กรณีไกรศรี จาติกวนิช อดีตอธิบดีกรมศุลกากร ชยุติ จิระเลิศพงษ์ อดีตรองอธิบดีกรมศุลกากร
และเจ้าหน้าที่กรมศุลฯ อีก 12 คน ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงในการหลีกเลี่ยงภาษีอากรนำเข้ารถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า
ซอเรอร์ จนในที่สุดไกรศรีและชยุติถูกตัดสินให้ออกจากราชการ ส่วนเจ้าหน้าที่อีก
12 คน การสอบสวนยังไม่ยุติ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อื้อฉาวและตกเป็นข่าวโด่งดังมากในรอบปีที่ผ่านมา
ประเด็นข้อกล่าวหาไกรศรีในช่วงแรกมี 3 ประเด็น
1. ร่วมกันนำรถยนต์นั่งโตโยต้าซอเรอร์เข้ามาโดยเลี่ยงภาษีตามกฎหมาย
2. ได้ครอบครองรถยนต์ดังกล่าวทั้งที่ทราบว่าเสียภาษีไม่ถูกต้อง
3. ปกปิดข้อเท็จจริงในขั้นตอนการเสนอเรื่องเข้าคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ
ส่วนชยุติซึ่งเป็นรองอธิบดีฝ่ายปฏิบัตการเป็นผู้รับผิดชอบการนำรถเข้า ถือว่าเป็นผู้มีส่วนร่วมรู้เห็น
เมื่อหมดยุคสมหมาย ฮุนตระกูล ก็หมดยุคไกรศรีที่กรมศุลกากร คำสั่งย้ายจากสุธี
สิงห์เสน่ห์ ให้ไกรศรีไปลงที่กรมธนารักษ์ และวิโรจน์ เลาหะพันธ์ซึ่งเคยย้ายจากธนารักษ์มานั่งสรรพากร
ให้มาเป็นอธิบดีกรมศุลกากร เมื่อ 1 ตุลาคม 2529
เรื่องนี้เริ่มหลังจากที่วิโรจน์อยู่ศุลกากรไม่นานกองศุลกาธิการนำเรื่องว่ามีการเลี่ยงภาษีจากโตโยต้า
"ซอเรอร์" เป็นโตโยต้า "มาร์คทู" ทำให้ค่าภาษีอากรขาดหายไป
1,215,375 บาท และมีคนเห็นไกรศรีเคยใช้รถคันนี้อยู่ช่วงหนึ่ง วิโรจน์จึงตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงซึ่งเป็นการสอบลับ
เมื่อสอบสวนเสร็จก็ส่งเรื่องให้ปลัดกระทรวงการคลังคือพนัส สิมะเสถียร ซึ่งเรื่องนี้ถูกเก็บเงียบมาหลายเดือน
เพราะปลัดเห็นว่าเป็นการกล่าวหาอย่างปราศจากหลักฐาน
เมื่อดำเนินเรื่องตามขั้นตอนไม่ได้ผล ยุทธวิธีการปล่อยข่าวให้กับหนังสือพิมพ์จึงเกิดขึ้น
ว่ากันว่ามีการถ่ายเอกสารแฟ้มสอบลับให้หนังสือพิมพ์บางฉบับ มติชนเล่นข่าวนี้เป็นครั้งแรกเมื่อ
25 พฤษภาคม 2530 และลงอย่างต่อเนื่อง ตามด้วย BANGKOK POST และแนวหน้า หลังจากนั้นก็เล่นข่าวนี้กันอย่างมันมือแทบทุกฉบับ
ภาพออกมากลายเป็นว่าไกรศรี-ชยุติ เป็นหัวโจกนำเข้ารถเถื่อน โกงภาษี เป็นหลายร้อยล้านบาท
มีการพยายามผลักดันให้เรื่องนี้เข้าสู่สภา เปรม มาลากูล รองประธานกรรมาธิการคมนาคมนำเรื่องเข้าที่ประชุมกรรมาธิการ
เรียกวิโรจน์และอีกหลายคนไปชี้แจง แต่ตอนหลังประธานกรรมาธิการคือ สราวุธ
นิยมทรัพย์ กลับจากต่างประเทศบอกเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของกรรมาธิการการเงินการคลังมากกว่า
เรื่องจึงพับไปพักหนึ่ง
ต่อมาเรื่องนี้ถูกส่งเข้าทำเนียบรัฐบาลผ่านมีชัย ฤชุพันธ์ มือกฎหมายประจำตัวนายกฯ
กับประสงค์ สุ่นศิริ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี คำสั่งพักราชการจากทำเนียบออกมาเมื่อ
8 กรกฎาคม 2530 และแต่งตั้งกรรมาธิการสอบสวนประกอบด้วย อำนวย วงศ์วิเชียรเลขาธิการป.ป.ป
ชนะ อินทร์สว่าง นิติกร 9 ประจำกระทรวงการคลัง, พิชิต มกรเสน เจ้าหน้าที่สืบสนป.ป.ป.
