จากซื้อทุกอย่างกลายเป็นต้องทำทุกอย่าง


นิตยสารผู้จัดการ( กุมภาพันธ์ 2531)



กลับสู่หน้าหลัก

ดูเหมือนจะได้กลายเป็นประเพณีไปแล้วที่วันหนึ่งในรอบปี ชมรมประชาสัมพันธ์ธนาคารพาณิชย์ไทย ซึ่งเป็นชมรมของเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของ 16 แบงก์พาณิชย์สัญชาติไทยทั้งหลายจะจัดงานสังสรรค์กัน และถือโอกาสเชื้อเชิญบรรดาผู้สื่อข่าวเข้าร่วมและกระชับสายสัมพันธ์ด้วย

เย็นย่ำวันศุกร์ที่ 22 มกราคมที่ผ่านมาก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ชมรมเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น

ปกติทุกๆ ปีก็จะมีแบงก์ๆ หนึ่งทำหน้าที่เป็นแกนจัดงาน และปีนี้เป็นปีที่ถึงคิวของธนาคารกรุงเทพ ส่วนสถานที่ก็เป็นที่ห้องจัดเลี้ยงขนาดกะทัดรัดของโรงแรมวินเซอร์ย่านสุขุมวิท ซึ่งเจ้าภาพคงพยายามจะฝึกความอดทนของแขกด้วยการจัดให้ห้องจัดเลี้ยงอยู่บนชั้นบนสุดของโรงแรม กว่าจะขึ้นไปถึงงานได้ก็ต้องฝ่าการจราจรที่คับคั่งบริเวณหน้าลิฟท์เล็กๆ น้อยๆ และยืนคอยลิฟท์อีกสักพักก่อนจะพาตัวเองเบียดเสียดเยียดยัดเข้าไปให้สำเร็จ

ถ้าเป็นนโยบายประหยัดเรียบง่ายไม่อู้ฟู่เกินตัวจนเสียสมดุลของความเป็นนักประชาสัมพันธ์แล้วก็ต้องถือว่าเป็นงานที่จัดกันใช้ได้

แม้ว่าจำนวนแขกผู้สื่อข่าวจะน้อยกว่าจำนวนแขกและเจ้าภาพที่เป็นคนแบงก์เถอะ

งานคืนนั้นนอกจากคนจากฝ่ายประชาสัมพันธ์ธนาคารต่างๆ แล้ว ผู้ใหญ่ของแบงก์หลายท่านก็ให้เกียรติมาร่วมงานด้วย

สุภชัย มนัสไพบูลย์ ย่อมต้องมาแน่นอนอยู่แล้วเพราะถ้าจะว่าไปก็มีฐานะเป็นแม่งานกลายๆ ในฐานะผู้ดูแลฝ่ายประชาสัมพันธ์ของธนาคารกรุงเทพที่เป็นแกนจัดงานครั้งนี้ ซึ่งปรากฎว่าอยู่ต้อนรับขับสู้ตั้งแต่เปิดงานจนปิดงานด้วยท่วงทำนองเป็นกันเองอย่างไร้ข้อตำหนิ

ปิยะบุตร ชลวิจารณ์ จากสหธนาคารมากับรังสิน สืบแสง

เพ็ญศรี แก้วเจริญ ภรรยา ศุกรีย์ แก้วเจริญ กับไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม จากไทยทนุ

วรวีร์ หวั่งหลี จากนครธน

ซึ่งแต่ละคนถูกห้อมล้อมโดยผู้สื่อข่าวมากหน้าหลายตาตามปกติ คือไหนๆ ก็พบกันแล้วถือเป็นโอกาสหาข่าวไปด้วย

งานเริ่มไปได้พักใหญ่ แขกอีกคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาในงานเป็นแขกจริงๆ เสียด้วย

