนด์ เฮาส์ และเป็นผู้อำนวยการกลุ่มบริษัทแลนด์ แอนด์ เฮาส์

สุดา อัศวโภคิน เป็นกรรมการบริษัทในเครือแมนดารินและมีบริษัทรับเหมาก่อสร้างร่วมกับสามี

อนุพงษ์ อัศวโภคิน เป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของบริษัทต่างๆ ในเครือแมนดาริน

เพียงใจเริ่มงานเป็นของตัวเองครั้งแรก ด้วยการแยกกิจการจากครอบครัวสามีมาตั้งห้างขายผ้าสิวลี และโรงรับจำนำมั่งหลีกิจการขายผ้าของเธอไปได้ดีมากเพราะสั่งผ้าคุณภาพดีราคาสูงมาขายโดยเฉพาะ แม้ว่าตัวเองจะเป็นคนค่อนข้างเค็มๆ แต่อาศัยที่ปากหวานช่างเอาใจจึงสามารถดึงลูกค้าขาประจำไว้ได้มาก

ความเค็มในสายตาคนอื่นหรือเป็นคนมัธยัสถ์ในความคิดของเจ๊เพียงใจนั้น เป็นที่รู้กันว่ามั่นคงยิ่งกว่าศิลาที่ว่าแข็งแกร่ง กระทั่งปัจจุบันยังมีเสียงเล็ดลอดออกมาว่า กิจการโรงแรมแมนดารินที่ทำกำไรเอาๆ ในแต่ละปีนั้นผู้ถือหุ้นบางคนยังไม่เคยได้รับเงินปันผลกันเลย???

จุดหักเหครั้งสำคัญที่ทำให้เจ๊เพียงใจได้มายืนโดดเด่นใจแถวต้นๆ ของนักธุรกิจไทยนั้นเริ่มในปีพ.ศ.2508 ที่เข้ามาพัวพันในธุรกิจก่อสร้างและจัดสรรที่ดิน ทั้งนี้อาศัยความชำนาญจากการทำโรงรับจำนำมาช่วยเหลือ แค่ปีแรกที่เข้ามาพร้อมกับเงินเหลือเก็บจากโรงรับจำนำก็ออกกว้านซื้อที่ดินหลายต่อหลายแห่งในกรุงเทพฯ มาเก็บไว้ และยังร่วมลงทุนกับญาติสร้างแฟลตที่พักให้กับทหารอเมริกัน

นางสาวเพียงใจหวือหวาจนชายอกสามศอกต้องสะท้านมากขึ้นเมื่อหันมาจัดตั้งบริษัทแลนด์ แอนด์ เฮาส์ ขึ้นในปี 2516 เพื่อดำเนินงานบ้านจัดสรรศรีรับสุขเป็นโครงการแรกและต่อๆ มานับร่วม 30 โครงการในปัจจุบัน ซึ่งทุกโครงการให้ผลในระดับน่าพอใจทั้งสิ้นนอกจากนี้สายเงินจากธุรกิจนี้ยังทำให้สามารถขยายธุรกิจอื่นได้อีกเช่นโรงแรม สถาบันการเงินทั้งนี้ภายใต้ชื่อ "เครือแมนดาริน"

เครือแมนดารินมีอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างรวดเร็วมาก มีฐานกว้างครอบคลุมหลายธุรกิจแม้ว่าแต่ละธุรกิจที่เข้าไปจับจะไม่เป็นยักษ์ใหญ่แต่ก็มีความเป็นปึกแผ่นแน่นหนาอีกกลุ่มหนึ่ง

จริงๆ แล้วธุรกิจตัวที่โดดเด่นอย่าง แลนด์ แอนด์ เอาส์ นั้นคนในวงการบอกว่า เจ๊เพียงใจแกทำหน้าที่เป็นทัพหลังคอยบัญชาการและให้ข้อคิดเท่านั้น โดยเฉพาะในเรื่องการดูและซื้อที่ดินว่าจุดไหนเหมาะแก่การลงโครงการ ซึ่งเกือบทุกจุดที่เสนอแทบจะไม่เคยพลาดอย่างเช่นที่ดินในเชียงใหม่ที่หลายรายขยายทว่าผู้หญิงคนนี้กลับสั่งให้สู้

การเรียนรู้เรื่องที่ดินนี่แทบจะเป็นพรสวรรค์เฉพาะตัวเลยทีเดียว ถ้าดูผิวเผินบางคนอาจจะเห็นว่าลักษณะการซื้อที่ดินของเธอเป็นไปแบบชอบตรงไหนซื้อ ไม่ดูรายละเอียดมากนัก แต่คนที่อยู่ในวงการบอกว่าหากมองในมุมกลับการซื้อที่ดินของเธอ "เหี้ยม โหด หิน" อย่าบอกใคร!??

เจ๊เพียงใจจะซื้อทีดิ่นแบบปาดหน้าคนอื่นเสมอ จะซื้อที่ด้านหน้าเอาไว้ก่อนจากนั้นจึงค่อยๆ บีบอย่างใจเย็นให้เจ้าของที่ปล่อยที่ดินในส่วนหลังให้เธอในสนนราคาที่ไม่มากมายนัก และเป็นราคาที่ผู้ซื้อมีสิทธิกำหนดเองด้วย "เจ๊แกเล่นแบบค่อยๆ ลูบหัวฟาดลงกลางหลัง ใครไม่ยอมขายที่ให้ก็ลำบากหากจะออกด้านหน้าก็ต้องเสียค่าเช่าให้ที่สุดก็ต้องปล่อย" แหล่งข่าวคนหนึ่งกล่าว

เธอมีที่ดินมากเสียบางครั้งจำที่ดินของตนเองไม่ได้เลยก็มี!!!

ล่าสุดเธอก็ทำให้คนทั้งวงการตะลึงเมื่อจู่ๆ ก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดตั้ง "สมาคมนายหน้าค้าที่ดิน" ขึ้นมา ซึ่งวัตถุประสงค์ของสมาคมฯ นี้แม้ว่าจะแยกแยะชัดเจนจากสมาคมการค้าที่ดินเคหะและก่อสร้างพอควรนั้น แต่เบื้องลึกบางคนบอกว่า "เป็นเพราะเธอเจ็บช้ำที่พ่ายแพ้ในการเลือกนายกสมาคมค้าที่ดินเคหะสมัยที่ 3"

"เป็นธรรมดาผู้หญิงคนหนึ่งความรู้ไม่มากนัก ก้าวมาถึงขั้นนี้ได้ก็ย่อมอยากมีหน้ามีตาบ้าง และคราวที่เธอเป็นนายกสมาคมอยู่สองสมัย ก็ทำให้รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่มากหน้าหลายตาโดยเฉพาะในกรมที่ดินที่ยังประโยชน์ต่อธุรกิจเธออย่างสูง เมื่อต้องแพ้ก็เลยฟิตตั้งสมาคมมันเสียเอง" คนในวงการคนหนึ่งบอกให้ฟัง

วันนี้ในหน้าสังคมของผู้หญิงที่นิยมชมชอบการแล่นเพชรเป็นชีวิตจิตใจอย่างเธออาจดูเงียบเหงาไม่เป็นข่าวคราวมากเหมือนแต่ก่อน เนื่องจากถูกขอร้องจากลูกชายที่บอกว่า "แม่พูดทีไรมักติดลบทุกที" แต่กระนั้นก็ตามเบื้องหลังความสำเร็จและใหญ่ที่สุดของแลนด์ แอนด์ เฮาส์ ใครเล่าจะกล้าเถียงว่า

"ไม่ใช่เป็นเพราะเธอกำหนด"!??



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.