และนายมานิตย์ วิทยาเต็ม เจ้าหน้าที่ศุลกากรระดับ 8
เมื่อคณะกรรมการพิจารณาเสร็จ กรรมการ 3 คนแรกลงมติให้ไกรศรี-ชยุติไม่ผิดเพราะไม่มีหลักฐานแน่ชัดแต่มัวหมอง
ควรให้ออกจากราชการส่วนมานิตย์บอกว่าทั้งสองมีความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงควรลงโทษไล่ออกจากราชการ
ประเด็นที่บอกว่ามัวหมองนั้น 1) เพราะถูกสอบสวน 2) "น่าเชื่อได้"
ว่าไกรศรีช่วยเหลือนายประเสริฐ อภิปุญญา ลูกชายนายประพัฒน์ อภิปุญญา (เสี่ยปอ
เจ้าของห้างหยู่ฮวด ตัวแทนจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าเนชั่นแนลคู่กันกับบริษัทซิวเนชั่นแนล)
ให้สอบเข้ากรมศุลฯได้ จึงได้รถเป็นเครื่องตอบแทน ส่วนชยุติถือเป็นเพื่อนสนิทประพัฒน์คงจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดการเลี่ยงภาษีและนำเข้ารถให้ไกรศรี
ถือว่ามัวหมอง หากให้รับราชการต่อไปจะเป็นผลเสียหายต่อราชการ
ในขั้นตอนการสอบสวน "ผู้จัดการ" พบข้อสังเกตที่น่าสนใจหลายประเด็น
ประการแรก การสอบสวนข้อเท็จจิรงในขั้นแรกเป็นการสอบลับ ทำไมหนังสือพิมพ์จึงรู้อย่างละเอียด
ขณะที่ไกรศรี-ชยุติต้องมาตามข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ ชยุติแสดงความสงสัยกับ
"ผู้จัดการ" ว่าเป็นการสอบฝ่ายเดียว และถ้าบริสุทธิ์ใจทำไมไม่เรียกตนไปชี้แจงในขั้นสอบข้อเท็จจริง
ประการที่สอง มีการแจ้งข้อหาเพิ่มในภายหลัง ในวันที่ไกรศรีนำเอกสารไปชี้แจงข้อกล่าวหา
2 ข้อแรก ชะรอยกรรมการจะเกรงว่าถ้าสอบแล้วไม่พบว่าผิดตามข้อกล่าวหา ย่อมจะเกิดความเสียหายต่อภาพพจน์รัฐบาล
ซึ่งในที่สุดไกรศรี-ชยุติก็มามัวหมองในประเด็นที่เพิ่มเติมเข้ามานี่เอง ซึ่งอาจารย์นิติศาสตร์
จุฬาฯ ท่านหนึ่งตั้งข้อสังเกตกับ "ผู้จัดการ" ตามหลักนิติศาสตร์แล้วถ้ามีการตั้งข้อหาใดก็ควรจะสอบไปจนสิ้นสุดก่อน
ถ้าจะมีข้อกล่าวอื่นก็ควรจะแยกพิจารณาต่างหากไม่ควรจะแจ้งเพิ่มในขณะที่ของเก่ายังสอบไม่เสร็จ
ประการที่สาม คำว่า "มีมลทินมัวหมอง" เป็นคำที่กว้างมาก ต้องมัวหมองแค่ไหนถึงตัดสินให้ออกจากราชการ
ในที่สุดก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของแต่ละคนว่าโน้มเอียงไปทางไหน ซึ่งตามหลักกฎหมาย
เอาผิดโดยดูจากพยานหลักฐานเป็นสำคัญ ไม่ใช่เอาผิดเพราะ "น่าเชื่อได้ว่าผิด"
อาจารย์ท่านเดิมกล่าว และถ้ามัวหมองเพียงเท่านี้ โทษที่ได้รับคือการให้ออกจากราชการเป็นความผิดที่สมดุลกับการลงโทษหรือไม่
ในหลายกรณีข้าราชการทำผิดมากกว่านี้แต่โทษอย่างมากก็ย้ายไปประจำกระทรวง
ประการที่สี่ กรรมการชุดสอบวินัยซึ่งเป็นตัวแทนกรมศุลกากรที่วิโรจน์ส่งมานั้นเป็นคนที่มีพื้นเพและพฤติกรรมเช่นไร
เหมาะสมที่จะมาเป็นกรรมการสอบสวนหรือไม่??
