ยูโรเปี้ยนฟู้ดลดงบทีวีสู้พิษศก. งัดสัมปทานเขตดันรายได้หลัก


ผู้จัดการรายวัน(18 มีนาคม 2552)



กลับสู่หน้าหลัก

“ยูโรเปี้ยนฟู้ด” ปรับกลยุทธ์ ลดต้นทุนสู้พิษเศรษฐกิจ เปิดระบบสัมปทานศูนย์จัดจำหน่ายทั่วประเทศ ปูพรมแล้ว 31 แห่ง ดันเป็นช่องทางพระเอกรายได้หลักสัดส่วน 40% ในอีก 5 ปี พร้อมโยกงบสู่สื่อใหม่ๆและบีโลว์เดอะไลน์มากขึ้น จากเดิมยึดติดสื่อทีวี เจียมตัวปีนี้ขอโตแค่ 5% ต่ำสุดรอบ 10 ปี

นายสมชาติ สุรจิตติพงศ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ยูโรเปี้ยนฟู้ด จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายขนม ลูกอม เวเฟอร์ เลเยอร์เค้ก ของไทย กล่าวว่า บริษัทฯได้เริ่มปรับแผนช่องทางการจำหน่ายใหม่เมื่อปีที่แล้ว โดยเปิดใช้ระบบสัมปทานศูนย์จัดจำหน่าย อายุสัญญา 3 ปี เพื่อให้สามารถกระจายสินค้าเข้าไปสู่ตลาดระดับอำเภอและตำบลมากขึ้น ซึ่งสิ้นปีที่แล้วมีประมาณ 31 ศูนย์ สามารถครอบคลุมพื้นที่จำหน่ายมากกว่า 60 จังหวัดแล้ว จากเดิมที่บริษัทฯดำเนินการเอง

ปีนี้คาดว่าจะตั้งเพิ่มอีก เพื่อให้สามารถครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งบางศูนย์อาจจะดูแลหลายจังหวัด โดยทางผู้รับสัมปทานจะลงทุนเรื่องอุปกรณ์ รถยนต์และพื้นที่ ส่วนบริษัทฯลงทุนด้านระบบ และขายสินค้าให้ ซึ่งช่วงแรกระบบนี้อาจจะยังไม่เห็นผลเรื่องการลดต้นทุน แต่ระยะยาวจากนี้อีก 2-3 ปีจะเห็นชัดเจนว่าลดต้นทุนได้

ทั้งนี้ช่องทางนี้จะมีบทบาทมากขึ้นในอนาคต คาดว่าอีก 5 ปีจากนี้สัดส่วนรายได้จะมาจากช่องทางใหม่นี้ 40% และช่องทางโมเดิร์นเทรดจะเพิ่มขึ้นเป็น 40% ส่วนเทรดดิชันนัลเทรดจะลดลงเหลือ 20-30% จากปัจจุบันสัดส่วนมาจากช่องทางศูนย์จัดจำหน่ายเพียง 20% โมเดิร์นเทรด 30% และเทรดดิชันเทรด 50%

รวมทั้งปรับแผนการใช้งบการตลาดและกิจกรรมที่ตั้งไว้ 100 กว่าล้านบาทเท่าปีที่แล้ว จากเดิมที่เน้นสื่อทีวี 90% และอีก 10% เป็นอื่นๆทั้งสื่อแมกกาซีน สื่อสิ่งพิมพ์ และบีโลว์เดอะไลน์ จะลดสื่อทีวีเหลือ 80% แต่ยังเป็นสื่อหลัก แล้วหันไปเพิ่มสื่ออื่นกับบีโลว์เดอะไลน์เป็น 20% เริ่มใช้กับแบรนด์ ยูโร่คัสตาร์ดเค้กก่อน โดยลงทุน 10 ล้านบาท ใช้สื่อโฆษณารถไฟฟ้าบีทีเอส จำนวน 2 ขบวน สัญญา 1 ปี และมีแคมเปญด้วยร่วมถ่ายรูปกับบีทีเอสที่ทำโฆษณาส่งมาชิงโชค นาน 2 เดือน

กลยุทธ์นี้เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมายยูโร่คัสตาร์ดเค้กไปสู่คนรุ่นใหม่มากขึ้น อีก 20% จากเดิมกลุ่มหลักคือครอบครัว 60% ซึ่งจะทำให้ครองความเป็นผู้นำตลาด 90% ไว้เหนียวแน่นจากมูลค่าตลาดรวมของเลเยอร์เค้กกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งปีนี้จะมุ่งเน้นกลุ่มเค้กมากที่สุด เพราะเป็นขนมที่สามารถทานแล้วอิ่มท้อง สะดวก ราคาไม่แพง เหมาะกับภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ น่าจะจำหน่ายได้ดี

“ภาวะเศรษฐกิจไม่ดีเช่นนี้ทุกคนต้องปรับตัว เพราะยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายทางเลย ต้องลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น สัญญาณไม่ดีเริ่มเห็นสิ้นเดือนกุมภาพันธ์แล้ว ยอดขายรวมลดลงกว่า 10% เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม แต่ยังไม่ลดการผลิต ปรับตัวเลขภายในก่อน แต่ถ้าเทียบกุมภาพันธ์ปีนี้ยังสูงกว่า 5% จากปีที่แล้ว คาดว่าปีนี้ผู้ประกอบการขนมรายเล็กที่มีมากมายจะมีปัญหาแน่” นายสมชาติกล่าว

แม้ว่าปีนี้บริษัทฯจะปรับกลยุทธ์การดำเนินงานแล้วก็ตาม แต่ก็ตั้งเป้ารายได้เติบโตไว้เพียง 5% จากรายได้รวมปีที่แล้ว 2,500 ล้านบาท ถือเป็นอัตราการเติบโตต่ำสุดในรอบสิบปีของบริษัทฯ จากปกติเติบโตเฉลี่ย10% ทุกปี

ปัจจุบันบริษัทฯนี้มีมากกว่า 50 แบรนด์เช่น ยูโร่คัสตาร์ด, โอโจ้, ยูโร่, ครีโก้, เอลเซ่, ปีโป้ เป็นต้น แบ่งสินค้าออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่คือ 1.กลุ่มเค้ก สัดส่วนรายได้ 54% 2.กลุ่มเวเฟอร์ สัดส่วนรายได้ 21% 3.กลุ่มเยลลี สัดส่วนรายได้ 19% 4.กลุ่มอื่นๆเช่นลูกอม หมากฝรั่ง สัดส่วน 6% ซึ่งปีนี้คาดว่าจะมีสินค้าใหม่ออกมาวางตลาดทั้งแบรนด์เดิมในกลุ่มใหม่และแบรนด์ใหม่ โดยปีนี้คาดว่ากลุ่มเค้กน่าจะเติบโตดีที่สุด ขณะที่กลุ่มลูกอมและหมากฝรั่งจะเป็นกลุ่มที่น่าห่วงที่สุด


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.