เขามาจากแบงก์แหลมทองและเขาชื่อสุระ จันทร์ศรีชวาลา

ก็นับเป็นเรื่อง "เซอร์ไพรซ์" พอสมควรที่ทุกคนได้เห็นสุระในงานนี้

สุระอยู่ร่วมงานพักใหญ่ๆ ซึ่งทุกวินาทีหมดไปกับการเวียนไปโต๊ะโน้นโต๊ะนี้ที่ล้วนรายล้อมไปด้วยผู้สื่อข่าวจากหลายๆ ฉบับ

มีคำถามมากมายที่เขาถูกถามและมีคำตอบมากมายอยู่ตอบกลับไปจากปากของสุระ ซึ่งถ้าจะขมวดรวมแล้วก็อยู่ใน 2 ประเด็นใหญ่ๆ คือเรื่องหนี้ที่สุระมีอยู่กับกรุงไทย และสถาบันการเงินในเครือกับเรื่องแบงก์แหลมทองที่แม้ว่าฝุ่นจะจางลงไปมากแล้วแต่ก็ยังมีเรื่องที่จะต้องทำอีกไม่น้อย

สุระนั้นเข้ามาในแบงก์แหลมทองพร้อมๆ กับบอร์ดชุดใหม่และว่ากันว่า ประกายเพชร อินทุโสภณ จะลาออกจากโอสถสภาเต๊กเฮงหยูมาทำหน้าที่กรรมการผู้จัดการแทนสมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์

แต่ปรากฏว่าเอาเข้าจริง ประกายเพชรไม่มา

มีการพูดถึงอีกหลายคนที่บอกกันว่าถูกทาบทามให้มานั่นเก้าอี้กรรมการผู้จัดการ

แต่ก็ยังไม่มีอะไรที่จะเป็นจริงเป็นจัง การบริหารงานจึงต้องทำโดยบอร์ดบริหารหรือถ้าจะบอกว่าสุระต้องรับภาระไปพลางๆ ก็คงจะไม่ผิด

หากมองกันว่าแหลมทองมีปัญหากองสุมไว้ในบอร์ดชุดใหม่มากมาย

ก็คงจะเป็นภาวะที่สุระจะต้องเหนื่อยต่อไปอีกไม่น้อย

เพราะแม้แต่งานประชาสัมพันธ์ สุระก็ต้องลงมือทำเอง แล้วจะไม่ให้เหนื่อยได้อย่างไร

"แต่ผมเชื่อมั่นมากที่ปีนี้จะทำให้แบงก์โตขึ้นมา 25%" สุระบอกกับ "ผู้จัดการ"

โดยเขาบอกว่าไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงมากมายอะไรเนื่องจากทรัพย์สินของแหลมทองก็เพียงราวๆ 5 พันล้านเท่านั้น

และเมื่อถามว่าจะให้ความสนใจธุรกิจใดเป็นพิเศษ เขาตอบอย่างฉับไวว่าหลักของเขาก็คือการปล่อยเงินให้กับธุรกิจรีบเอสเตทซึ่งเป็นงานที่เขาถนัดจัดเจนมากที่สุด

มีคนถามสุระว่าถึงวันนี้ยังเหนื่อยอยู่อีกไหม เขาตอบว่าถ้าเปรียบเทียบกับวันแรกที่เข้ามาในแบงก์แล้วก็เหนื่อยน้อยลงไปเยอะ

"วันนั้นถ้าผมระดมเงินเข้ามาไม่ทัน ป่านนี้เขายึดแบงก์ไปแล้วครับ ผมวันนั้นเรียกว่าถ้าต้องการเอาตัวเองไปจำนำเพื่อเอาเงินมาผมทำทั้งนั้น เอาเข้าวันเดียวรุ่งเช้าถอนออกก็ยังดีเพราะเขาจ้องผมมาก ผมระดมเงินไม่ทันผมซวย…" สุระเล่าโดยไม่ยอมบอกว่าใครคือเขา จะให้เดาว่าแบงก์ชาติก็ดูจะโหดร้ายไปหน่อยก็อย่าเดาดีกว่า

เอาเป็นว่าวันนี้ของสุระก็ยังคงเป็นสุระที่ยังเหนื่อยอยู่

และไม่มีใครรู้ว่าจะต้องเหนื่อยไปอีกกี่มากน้อย



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.