ไกรศรี เล่าถึงมานิตย์ วิทยาเต็มว่า "ก่อนที่จะได้ซี 8 มานิตย์เป็นซี
7 ที่ซีเนียริตี้สูงพอสมควรควรจะได้เป็นซี 8 มา 2-3 ปีแล้ว แต่ผมเห็นว่าเขาเป็นคนลอกแล่ก
ห่วงเรื่องเงินทางมาก และไม่มีศักดิ์ศรี ไม่รักเกียรติของข้าราชการ มาขอซี
8 ผมมาตัดแต่งต้นไม้ตอนที่ผมไม่อยู่บ้าน ปลัดพนัสนี่เป็นคนมาขอผม เพราะเขาเข้าทางเมียปลัดที่เป็นชาวเหนือด้วยกัน
ผมบอกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาตัดต้นไม้เพื่อเอาใจนายเพื่อหวังความก้าวหน้า
มันน่าเกลียดมาก และนายมานิตย์เป็นคนที่ชอบเขียนบัตรสนเท่ห์ มีอยู่คราวหนึ่งผมจับได้เขาเขียนแล้วลืมไว้ในแฟ้มเอกสาร
ผมก็เรียกมาตักเตือน จนมาปีหลังสุดผมให้ไปตัดรำคาญ เขาคงแค้นกราบก็แล้วอะไรแล้วยังไม่ได้สักที"
และชยุติให้ข้อมูลเพิ่มว่า "มานิตย์เพียรมาบอกให้ผมพูดกับอธิบดีไกรศรี
แทบจะกราบพื้นแต่ผมบอกการตั้งซี 8 เป็นเรื่องของอธิบดีผมไม่เกี่ยว"
ปัจจุบันมานิตย์ได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้อำนวยการกองป้องกัน ซึ่งเป็นกองที่มีความสำคัญมากกองหนึ่ง
และการที่คณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) ที่เป็นผู้พิจารณาขั้นสุดท้าย
โดยลงมติ 5:4 ยืนยันตามความเห็นของคณะกรรมการสอบวินัย 1 ใน 5 มีนายวิโรจน์ซึ่งเป็นผุ้เสนอเรื่องขึ้นมาโดยมารยาทแล้วควรงดออกเสียง
นอกจากนี้นิตยสาร "สู่อนาคต" กล่าวว่า มีอธิบดีกรมหนึ่งไม่ยอมเข้าประชุมโดยปรารภกับผู้ใกล้ชิดว่า
"เรื่องของคนเขาจะฆ่ากัน เรื่องอะไรเอาผมไม่เกี่ยว" ซึ่งเป็นคำพูดที่สะท้อนอะไรได้เยอะทีเดียว
จากกรณีที่เกิดขึ้นมีหลายคนพูดว่า "ไกรศรี-ชยุติ เป็นปลาที่ตายในน้ำตื้นมากๆ"
เพราะเป็นเรื่องเล็กน้อย ที่ถูกประโคมจนเป็นข่าวใหญ่ ในที่สุดจบลงด้วยบท
"โหด" เหมือนเป็นบทที่ถูกเขียนไว้แล้ว
จากการพยายามเสาะหาเหตุผลมาอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้น "ผู้จัดการ"
พบว่าเป็นเรื่อง "น้ำเน่า" มาก เป็นเรื่องอคติส่วนบุคคลที่เกิดจากความแค้นเอง
ซึ่งเมื่อมีโอกาสแล้วต้อง "ฆ่า" ให้อาสัญ!?
