ชมรมผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับมาตรฐาน ชี้ปีนี้ตลาดอัญมณีไทยโต
30% สูงสุดในรอบ 6 ปี หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ทำตลาดซบ ชมรมฯจับมือร่วมททท.เร่งจัดโรดโชว์ประชาสัมพันธ์ต่างประเทศ
พร้อมเล็งขยาย ตลาดอัญมณีไปยังกลุ่มวัยรุ่น จีน ยุโรป และอเมริกา อนาคตดันไทยเป็นศูนย์
กลางการค้าทับทิม และไพลินสีน้ำเงินระดับโลก เร่งแก้ปัญหาหลอกลวงนักท่อง เที่ยว
ตั้งเป้า 3 ปี โกยรายได้ในประเทศ 60,000 ล้านบาท
นายพรสิทธิ์ ศรีอรทัยกุล ประธานชมรมผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับมาตรฐาน
เปิดเผยว่าภาพรวมตลาดอัญมณีและเครื่องประดับในปีนี้มีแนวโน้ม ที่เติบโตสูงกว่าทุกปีที่ผ่านมา
จากเดิมมีอัตราการเติบโตปีละประมาณ 10-15% คาดว่าในปีนี้สภาพตลาดจะเติบโตถึง 20-30%
ถือเป็นอัตราการเติบโตสูงสุดในรอบ 6 ปี นับจากเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจปี 2540
ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมทั้งในประเทศและนอกประเทศอยู่ในภาวะที่ดีขึ้น
สำหรับแผนการทำตลาดในต่างประเทศ ชมรมฯ ได้วางแผนใช้กลยุทธ์การจัดโรดโชว์
โดยร่วมกับการ ท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และการจัดบูทแสดงสินค้าในประเทศที่เป็นตลาดหลัก
อาทิ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบันทำสัดส่วนรายได้เข้าประเทศ ถึง 30% ญี่ปุ่น
18% ยุโรป 15% และอื่นๆ 37% จากมูลค่าการส่งออกพลอยและอัญมณีกว่า 30,000 ล้านบาท
ในขณะที่มูลค่าการส่งออกโดยรวมกว่า 1 แสน ล้านบาท
พร้อมกันนี้ชมรมฯได้วางแผนกระตุ้นตลาด ด้วยการพัฒนารูปแบบของอัญมณีให้เป็นแฟชั่นมากขึ้น
เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมายไปยังเด็กวัยรุ่น จากที่ผ่านมากลุ่มเป้าหมายหลักส่วนใหญ่
จะเป็นผู้ใหญ่ โดยได้เริ่มทดลองตลาดในญี่ปุ่นซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยในขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการวางแผนขยายตลาดอัญมณีให้เป็นแฟชั่นมากขึ้น
เบื้องต้นจะขยายตลาดไปประเทศจีน สหรัฐอเมริกา และยุโรป
"สำหรับภาวะการแข่งขันอัญมณีในตลาดโลก ขณะนี้ถือว่าไทยเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงทาง
ด้านอัญมณีเป็นอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งมีเพียงศรีลังกาประเทศเดียวเท่านั้นที่เป็นคู่แข่ง
แต่ยังมีการพัฒนาทางด้านฝีมือรวมถึงความประณีตห่างไกลกว่าประเทศไทยอีกมาก จึงมั่นใจว่าหาก
ไทยเร่งจัดกิจกรรมในตลาดต่างประเทศมากขึ้น จะสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศอีกมาก
ส่วนเป้าหมายในอนาคต ทางชมรมฯจะร่วมกันผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าทับทิมและไพลิน
สีน้ำเงินระดับโลก" นายพรสิทธิ์ กล่าว
กรณีที่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดหลัก กำลังประสบภาวะทางเศรษฐกิจ
ขณะนี้ทางชมรมฯได้วางแผนจะขยายตลาดไปยังประเทศจีน อินเดีย แอฟริกา สแกนดิเนเวีย
รัสเซีย เพื่อรองรับแทนตลาดสหรัฐอเมริกาแล้ว จึงมั่นใจว่ารายได้ดังกล่าวจะไม่ลดลง
สำหรับแผนการทำตลาดในประเทศ ขณะนี้ทางชมรมฯ ได้เร่งจัดกิจกรรมอย่างหนัก
เพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นตลาดอัญมณีอย่างต่อเนื่อง จากในปีที่ผ่านมาได้จัดโครงการส่งเสริมการ
ขายทับทิม (Ruba Year 2002) ร่วมกับประเทศญี่ปุ่นสามารถกระตุ้นส่งผลให้การส่งออกทับทิมเจียระไนเพิ่มขึ้นถึง
60%
ล่าสุดชมรมฯจัดโครงการส่งเสริมการขายพลอยน้ำเงิน (Blue
Sapphire) ภายใต้สโลแกน "สุดยอดพลอยน้ำเงินสุดยอดแห่งรัก" หรือ "Ultimate
Blue Ultimate Love" ด้วยการประกวดพลอยสีน้ำเงิน แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
ประเภทพลอยน้ำเงินขนาด 5-7 กะรัต พลอยประเภทขนาดฟรีไซส์ 10-200 กะรัต และ ประเภทพลอยน้ำเงินไทย
ขนาด 5 กะรัตขึ้นไป ซึ่งจะตัดสินรอบสุดท้ายในงานแสดงสินค้า บางกอกเจมส์ ครั้งที่
32 ในวันที่ 12 กันยายน 2546 เวลา 16.00-18.00 น. ที่ศูนย์แสดงสินค้านานาชาติอิมแพค
เมืองทองธานี โดยคาดว่างาน ดังกล่าวจะกระตุ้นกำลังซื้อในตลาดได้ไม่แพ้ในปีที่ผ่านมา
พรัอมกันนี้ชมรมฯยังได้ร่วมมือกับภาครัฐบาล แก้ปัญหาการหลอกลวงนักท่องเที่ยวต่าง
ประเทศซื้ออัญมณีปลอม ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ในขณะนี้ โดยคาดว่าหากภาครัฐและเอกชน
ร่วมมือกันแก้ไขดังกล่าวได้ ภายในอีก 2-3 ปีข้างหน้านี้ ไทยจะมีรายได้จากการจำหน่ายอัญมณีถึง
60,000 ล้านบาท สำหรับในปีนี้ตั้งเป้าจะมีอัตราการ เติบโต 20-30% จากในปีที่ผ่านมามีรายได้เพียง
30,000 ล้านบาท