JMTคาดธุรกิจตามหนี้ปี52โต100%


ผู้จัดการรายวัน(11 มีนาคม 2552)



กลับสู่หน้าหลัก

เจ เอ็ม ที ตั้งเป้าปี 52 ซื้อหนี้เข้ามาบริหารไม่ต่ำกว่า 4.5 พันล้านบาท หรือเติบโตขึ้นกว่า 100%จากปี 51 ที่ทำได้ 2.5 พันล้านบาท จากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลงภายใต้วิกฤตเศรษฐกิจ ส่งผลดีต่อธุรกิจติดตามหนี้ที่โตสวนกระแสจากธุรกิจอื่น รวมถึงจำนวนมูลค่าหนี้ทีบริษัทเตรียมงบลงทุนกว่า 280 ล้านบาท เพื่อซื้อหนี้เข้ามาบริหารจากสถาบันการเงินทั้งในและนอกประเทศ

นายปิยะ พงษ์อัชฌา ผู้อำนวยการบริหารสายการตลาด บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซส จำกัด หรือ JMT เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าการเพิ่มมูลค่าหนี้ที่ติดตามคงเหลือในปี 2552 เติบโตขึ้น 100% หรืออยู่ที่ 4,500 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีมูลค่าอยู่ที่ 2,500 ล้านบาท จากการที่อัตราดอกเบี้ยมีจำนวนถูกลงกว่าที่ผ่านมา จึงถือเป็นโอกาสที่ดีในการเติบโตของธุรกิจในช่วงระยะเวลาเช่นนี้ โดยบริษัทได้คาดการณ์การเพิ่มมูลค่าหนี้ที่ติดตามคงเหลือไว้ล่วงหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 6,000 ล้านบาทในปี 2553 ซึ่งหนี้เสียที่บริษัทซื้อมานี้จะเป็นในส่วนของ Non-Bank

ทั้งนี้ด้วยมูลค่าหนี้ดังกล่าวส่งผลให้บริษัทถือครองพอร์ตสินเชื่อจากการขายหนี้ของสถาบันต่างๆในประเภท Retail และ Consumer Loan โดยบริษัทได้ลงทุนในการซื้อหนี้พอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อส่วนบุคคลจากสถาบันการเงินด้วยมูลค่าหนี้ติดตามคงเหลือที่ 1,000 ล้านบาท และได้ทำการซื้อเพิ่มจากสถาบันการเงินอื่นทั้งในประเทศและสถาบันการเงินสาขาจากต่างประเทศ ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าหนี้ที่ติดตามคงเหลือกว่า 2,000 ล้านบาท จากพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อเงินกู้และบัตรเครดิต

สำหรับการลงทุนบริษัทมีเงินที่จะนำใช้ในการซื้อหนี้จำนวน 280 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นซื้อภายในสิ้นปีนี้ประมาณ 200 ล้านบาท สำหรับกาเข้าซื้อหนี้จำนวนกว่า 4พันล้าน และอีกจำนวน 80 ล้านบาท ที่จะนำไปลงทุนในการซื้อหนี้เพิ่มให้ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ที่ 6,000 ล้านบาท ซึ่งเงินที่บริษัทนำมาใช้ลงทุนในการซื้อหนี้นั้นมาจากเงินกู้จำนวน 70% และจากกำไรของธุรกิจจำนวน 30%

อย่างไรก็ตามในธุรกิจการติดตามหนี้กับสภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวเช่นนี้ มีผลอย่างมากที่จำนวนลูกหนี้เพิ่มตัวสูงขึ้น จากหลายๆปัจจัยไม่ว่าจะเป็นการว่างงานหรือการถูกปรับลดอัตราการจ้างงาน ส่งผลให้ประชาชนไม่มีรายได้เข้ามาเพื่อผ่อนจ่ายภาระที่ตนเองมี ซึ่งบริษัทเริ่มเห็นสัญญาณของการติดตามหนี้ที่ยากช่วงปลายปี 2551 หรือช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจการเงินโลก

“บริษัทเราไม่มีการปรับลดพนักงาน แต่จะเพิ่มด้วยซ้ำ เพราะเรามีแผนขยายงานรับซื้อหนี้ไปสู่ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินต่างๆเพิ่ม ทำให้เราต้องเพิ่มจำนวนพนักงานเร่งรัดหนี้สิน และพนักงงานในส่วนอื่นๆอีกรวมกว่า 200 อัตรา จากปัจจุบันที่มีพนักงานอยู่ 400 อัตรา” นายปิยะ กล่าว


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.