ชยุติ จิระเลิศพงษ์ (อ่านประวัติเขาจากล้อมกรอบ) เป็นนักกฎหมายมือฉกาจของกระทรวงการคลัง
รับราชการ 9 ปี ได้เป็นถึงนิติกร 9 ที่ปรึกษากฎหมายกระทรวงการคลัง เป็นคนที่อดีตปลัดชาญชัย
ลี้ถาวรเรียกใช้บ่อยมาก จนดูเป็นคนสนิทของปลัดและช่วงนั้นเขาแก้ปัญหากรณีพิพาทที่ชุมชนพระราม
4 สำเร็จ งานชิ้นนี้สมหมายพอใจมาก ชยุติก็เลยถูกกล่าวขานว่าเป็นหลายปู่อีกคน
วิโรจน์ เลาหะพันธ์ เคยเป็นรองปลัดหลายปี ในสมัยที่ชยุติเป็นที่ปรึกษากฎหมาย
ชาญชัยเป็นปลัด เป็นช่วงที่วิโรจน์คงเป็นรองปลัดตลอดโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
แม้ว่าจะมีการเพียรเสนออย่างไร และเมื่อถึงวันที่วิโรจน์ได้ออกสู่สนามการเป็นอธิบดีก็เกิดไปได้กรมธนารักษ์
ซึ่งเป็นกรมที่ "อบเชย" ที่สุดในกระทรวงการคลัง ซึ่งไม่เป็นที่สบอารมร์วิโรจน์เป็นอันมาก
ว่ากันว่าอดีตรัฐมนตรีสุพัฒน์ สุธาธรรมต้องการให้วิโรจน์ไปสรรพสามิต แต่ปลัดชาญชัยยืนยันจะให้ไปธนารักษ์
(แหล่งข่าวกล่าวว่าวิโรจน์โกรธปลัดมาก ตามปกติทุกเสาร์-อาทิตย์ จะรับปลัดไปตีกอล์ฟ
แต่หลังจากนั้นไม่ไปรับอีกเลย) และมันก็ช่วยไม่ได้ถ้าจะมีคนเข้าใจไปว่าชยุติคงมีส่วนทำให้ปลัดชาญชัยวางแนวไปเช่นนั้น
เหมือนฟ้าดินบันดาล ชยุติก็ถูกย้ายไปเป็นรองอธิบดีกรมธนารักษ์ภายใต้อธิบดีที่ชื่อวิโรจน์
เลาหะพันธ์ เมื่อข่าวนี้ออกมาตอนแรกวิโรจน์ไปพูดกับปลัดชาญชัยว่า คนที่ธนารักษ์เขาบอกว่าถ้า
"รอง" มาจากคนนอกเขาจะเดินขบวน ปลัดชาญชัย บอกวิโรจน์ว่าถ้าธนารักษ์เดินขบวนอธิบดีต้องรับผิดชอบ
ว่ากันว่าวิโรจน์ไม่สบอารมณ์มากกลับมาบอกกับลูกน้องว่าทางกระทรวงจะส่งรองมาคุมอธิบดี
เขาจะแกล้งแช่รองคนนี้ให้เห็นสักที ก็เป็นการประกาศศึกตั้งแต่ชยุติยังไม่มาด้วยซ้ำ
ชยุติเข้ามาเป็นรองฝ่ายทำเหรียญ พร้อมกับการทำงานให้สมหมายเรื่องชุมชนพระราม
4 และรับงานจากกระทรวงที่ไม่เกี่ยวกับธนารักษ์อยู่เนืองๆ ยังความไม่พอใจแก่วิโรจน์มาก
กล่าวกันว่าเวลา 2 ปีที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน ความขัดแย้งของสองคนนี้ยิ่งกว่าฤทธิ์มีดสั้นของลี้คิมฮวงเสียอีก
ทั้งคู่โคจรมาพบกันอีกครั้ง เมื่อวิโรจน์ถูกย้ายมาเป็นอธิบดีกรมศุลกากร
ส่วนชยุตินั้นเป็นรองอธิบดีอยู่ก่อนแล้ว
มาวันแรกวิโรจน์สั่งย้ายข้าราชการระดับซี 8 สลับตำแหน่งกันเกือบหมด ซึ่งชยุติดูรายชื่อแล้วเขาคัดค้านการโยกย้ายทั้งหมดว่าไม่เหมาะสม
แต่วิโรจน์ยืนยันที่จะทำตามความคิดของตน ช่วงหลังจากนั้นชยุติ "ถูกแขวน"
อีกครั้งหนึ่ง ความขัดแย้งของคนคู่นี้เป็นที่รู้โดยทั่วไปเมื่อมีคนเสนอเรื่องซึ่งอาจจะเอาผิดกับชยุติได้เขาก็ไม่รีรอ
ว่ากันว่าวิโรจน์อยากให้ชยุติไปพ้นหูพ้นตามานานแล้วแหล่งข่าวบางกระแสยืนยันว่า
วิโรจน์ไม่ได้ตั้งใจไปฟันไกรศรีเข้าให้ด้วย แต่สถานการณ์พาไป
นอกจากนี้เรื่องเป็นการเสนอผ่านมาทาง ดร.กล่อม อิสระพันธ์ รองอธิบดีคนหนึ่งซึ่งปัจจุบันเกษียณไปแล้ว
ซึ่งเป็นที่รู้กันในกรมศุลฯ ว่าเขาเป็นไม้เบื่อไม้เมากับชยุติ เรื่องจึงถูกส่งต่อไปยังวิโรจน์อย่างรวดเร็ว
