กรุงศรีฯออกหุ้นกู้1.2หมื่นล้านรีไฟแนนซ์ลดต้นทุนดอกเบี้ย


ผู้จัดการรายวัน(5 กันยายน 2546)



กลับสู่หน้าหลัก

บอร์ดแบงก์กรุงศรีอยุธยา อนุมัติออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิ มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท เพื่อนำเงินไปไถ่ถอนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดปีหน้า หวังลดภาระต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงถึง 11-12% ด้านผู้บริหาร ยันไม่เกี่ยวกับนโยบายของแบงก์ชาติที่ให้ธนาคารพาณิชย์มีการตั้งสำรองเพิ่ม ระบุสำรองอยู่ที่ระดับ 130% แล้ว

นายกฤตย์ รัตนรักษ์ ประธานกรรมการ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือ BAY กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารครั้งที่ 9/2546 เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2546 ได้มีมติให้ออกและเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ไม่มีหลักประกัน ไม่แปลงสภาพ มูลค่าไม่เกิน 12,000 ล้านบาท โดยจะเสนอขายหุ้นกู้แบบกรณีทั่วไป ตามประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมทั้งธนาคารมีแผนที่จะนำหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ออกในครั้งนี้เข้าจดทะเบียนในศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทยด้วย

สำหรับวัตถุประสงค์ของการเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าว เพื่อประโยชน์ในการเสริมฐานะเงินกองทุนชั้นที่ 2 และลดต้นทุนทางการเงินของธนาคาร ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมในการไถ่ถอนหุ้นกู้ด้อยสิทธิของธนาคารที่จะครบกำหนด และเพื่อการขยายธุรกิจธนาคารในอนาคต

ส่วนรายละเอียดและเงื่อนไขเกี่ยวกับหุ้นกู้ด้อยสิทธิ และรายละเอียดของการเสนอขาย อาทิ มูลค่าที่ตราไว้ อัตราดอกเบี้ย ราคา เสนอขาย การไถ่ถอน ระยะเวลาการออกและเสนอขาย วิธีการจัดสรร รวมถึงดำเนินการที่เกี่ยวข้องหรือจำเป็นในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิ และ/หรือการไถ่ถอนหุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าว ได้มอบหมายให้คณะกรรมการบริหาร หรือบุคคล ที่คณะกรรมการบริหารมอบหมาย หรือประธานกรรมการ หรือกรรมการผู้จัดการใหญ่เป็นผู้ดำเนินการ

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคาร ยังได้มีมติให้งดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก สิ้นสุด วันที่ 30 มิถุนายน 2546 เนื่องจากยังมีขาดทุนสะสม ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535

แหล่งข่าวจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่าธนาคารมีนโยบายที่จะไถ่ถอนหุ้นกู้ด้อยสิทธิทั้งหมดที่มีจำนวนประมาณ 21,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการลดภาระต้นทุนอัตราดอกเบี้ย จึงได้เสนอคณะกรรมการให้อนุมัติออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิจำนวน 12,000 ล้านบาท เพื่อเตรียมพร้อมของการไถ่ถอนหุ้นกู้ของเก่าจำนวนดังกล่าว

สำหรับจำนวนหุ้นกู้ด้อยสิทธิของธนาคารที่มีจำนวน 21,000 ล้านบาทนั้น ส่วนหนึ่งเป็นหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ธนาคารได้ออกมาก่อนหน้านี้จำนวน 8,000 ล้านบาท ซึ่งธนาคารมีสิทธิไถ่ถอน ก่อนครบกำหนด (Call Option) ในเดือนพฤศจิกายน 2546 อัตราดอกเบี้ยประมาณ 12.5% และส่วนที่สอง จะเป็นสลิปส์ที่ธนาคารได้ออกมา ช่วงก่อนจำนวน 26,000 ล้านบาท ครึ่งหนึ่งของ สลิปส์จะเป็นหุ้นกู้ด้อยสิทธิจำนวน 13,000 ล้านบาท ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมีนาคม 2547 อัตราดอกเบี้ยที่ออกหุ้นกู้ช่วงนั้นประมาณ 11%

ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ของทั้ง 2 ส่วน ถือว่าเป็นอัตราที่สูงมากเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน ทำให้เป็นภาระต้นทุนในแต่ละปีของธนาคารจำนวนมาก ดังนั้นธนาคารจึงต้อง การที่จะลดภาระดอกเบี้ยที่สูง จึงมีนโยบายที่จะไถ่ถอนทั้งหมด

"การขอมติออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรีไฟแนนซ์หุ้นกู้เดิมที่มีดอก เบี้ยสูงเท่านั้น เพื่อบริหารต้นทุนปกติ ไม่เกี่ยวข้อง กับการตั้งสำรอง เพราะขณะนี้แบงก์มีการตั้งสำรองเกินกว่าเกณฑ์ของแบงก์ชาติกำหนดไว้แล้ว คือมีสำรองประมาณ 130% นับได้ว่าเป็นสัดส่วน ที่สูงมากเมื่อเทียบกับระบบ"

สำหรับฐานะของธนาคารนั้น มีความเข้มแข็งอย่างมาก โดยหลังจากมีการเพิ่มทุนในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง ตามมาตรฐานบีไอเอสประมาณ 12.77% เป็นเงิน กองทุนขั้นที่ 1 ประมาณ 8.5% ที่เหลือจะเป็นเงิน กองทุนขั้นที่ 2 ซึ่งถือว่าสูงกว่าเกณฑ์ธนาคารแห่ง ประเทศไทยกำหนดเท่าตัว และเมื่อรวมกับกำไร ของงวดเดือนมิถุนายนแล้วจะส่งผลให้เงินกอง ทุนของธนาคารสูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้สามารถรองรับการขยายธุรกิจได้อย่างมาก

"แบงก์ไม่มีปัญหาเรื่องเงินกองทุนหรือเรื่องการตั้งสำรอง การขอออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิครั้งนี้วัตถุประสงค์หลักเป็นเพียงการบริหารต้น ทุนที่ลดภาระดอกเบี้ยเท่านั้น ซึ่งมั่นใจว่าดอกเบี้ย ในขณะนี้จะต่ำกว่าช่วงที่ผ่านมาแน่นอน รวมทั้งสภาพคล่องส่วนเกินที่มีอยู่สูงในระบบขณะนี้ จะเป็นตัวสนับสนุนให้หุ้นกู้ด้อยสิทธิของแบงก์เป็นที่สนใจของนักลงทุน" แหล่งข่าวกล่าว

ส่วนระยะเวลาหรือจำนวนที่ธนาคารจะออก หุ้นกู้ด้อยสิทธินั้น ธนาคารคงจะต้องพิจารณากันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมีช่วงที่เหมาะสมแล้ว

ก่อนหน้านี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ได้ทำการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 1,000 ล้านหุ้น ราคาเสนอขายหุ้นละ 10 บาท กำหนดเปิดจองซื้อและรับชำระหุ้นระหว่างวันที่ 19 - 22 สิงหาคม 25746 ที่ผ่านมา ปรากฏว่า ขายได้หมดทั้งจำนวน ทำให้ได้เงินค่าหุ้นรวมทั้งสิ้น 10,000 ล้านบาท หักค่าใช้จ่ายในการขาย 425 ล้านบาท คงเหลือสุทธิจำนวน 9,575 ล้านบาท

BAY-W 1 เทรด 8 ก.ย.นี้

ขณะเดียวกันวานนี้ (4 ก.ย.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานว่าตลาดหลักทรัพย์ฯได้สั่งรับใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1 จำนวน 1,239,067,755 หน่วย เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน และกำหนดให้เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2546 เป็นต้นไป โดยจัดอยู่ในหมวดใบสำคัญแสดงสิทธิและใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ ว่า "BAY-W1"



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.