ส่วนไกรศรี จาติกวนิช ช่วงที่เขาอยู่กรมศุลกากร 4-5 ปี เขาต้องการปรับสายงานให้เข้ากับนโยบายการพัฒนาการส่งออกและแก้ปัญหาที่พ่อค้าได้รับการดำเนินงานที่ล่าช้าของกรมศุลกากร
"คุณไกรศรีเข้ามาได้ปีกว่าก็ได้ใช้แต่คนเก่าๆ ตลอด จนวันหนึ่งแกคงทนไม่ได้ที่งานที่สั่งไว้ถูกดำเนินการล่าช้า
แกก็เลยต้องการจะปรับปรุงโครงสร้างของบุคลากรเสียใหม่ ตอนนั้นต้องยอมรับว่าแกใจกล้ามาก
เพราะแกเลือกและเลื่อนตำแหน่งคนหนุ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และข้ามหัวคนเก่าโดยไม่สนใจเรื่องอาวุโส
คุณจะไปโทษแกไม่ได้ เพราะแกต้องการให้โอกาสคนมีฝีมือและคนหนุ่มมักจะมีไฟ
ถึงกับตอนนั้นปลัดพนัส พูดกับอธิบดีไกรศรีว่าต้องรับผิดชอบนะที่เข็นแต่คนหนุ่มขึ้นมาข้ามหัวคนแก่
คุณไกรศรีแกก็บอกว่าแกพร้อมจะรับผิดชอบ" แหล่งข่าวในกระทรวงการคลังพูดให้
"ผู้จัดการ" ฟัง
แน่นอนที่สุดคนที่อาวุโสกว่าที่ไม่ได้เลื่อนตำแหน่งก็ต้องไม่พอใจเป็นธรรมดา
"คุณไกรศรีเองก็มีข้อเสียที่แกเป็นคนไม่มีมนุษยสัมพันธ์ เป็นคนประเภทยอมหักไม่ยอมงอ
และไม่สนใจใครจนเกือบจะกลายเป็นคนรั้นแบบหัวชนฝา ฉะนั้นใครมีปฏิกิริยากับแกมากแกก็ย้ายโครมเลยโดยไม่สนใจและถ้าแกคิดว่าใครมีฝีมือทำงานได้
แกก็จะเสนอตั้งทันทีไม่แคร์ใครเหมือนกันว่าจะข้ามหัวใครบ้าง" แหล่งข่าวคนเดิมกล่าว
สี่ปีที่ไกรศรีเป็นอธิบดีคือสี่ปีของการที่ฝ่ายหนึ่งได้ทำงานอย่างหนักในตำแหน่งที่ใครๆ
ก็อยากได้ และขณะเดียวกันก็เป็นสี่ปีที่อีกฝ่ายต้องถูกโยกย้ายกระจัดกระจายไปตามที่ต่างๆ
ดังนั้นคนที่ไม่พอใจไกรศรีจึงมีอยู่หลายระดับ คนที่ร่วมเป็นพยานกล่าวหาไกรศรีคนหนึ่งคือแสวง
บุญชื่น เป็นสารวัตรศุลกากร 7 ซึ่งเป็นคนสนิทของอดีตอธิบดีนาค ไวยหงส์ ในสมัยไกรศรีแสวงโดนสั่งไปอยู่หนองคาย
(เดิมเป็นนายด่านอยู่ทางใต้) ซึ่งคนกรมศุลฯ รู้กันดีว่าเป็นที่แห้งแล้งแสวงนั้น
ป.ป.ป. เคยส่งข้อกล่าวหามาที่กรมศุลฯ ว่าเป็นผู้สร้างหลักฐานเท็จ มีเรื่องกับตำรวจกรณีจับของที่กรมศุลฯ
ก่อนหน้านี้แสวงเคยขอเข้าพบรองอธิบดีกรมศุลฯ คนหนึ่ง เพื่อขอให้ลูกชายที่เป็นเจ้าหน้าที่แผนกสื่อสารกองป้องกัน
ไปเรียนต่อที่อเมริกาโดยขอรับทุนจากกรม คือขอให้จ่ายเงินเดือนระหว่างการเรียนด้วย
และพูดเป็นนัยๆ ว่าเขารู้ว่ารถทีอธิบดีเคยขับนั้นเสียภาษีไม่ถูกต้อง คล้ายกับจะต่อรอง
"คุณไกรศรีแกไม่ยอม แกไม่รู้เรื่องรถอะไรด้วยหรอก แกไม่อนุมัติให้จ่ายเงินเดือน
ส่วนจะไปเรียนก็ไป เพราะสายที่เขาจะไปเรียนต่อไม่ใช่ความต้องการของกรม"
แหล่งข่าวระดับสูงในกรมศุลฯกล่าวกับ "ผู้จัดการ"
แสวงได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าฝ่ายสืบสวนการป้องกัน เมื่อเร็วๆ นี้
ซึ่งกองนี้เป็นกองที่มีพาวเวอร์เพราะมีเรื่องเงินรางวัลด้วย แสวงเป็นลูกน้องโดยตรงของมานิตย์
ยุคของวิโรจน์ จึงเป็นยุคที่คนเก่าๆ ที่เคยถูกข้ามหัวไป กลับมีอำนาจขึ้นมาเป็นทิวแถว
ขณะที่คนที่สนิทกับไกรศรี ก็จะถูกย้ายไปอยู่ในหน่วยงานที่ไม่ค่อยมีความสำคัญ
สำหรับวิโรจน์กับไกรศรี ทั้งคู่ไม่เคยทำงานร่วมกัน ไม่เคยไปมาหาสู่กัน
เคยกินข้าวด้วยกันตามงานไม่เกินสองครั้ง แต่ไม่เคยปรากฏว่าคนคู่นี้มีเรื่องขัดแย้งกันแต่ประการใด
คนกรมศุลฯคนหนึ่งวิจารณ์วิจารณญาณของวิโรจน์ว่า "ความจริงถ้าวิโรจน์
ทำใจเป็นกลางเสียแต่ทีแรกที่ทราบเรื่องก็ยุติได้ เพราะจริงๆ แล้วเป็นเรื่องรถคันเดียว
และรถดังกล่าวก็ถูกจับและยึดเป็นของแผ่นดินเรียบร้อยแล้ว แต่เท่าที่ผมทราบแทนที่จะเป็นเช่นนั้นเขากลับสนับสนุน
คุณเข้ามาตรวจสอบในกรมศุลฯ ได้เลยว่าพวกพยานทั้งหลายได้ 2 ขั้นกันเป็นทิวแถวเลย"
แหล่งข่าวกล่าว
ตรงนี้ถ้าวิเคราะห์โดยดูจากวัฒนธรรมการขึ้นสู่อำนาจของผู้ใหญ่ในบ้านเรา
มักจะมีลักษณะสองประการคือ 1) ต้องเอาอกเอาใจผู้ใหญ่เก่งหรือพูดง่ายว่า "เชลียร์"
2. การพยายามขจัดคู่แข่งที่จะขึ้นสู่อำนาจ แหล่งข่าวระดับสูงในกระทรวงการคลังกล่าวว่าขณะนี้กระทรวงอยู่ในระหว่างการพิจารณาว่าตำแหน่งปลัดนั้นควรจะอยู่ได้ไม่เกิน
4 ปี ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นปลัดพนัสที่อยู่มา 5 ปีแล้วก็อาจจะพ้นวาระไป ตำแหน่งปลัดกระทรวงก็อาจจะว่าง
ทั้งคู่ซึ่งมีอายุราชการเหลือใกล้เคียงกันก็อาจจะมีสิทธิทั้งคู่ ทฤษฎีการขึ้นสู่อำนาจนี้อาจจะถูกหรือผิดก็ได้
ทิ้งไว้เป็นปริศนาก็แล้วกัน
หากเราจะวิเคราะห์ต่อไปว่าทำไมเรื่องนี้จึงถึงทำเนียบได้ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องรถคันเดียว
กระทรวงการคลังตั้งกรรมการขึ้นมาสอบสวนเองก็ได้ แหล่งข่าวระดับสูงในทำเนียบรัฐบาลกล่าวกับ
"ผู้จัดการ" ว่า เรื่องนี้คนที่รู้เรื่องดีคือมีชัย ฤชุพันธ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายก
และประสงค์ สุ่นศิริ ซึ่งถ้าเราดูว่าเพื่อนกลุ่มไหนของมีชัยที่เป็นอริกับไกรศรี
จะพบว่ามีมานะศักดิ์ อินทรโกมาลย์สุต อดีตกรรมการผู้จัดการธอส. (ธนาคารอาคารสงเคราะห์)
ที่ถูกไกรศรีปลด ปัจจุบันเป็นส.ส.โคราช เพื่อนกลุ่มเดียวกับเขามีชัชวาล อภิบาลศรี
(ลูกชายอดีตรองอธิบดีกรมศุลฯ-เชิญ อภิบาลศรี ปัจจุบันชัชวาลเป็นวุฒิสมาชิก
และปรีชา ชวลิตธำรงค์เดิมเป็นหัวหน้าฝ่ายสอบสวนกองป้องกัน ปัจจุบันได้ขึ้นเป็น
ผอ.กองวิเคราะห์ราคา เป็นเด็กติดตามกลุ่มนี้…ผมว่าสายนี้แหละ
ปรีชา ชวลิตธำรงค์เคยพยายามจะชวนไกรศรีเข้ากลุ่ม เคยพูดทำนองว่าให้ไปพักบ้านชัชวาลที่หัวหินซึ่งมีชัยไปประจำ
แต่ไกรศรีไม่สนใจเพราะมีบ้านของตัวเองที่ชะอำอยู่แล้ว
ส่วนมานะศักดิ์นั้น ไกรศรีเขียนชี้แจงข้อกล่าวหาและแนบประวัติการทำงานของตน
ตอนหนึ่งเขียนถึงการทำงานที่ธอส.ว่า "…การแก้ปัญหาความเสียหายและฟื้นฟูธนาคารให้ได้ผลประการแรกคือ
จักต้องเปลี่ยนตัวผู้จัดการซึ่งในขณะนั้นคือนายมานะศักดิ์ อินทรโกมาลย์สุต…ตั้งแต่นั้นมามานะศักดิ์
ก็มีความเคียดแค้นข้าฯ และตั้งตนเป็นอริกับข้าฯ ตลอดมา โดยพยายามใช้อำนาจหน้าที่จากตำแหน่งทางการเมืองซึ่งเป็นส.ส.ในปัจจุบัน…"
อย่างไรก็ตามมานะศักดิ์ให้สัมภาษณ์ "ผู้จัดการ" ทางโทรศัพท์ว่า
เขาไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมสื่อมวลชนจึงพยายามวิเคราะห์เรื่องของไกรศรีให้เกี่ยวกับตัวเขา
ทั้งๆ ที่เรื่องที่ธอส. ก็จบไปตั้งนาน และเขาไม่เคยโกรธแค้นไกรศรี เพราะคราวนั้นเขาถือว่าเป็นมติครม.
ซึ่งเขาก็ยอมรับโดยดุษฎี
แหล่งข่าวอีกกระแสหนึ่งวิเคราะห์ว่า "นอกจากเหตุผลที่ควรจะตัดไฟเสียแต่ต้นลมแล้ว
ในทางการเมืองนั้นเมื่อคราวที่นายทหารใหญ่คนหนึ่งเตรียมที่จะทำการรัฐประหาร
(แต่ไม่กล้าทำ) ได้มีการเตรียมโผครม. ปรากฏว่ามีชื่อไกรศรีเป็นรมต.ช่วยว่าการกระทรวงการคลังด้วย
นี่อาจจะเป็นอีกเหตุหนึ่งที่กุนซือของ พล.อ.เปรมอย่างประสงค์ สุ่นศิริ หวาดระแวงไกรศรี
ก็เลยถือเป็นการตัดไฟเรื่องการเมืองเสียอีกทาง"
ไกรศรีกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่าเขาไม่เคยใฝ่ฝันจะเข้าสู่วิถีทางการเมืองเลย
กับนายทหารใหญ่ผู้นั้น "ท่านเคยส่งคนมาขอส่วนประกอบรถอัลฟาโรมิโอจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นของตกค้างที่กรมศุลฯ
เพื่อไปใช้ในราชการหน่วย 123 ผมก็ให้ไป และอีกครั้งตอนที่ท่านไปตรวจราชการที่ได้
ก็เอาผมไปช่วยจับของเถื่อน แล้วก็ไม่เคยไปมาหาสู่กันเลย" ไกรศรีเล่า
นอกจากนี้ในตำแหน่งอธิบดีกรมศุลฯ เป็นกรมใหญ่ที่มีผลประโยชน์มาก มักจะมีข้าราชการการเมืองมาขอใช้อภิสิทธิ์อยู่เนืองๆ
ซึ่งไกรศรีเป็นคนแข็งไม่เคยยอม อาจจะทำให้หลายคนไม่พอใจ
ดูเหมือนไกรศรีจะมีศัตรูอยู่รอบทิศ ซึ่งถ้าถามเขาจริงๆ ว่าใครทำเขาในครั้งนี้
เขาเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน เพียงแต่ก็พอรู้และปักใจเชื่อว่าเป็นใครบ้าง
สำหรับกรณีนี้วิโรจน์อาจจะเป็นเพียงตัวชูโรงให้ใครต่อใครอีกหลายคน อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้วิโรจน์อาจจะทำไปตามหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ใจมีแต่ตัววิโรจน์เท่านั้นที่จะรู้ว่าความจริงเป็นเช่นไร
เสียดายที่วิโรจน์ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้กับ
"ผู้จัดการ" ด้วยเหตุผลว่า "ไม่ว่าง" มิฉะนั้นคงได้ข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่น่าสนใจ
กรณีไกรศรี-ชยุติ เกิดขึ้นเมื่อกลางปี 2530 ต้นมกราคมก็พิจารณาเสร็จหมดทุกขั้นตอนนับว่าเป็นการทำงานที่มีประสิทธิภาพยิ่งเชื่อกันว่าการที่เรื่องนี้เสร็จเร็ว
"เพราะนายกฯลงมาเล่นเอง" เมื่อกรรมการสอบวินัย แจ้งผลไปยังทำเนียบ
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ได้ลงนามเห็นด้วยและแทงเรื่องมาให้ อ.ก.พ. กระทรวงลงโทษ
"โดยไม่มีลายเซ็นนายกฯ" จนในที่สุด อ.ก.พ.ก็ตัดสินคงตามความเห็นดังกล่าว
"ผมว่าเรื่องนี้อ.ก.พ.ถูกแทรกแซง เพราะเมื่อมีความเห็นนายกฯ แทงมาและที่สำคัญเรื่องนี้ได้กลายเป็นเรื่องการเมืองระดับชาติไปแล้ว
ถ้าผลออกมาปรากฏว่าไม่ผิด รัฐบาลจะเสียหน้ามาก" แหล่งข่าววิเคราะห์
กรณีที่เกิดขึ้นครั้งนี้มีการวิเคราะห์กันไปต่างๆ มีความเห็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ
มีการใช้กลไกของรัฐและช่องว่างทางกฎหมาย (เช่นการตีความคำว่ามีมลทินมัวหมอง)
ทำลายกัน และเห็นได้ชัดว่าข้าราชการการเมืองบีบข้าราชการอยู่ในทีแม้ว่าข้าราการประจำด้วยกันจะลงมือกันเองด้วยก็ตาม
พงศ์เพ็ญ ศกุนตภัย รองศาสตราจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงผลกระทบต่อข้าราชการประจำโดยทั่วไปว่า
"ผมว่าจะทำให้ข้าราชการที่ดีไม่มีขวัญและกำลังใจ บ้านเรายังไม่มีกลไกทางกฎหมายที่ควบคุมนักการเมือง
ดังนั้นข้าราชการการเมืองสามารถใช้อิทธิพลทางกฎหมายบีบข้าราชการประจำตลอดเวลา
ผมพูดในกรณีทั่วไปว่าถ้าข้าราชการประจำไม่ตอบสนองข้าราชการการเมือง สิ่งที่ตนได้รับอาจจะหมายถึงการหลุดออกจากตำแหน่ง
หรือการถูกโยกย้าย"
ไกรศรี-ชยุติ เขาถูกตัดสินให้ออกจากราชการซึ่งก็หมายถึงการจบชีวิตราชการ
ถ้าเขาเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมก็มีสิทธิ์ที่จะอุทธรณ์กับคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนได้
แต่ก็ไม่มีหลักประกันใดๆ ว่าเขาจะได้รับความเป็นธรรมหรือไม่เพราะคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนก็มีผู้บังคับบัญชาคือรัฐบาลเหมือนกัน
ในอดีตอำนวย วีรวรรณ ถูกปลดออกจากตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง ในสมัยรัฐบาลธานินทร์ซึ่งเขายื่นอุทธรณ์
แต่กว่าจะพ้นพงหนามก็ต่อเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลเป็นนายกชื่อพลเอกเกรียงศักดิ์
กรณีนี้มิต้องรอให้เปลี่ยนรัฐบาลกันก่อนหรือ?
"ปัจจุบันเราไม่มีกลไกอะไรจะไปยกเลิกคำสั่งนายกฯได้ ปัญหานี้ทำให้ข้าราชการประจำต้องสยบยอมข้าราชการการเมือง
ถ้ามีคำสั่งนายกฯ มานี่คุณจบเลย ศาลปกครองคือที่พึ่งสุดท้ายจริงๆ ปัจจุบันเรามีแต่ศาลแพ่ง
ศาลอาญา ศาลปกครองมีหน้าที่พิจารณาคดีระหว่างรัฐกับราษฎร และเจ้าหน้าที่ของรับกับผู้ใต้บังคับบัญชา
เป็นองค์กรอิสระที่ไม่อยู่ภายใต้อำนาจของใคร ซึ่งในประเทศที่เจริญแล้วอย่างอังกฤษ-ฝรั่งเศส
เขามีในรูปแบบต่างๆ กันไป ศาลปกครองนี่จะเข้าควบคุมการใช้อำนาจของนักการเมือง
สมัยที่ผมเป็นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญปี 2517 เคยบรรจุเรื่องนี้ไว้ แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากนักการเมือง
ทั้งที่บุคลากรของเราที่จบมาทางกฎหมายมหาชนมีมากมาย ถ้ามีศาลปกครองไกรศรี-ชยุติสามารถฟ้องศาลปกครองให้ยกเลิกคำสั่งที่กฎหมายมหาชนที่จบจากสำนักฝรั่งเศสอธิบายถึงสรรพคุณของศาลปกครอง
แต่ตราบใดที่บ้านเมืองเรายังปกครองแบบกึ่งเผด็จการ ศาลปกครองคงไม่มีวันได้ผุดได้เกิดและวัฏจักรแห่งการเข่นฆ่ากันก็คงจะยังอยู่
(โดยปราศจากกลไกถ่วงดุล) ขึ้นอยู่กับว่าใครสามารถช่วงชิงโอกาสยามที่อีกฝ่ายพลาดพลั้ง
วัฏจักรน้ำเน่าคงเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกนานนัก???